อาสนวิหารแกลร์มง-แฟร็อง
อาสนวิหารแกลร์มง-แฟร็อง (ฝรั่งเศส: Cathédrale de Clermont-Ferrand) หรือชื่อทางการคือ อาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์แห่งแกลร์มง-แฟร็อง (Cathédrale Notre-Dame-de-l'Assomption de Clermont-Ferrand) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็นอาสนวิหาร[1] ตั้งอยู่ที่เมืองแกลร์มง-แฟร็องในจังหวัดปุย-เดอ-โดมในแคว้นโอแวร์ญ-โรนาลป์ ประเทศฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งอาสนะของอาร์ชบิชอปแห่งแกลร์มง
อาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แห่งแกลร์มง-แฟร็อง | |
---|---|
อาสนวิหารแกลร์มง-แฟร็อง | |
45°46′43.42″N 3°5′8.76″E / 45.7787278°N 3.0857667°E | |
ที่ตั้ง | แกลร์มง-แฟร็องในประเทศฝรั่งเศส |
ประเทศ | ประเทศฝรั่งเศส |
นิกาย | โรมันคาทอลิก |
เว็บไซต์ | อาสนวิหาร |
สถานะ | อาสนวิหาร |
ก่อตั้ง | ค.ศ. 946 |
ประเภทสถาปัตย์ | กางเขน |
รูปแบบสถาปัตย์ | กอทิก |
ปีสร้าง | คริสต์ศตวรรษที่ 5 |
ขนาดอื่น ๆ | ยาวทั้งสิ้น 99 เมตร บริเวณร้องเพลงสวด 36 เมตร แขนกางเขนกว้าง 32.70 เมตร จุดตัดสูง 28.70 เมตร ช่องทางเดินข้างสูง 14.30 เมตร หอตะวันตกสูง 96.2 เมตร |
อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ |
สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบกอทิกที่สร้างด้วยหินภูเขาไฟสีดำทั้งหลังที่ทำให้เป็นเอกลักษณ์จากอาสนวิหารอื่นและมองเห็นแต่ไกลจากหอสูงสองหอที่สูง 96.2 เมตรเหนือสิ่งก่อสร้างอื่นใดของตัวเมือง
ประวัติ
แก้ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 บิชอปนามาซิอุสวางศิลาฤกษ์ของอาสนวิหารแรกที่ทำให้ประชากรผู้ถือคริสต์ศาสนาออกมาจากบริเวณกักกัน "vicus christianorum" ได้ นามาเชียสอุทิศสิ่งก่อสร้างให้แก่นักบุญวีตาลิสและนักบุญอกริโกลาที่ได้นำเรลิกกลับมาจากโบโลญญาด้วย ตัววัดมีความยาว 43 เมตรเป็นผังแบบบาซิลิกาที่ได้รับการบันทึกโดยนักบุญเกรกัวร์แห่งตูร์ ตกแต่งด้วยหินอ่อนโดยมีทางเดินกลางขนาบด้วยช่องทางเดินข้าง ตัดด้วยแขนกางเขน และมีคอลัมน์ทั้งหมด 70 ต้น วัดนี้ถูกทำลายในปี ค.ศ. 760 โดยพระเจ้าเปแป็งพระวรกายเตี้ย ต่อมาเมื่อทรงสำนึกในการกระทำพระองค์จึงพระราชทานทรัพย์จำนวนมากให้แก่บิชอปฮาด์เดอแบร์ตในการสร้างอาสนวิหารใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 764 ถึงปี ค.ศ. 768 อาสนวิหารที่สองถูกทำลายโดยนอร์มันในปี ค.ศ. 915
