ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน

ฟรันทซ์ โยเซ็ฟ แฮร์มัน มิชชาเอล มารีอา ฟ็อน พาเพิน (เยอรมัน: Franz Joseph Hermann Michael Maria von Papen) เป็นขุนนาง นายทหารบก และนักการเมืองเยอรมัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1932 โดยไม่ผ่านเสียงประชาชน และมีบทบาทสำคัญในการบ่อนทำลายประชาธิปไตยของสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งนำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน
Franz von Papen
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ดำรงตำแหน่ง
1 มิถุนายน 1932 – 17 พฤศจิกายน 1932
ประธานาธิบดีเพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค
ก่อนหน้าไฮน์ริช บรือนิง
ถัดไปควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์
รองนายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ดำรงตำแหน่ง
30 มกราคม 1933 – 7 สิงหาคม 1934
หัวหน้ารัฐบาลอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ก่อนหน้าแฮร์มัน ดีทริช
ถัดไปฟรันทซ์ บลือเชอร์ (1949)
สมุหเทศาภิบาลเสรีรัฐปรัสเซีย
ดำรงตำแหน่ง
20 กรกฎาคม 1932 – 3 ธันวาคม 1932
ก่อนหน้าอ็อทโท เบราน์
ถัดไปควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์
ดำรงตำแหน่ง
30 มกราคม 1933 – 10 เมษายน 1933
ก่อนหน้าควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์
ถัดไปแฮร์มัน เกอริง
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
Franz Joseph Hermann Michael Maria von Papen, Erbsälzer zu Werl und Neuwerk

29 ตุลาคม ค.ศ. 1879(1879-10-29)
แวร์ล มณฑลเว็สฟาเลิน จักรวรรดิเยอรมัน
เสียชีวิต2 พฤษภาคม ค.ศ. 1969(1969-05-02) (89 ปี)
ซัสบัค ประเทศเยอรมนีตะวันตก
วิชาชีพนักการทูต, ทหาร
ลายมือชื่อ
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ เยอรมนี
สังกัดกองทัพบกจักรวรรดิเยอรมัน
ประจำการ1898–1919
ยศพันโท
ผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
รางวัล

ประวัติ

แก้

พาเพินเกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1879 ที่เมืองแวร์ล ราชอาณาจักรปรัสเซีย จักรวรรดิเยอรมัน ในครอบครัวขุนนางคาทอลิกเก่าแก่ เขาเข้ารับการศึกษาทางการทหารตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้าสู่กองทัพในฐานะนายทหารม้าแห่งกองทัพปรัสเซียในปี 1898

พาเพินรับราชการในกองทัพจักรวรรดิเยอรมันในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับตำแหน่งทูตทหารในสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปี 1915 เขาถูกขับออกจากสหรัฐอเมริกาเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการจารกรรมและวางระเบิด ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาในสายตาตะวันตกตกต่ำลง[1] เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ พาเพินลาออกในยศพันโท และหันมาทำงานด้านการเมืองในฐานะสมาชิกพรรคกลาง (คาทอลิกสายกลาง) เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกไรชส์ทาคในช่วงทศวรรษ 1920 แต่ไม่มีบทบาทเด่นในระดับประเทศมากนัก และจัดว่าเป็นนักการเมืองสายอนุรักษนิยมฝ่ายขวา ซึ่งต่อต้านพรรคฝ่ายซ้ายอย่างเด่นชัด

แม้ไม่มีชื่อเสียงในระดับชาติ พาเพินก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเหนือความคาดหมายในเดือนมิถุนายน 1932 โดยการสนับสนุนของประธานาธิบดีเพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค และกลุ่มทหารหัวอนุรักษนิยมที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ คนกลุ่มนี้มองว่าประชาธิปไตยทำให้ประเทศอ่อนแอ ประเทศควรถูกปกครองด้วยผู้นำชนชั้นสูงที่มีคุณธรรม[2][3]

นายกรัฐมนตรี

แก้

พาเพินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 1 มิถุนายน 1932 พาเพินแทบไม่มีเสียงสนับสนุนในไรชส์ทาค แม้แต่พรรคกลางที่ตนเองสังกัดก็ไม่ค่อยสนับสนุนเขา ตรงกันข้าม เขาเป็น “นายกรัฐมนตรีของประธานาธิบดี” เพราะตามกฎหมายขณะนั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ไรชส์ทาค[4] ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกๆที่เขาทำหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือการยุบสภาไรช์ทาคในวันที่ 4 มิถุนายน 1932

เมื่อไรช์ทาคถูกยุบ พาเพินจึงบริหารประเทศด้วยมาตรา 48 ของธรรมนูญสูงสุดแห่งไรช์ ทำการออกกฎหมายกฤษฎีกามากมาย พาเพินผลักดันนโยบายฝ่ายขวาอย่างแข็งกร้าว เช่น การยกเลิกข้อจำกัดค่าจ้างแรงงานเพื่อลดต้นทุนให้นายทุน และการระงับการดำเนินกิจกรรมของพรรคฝ่ายซ้าย โดยเฉพาะพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนี (KPD) และพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD) เขายังสั่งห้ามการชุมนุมหลายครั้งเพื่อควบคุมความไม่สงบ แต่กลับดูจะเพิกเฉยเมื่อฝ่ายขวาจัดอย่างชตวร์มอัพไทลุงของพรรคนาซีเป็นผู้ก่อเหตุ

