ดีวีนากอมเมเดีย
ดีวีนากอมเมเดีย (อิตาลี: Divina Commedia; อังกฤษ: Divine Comedy) เป็นวรรณกรรมอุปมานิทัศน์ที่ดันเต อาลีกีเอรี เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1308 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1321 ถือเป็นกวีนิพนธ์สำคัญของวรรณกรรมอิตาลีและเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของวรรณกรรมของโลก[1] กวีนิพนธ์นี้เป็นเป็นจินตนิยายและอุปมานิทัศน์ของคริสเตียนสะท้อนให้เห็นถึงการวิวัฒนาการของปรัชญาสมัยกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับโรมันคาทอลิกของตะวันตก นอกจากนั้นก็ยังเป็นหนังสือที่มีบทบาทต่อสำเนียงทัสคัน (Tuscan dialect) ตามที่เขียนเป็นภาษาอิตาลีมาตรฐาน[2]
ดีวีนากอมเมเดีย Divina Commedia | |
---|---|
Comencia la Comedia, 1472 | |
ผู้ประพันธ์ | ดันเต |
ชื่อเรื่องต้นฉบับ | Commedia |
หัวเรื่อง | อุปมานิทัศน์ของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการตาย |
วันที่พิมพ์ | ค.ศ. 1308 - ค.ศ. 1321 |
“ดีวีนากอมเมเดีย” แบ่งออกเป็นสามตอน “นรก” (Inferno) “แดนชำระ” (Purgatorio) และ “สวรรค์” (Paradiso) กวีนิพนธ์เขียนในรูปของบุคคลที่หนึ่งและเป็นเรื่องที่บรรยายการเดินทางของดานเตไปยังภูมิสามภูมิของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่เริ่มการเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงวันพุธหลังจากวันอีสเตอร์ของปี ค.ศ. 1300 โดยมีเวอร์จิล กวีโรมัน เป็นผู้นำใน “นรก” และ “แดนชำระ” และเบียทริเช พอร์ตินาริ เป็นผู้นำใน “สวรรค์” เบียทริเชเป็นสตรีในอุดมคติที่ดันเตพบเมื่อยังเป็นเด็กและชื่นชมต่อมาแบบ “ความรักในราชสำนัก” (courtly love) ที่พบในงานสมัยแรกของดันเตใน “ชีวิตใหม่” (La Vita Nuova) ที่เขียนในปี ค.ศ. 1295
ชื่อเดิมของหนังสือก็เป็นเพียงชื่อสั้นๆ ว่า “Commedia” แต่ต่อมา โจวันนี บอกกัชโชก็มาเพิ่ม “Divina” ข้างหน้าชื่อ ฉบับแรกที่พิมพ์ที่มีคำว่า “Divine” อยู่หน้าชื่อ เป็นฉบับที่โลโดวีโก ดอลเช (Lodovico Dolce) นักมานุษยวิทยาฟื้นฟูศิลปวิทยาของเวนิส พิมพ์ในปี ค.ศ. 1555[3]
อ้างอิง
แก้- ↑ Bloom, Harold (1994). The Western Canon. See also Western canon for other "canons" that include the Divine Comedy.
- ↑ See Lepschy, Laura (1977). The Italian Language Today.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) or any other history of Italian language. - ↑ Ronnie H. Terpening, Lodovico Dolce, Renaissance Man of Letters (Toronto, Buffalo, London: University of Toronto Press, 1997), p. 166.