บิชอปสตีเฟนที่ 2 สร้างอาสนวิหารที่สามเป็นแบบโรมาเนสก์ที่ได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ. 946 สิ่งก่อสร้างที่อาจจะเป็นแบบอย่างของสิ่งก่อสร้างโรมาเนสก์อื่นในโอแวร์ญอีกหลายแห่ง คริพท์ (ที่เป็นจรมุขรายด้วยชาเปลที่กระจายออกไป) สร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 ที่เป็นที่ตั้งของโลงหินที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาวที่สร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4
ในปี ค.ศ. 1248 หลังจากที่มีโอกาสเดินทางไปชมแซ็งต์-ชาแปลในกรุงปารีสมา บิชอปอูกเดอลาตูร์ก็กลับมาลงมือสร้างอาสนวิหารใหม่เป็นแบบสถาปัตยกรรมกอทิกตอนเหนือ ซึ่งเป็นการสร้างเสริมบารมีและอำนาจที่มีต่อตัวเมืองให้กลับมาอยู่ในมือของบิชอปแทนที่จะอยู่ในมือของเคานต์แห่งโอแวร์ญเช่นเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนหน้านั้น
ตัวสิ่งก่อสร้างหลักสร้างด้วยหินโวลวิกแบบ Trachy-andésite ที่ทำให้ตัววัดเป็นสีดำ และความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของหินสามารถทำให้สร้างหอที่มียอดแหลมที่มีลักษณะละเอียดอ่อนได้
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างคือฌ็อง เดช็องผู้ก่อนหน้านั้นได้ทำการสร้างอาสนวิหารนาร์บอนและอาสนวิหารลีมอฌมาแล้ว เดช็องได้รับแรงบันดาลใจจากอาสนวิหารโบแวและอาสนวิหารอาเมียง เดช็องทราบดีว่าผังเดิมไม่มีช่องหน้าต่างที่ใช้พื้นผนังทั้งหมดระหว่างเสารับน้ำหนัก และไม่มีซุ้มโค้งที่เป็นโครงรับน้ำหนักที่ใช้การสอดโครงรับน้ำหนักโดยตรงบนซุ้มโค้ง เสาที่สูงขึ้นไปในบริเวณร้องเพลงสวดทรงรีทำให้แสงสามารถสาดส่องจากหน้าต่างของมุขด้านตะวันออกเข้ามาในบริเวณพิธี ซึ่งภายนอกรับน้ำหนักด้วยครีบยันแบบปีกที่กางออกไป
เดช็องใช้เวลาสร้างบริเวณร้องเพลงสวดระหว่างปี ค.ศ. 1248 – ค.ศ. 1287 ที่เป็นสถานที่ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 เสด็จมาร่วมในพิธีเสกสมรสของพระราชโอรสผู้ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 3 กับอิซาเบลลาแห่งอารากอน พระเจ้าหลุยส์ทรงบริจาคทรัพย์ในการสร้างหน้าต่างประดับกระจกสีที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าต่างที่สร้างโดยผู้เดียวกันกับที่สร้างหน้าต่างสำหรับแซ็งต์-ชาแปล บริเวณร้องเพลงสวด แขนกางเขน และบางส่วนของทางเดินกลางสร้างเสร็จราวปี ค.ศ. 1295
จากนั้นปีแยร์ เดช็องก็ทำงานต่อจากบิดามาจนถึงปี ค.ศ. 1325 ระหว่างปี ค.ศ. 1325 – ค.ศ. 1340 สถาปนิกไม่ทราบนามก็ทำการสร้างหอบนแขนกางเขน หอที่สูงกว่าชื่อหอบาแย็ตที่ตั้งตามชื่อการใช้งานว่าเป็นหอที่ใช้ในการสังเกตการณ์
ระหว่างปี ค.ศ. 1340 – ค.ศ. 1355 ปีแยร์ เดอ เซบาซาที่รู้จักกันว่าเป็นผู้สร้างแอบบีที่ลาเชส-ดิวก็สร้างทางเดินกลางเสร็จไปสามตอนไปเชื่อมกับหอโรมาเนสก์ของโบสถ์ที่บิชอปสตีเฟนที่ 2 สร้างไว้ แต่การขัดจังหวะของสงครามร้อยปีทำให้เซบาซาต์ไม่อาจจะทำงานเสร็จได้ แต่ในช่วงปีต่อ ๆ มาทางอาสนวิหารมีความพอใจต่อผลงานโดยสั่งให้เซบาซาต์สลักขอบประตูด้านข้าง (door jamb) ใหม่สำหรับประตูสำหรับห้องเก็บเครื่องพิธี
หน้าต่างประดับกระจกสีสีน้ำเงินหลักเหนือประตูทางด้านเหนือและสีส้มเหนือประตูทางด้านใต้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทั้งสองหน้าต่างบรรจุอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่กว้าง 8.50 เมตร ระหว่างปี ค.ศ. 1444 – ค.ศ. 1474 ก็ได้มีการสร้าง "clocher du retour" ที่เป็นมณฑปบนหลังคาเหนือบริเวณร้องเพลงสวดแต่มาถูกรื้อทิ้งหลังปี ค.ศ. 1741 ระหว่างปี ค.ศ. 1507 – ค.ศ. 1512 ก็ได้มีการยกหลังคาให้สูงขึ้นและปูด้วยตะกั่วแทนหลังคาเดิม แต่ทางอาสนวิหารไม่ตกลงเรื่องการสร้างด้านหน้าอาสนวิหารเป็นแบบหางนกยูงฝรั่งเพราะราคาค่าก่อสร้างสูง
ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสนักปฏิวัติต้องการที่จะรื้ออาสนวิหารทิ้งแต่นักพรตคณะเบเนดิกตินแวร์เดียร์-ลาทูร์หว่านล้อมไม่ให้ทำการรื้อทิ้งได้สำเร็จ โดยกล่าวว่าอาสนวิหารจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการใช้ประชุมผู้คนจำนวนมาก สิ่งที่ถูกทำลายไปก็ได้แก่ฉากกางเขน, ที่นั่งของบริเวณร้องเพลงสวด แท่นบูชา และเฟอร์นิเจอร์ ยกเว้นแต่โคมระย้าที่สร้างโดยฟิลิปเป คาฟฟิเอรี แต่หอบนแขนกางเขนถูกเผา ด้านหน้าอาสนวิหารแบบโรมาเนสก์จากสมัยการก่อสร้างของบิชอปสตีเฟนที่ 2 ถูกทำลายโดยการระดมยิงด้วยปืนในปี ค.ศ. 1851
อาสนวิหารมิได้สร้างเสร็จจนกระทั่งปี ค.ศ. 1866 ตามผังที่วางไว้โดยเออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก และสร้างโดยลูกศิษย์อานาตอล เดอ โบโด ในปี ค.ศ. 1884 ด้านหน้าด้านตะวันตกพร้อมด้วยหอยอดแหลม และ ทางเดินกลางช่วงสุดท้ายก็สร้างเสร็จตามแบบฉบับของการก่อสร้างแบบยุคกลาง
อาสนวิหารแกลร์มง-แฟร็องได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์
ระเบียงภาพ
แก้-
อาสนวิหารยามค่ำ
-
มุมมองจากทางด้านใต้ ที่เห็นหอกอทิกสีดำเหนือภูมิทัศน์เมืองที่มีหอสูง 108 เมตร
-
ด้านหน้าด้านตะวันตก
-
ทิวทัศน์ของแกลร์มง-แฟร็องมองจากหอทางด้านใต้
-
ทางเดินกลางมองไปยังแท่นบูชาเอก
-
ทางเดินกลางมองไปยังทางเข้าด้านตะวันตก
-
จิตรกรรมฝาผนังจากสมัยโรมาเนสก์ในคริปต์
-
จิตรกรรมฝาผนังจากสมัยกอทิกภายในอาสนวิหาร
-
หน้าต่างประดับกระจกสีสมัยใหม่เป็นเรื่องราวพระเจ้าสร้างโลก
อ้างอิง
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ อาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์แห่งแกลร์มง-แฟร็อง