นโยบายที่เป็นการทำลายระบอบสหพันธรัฐคือการยึดอำนาจในปรัสเซียเมื่อเดือนกรกฎาคม 1932 พาเพินใช้อำนาจพิเศษปลดมุขมนตรีปรัสเซีย และแต่งตั้งตนเองเป็นสมุหเทศาภิบาล (Reichskommissar) เขาถูกร้องต่อศาลธรรมนูญสูงสุด แต่ก็มีคำวินิจฉัยให้การกระทำของเขาชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเปิดทางให้เยอรมนีใช้การปกครองแบบรัฐเดี่ยวในอนาคต[1]

หลังการเลือกตั้ง กรกฎาคม 1932

แก้

ในการเลือกตั้งเมื่อ 31 กรกฎาคม ผลปรากฏว่าพรรคนาซีได้รับเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 230 ที่นั่ง (จากเดิม 107) แต่ก็ยังไม่เกินกึ่งหนึ่ง ขณะที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยกลับสูญเสียเสียงจำนวนมาก ทำให้ไรชส์ทาคเข้าสู่ภาวะตั้งรัฐบาลไม่ได้[4] แม้พรรคนาซีเป็นพรรคใหญ่ที่สุด แต่ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมเข้าร่วมรัฐบาลในฐานะรัฐมนตรี พาเพินจึงยังคงบริหารประเทศต่อไป กระทั่งเมื่อไรชส์ทาคเปิดประชุมในเดือนกันยายน พรรคนาซีและพรรคสังคมประชาธิปไตยร่วมกันลงมติไม่ไว้วางใจพาเพินด้วยคะแนนเสียง 512 ต่อ 42 เสียง

ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พาเพินจะต้องลาออกทันทีถูกไม่ไว้วางใจ แต่เขากลับทำตรงข้าม พาเพินขอให้ประธานาธบดียุบสภาในทันที นี่ถือเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนว่า ระบอบประชาธิปไตยของเยอรมนีเข้าสู่ภาวะล่มสลายโดยพฤตินัยแล้ว

หลังการเลือกตั้ง พฤศจิกายน 1932

แก้

ในการเลือกตั้งเมื่อ 6 พฤศจิกายน พรรคนาซีได้ผู้แทนจำนวน 196 คน ลดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในไรชส์ทาค ขณะเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์ได้ผู้แทนเพิ่มขึ้นเป็น 100 คน สะท้อนว่าสังคมเริ่มโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ สภาพเช่นนี้ ไรชส์ทาคไม่มีเสียงข้างมากจากพรรคใดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เลย

พาเพินพยายามผลักดันแนวคิดให้ประธานาธิบดีประกาศเลิกธรรมนูญสูงสุด และจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการถาวรโดยประธานาธิบดี แต่ถูกปฏิเสธ ในที่สุดพาเพินถูกบีบให้ลาออกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1932 และถูกแทนที่โดยพลเอกควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์

จับมือกับฮิตเลอร์

แก้
 
(แถวนั่ง) แฮร์มัน เกอริง, อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน ในวันประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก 30 มกราคม 1933

หลังถูกบีบให้ลาออก พาเพินมิได้หายไปจากการเมือง แต่หันไปเจรจากับฮิตเลอร์และพรรคของเขา เพื่อหาทางกลับคืนสู่อำนาจ เขาเชื่อว่าสามารถควบคุมฮิตเลอร์หากร่วมรัฐบาลกัน พาเพินจึงโน้มน้าวประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คให้แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี ความว่า "ในคณะรัฐมนตรี จะมีพวกอนุรักษนิยมอยู่มากมายในระดับที่คุมฮิตเลอร์ได้อยู่หมัด"[5] ในการนี้ พาเพินตนเสนอตนเองเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วยเพื่อเป็นแกนนำในการควบคุมฮิตเลอร์ ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดีจึงยอมแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพาเพินเป็นรองนายกรัฐมนตรี

กลยุทธ์ของพาเพินล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เขาประเมินฮิตเลอร์ต่ำเกินไปและมองพรรคนาซีเป็นพรรคที่ไร้ประสบการณ์บริหาร แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์เป็นผู้นำที่มีวาทศิลป์ มีขบวนการมวลชน และกองกำลังส่วนตัว ท้ายที่สุด ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัฐมนตรีหลายคนในสังกัดของพาเพินเริ่มสูญเสียอำนาจ และพรรคนาซีก็ค่อยๆควบคุมสื่อ และตำรวจ ท้ายที่สุดฮิตเลอร์ก็สามารถรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จผ่านรัฐบัญญัติมอบอำนาจในวันที่ 23 มีนาคม 1933 บทบาทของพาเพินในช่วงนี้จึงถูกประเมินในภายหลังว่าเป็น “ความผิดพลาดทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์” ซึ่งนำไปสู่การสถาปนาเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยไม่มีทางถอยกลับ

ภายหลังการผ่านรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งมอบอำนาจทางนิติบัญญัติทั้งหมดให้แก่ฮิตเลอร์โดยไม่ต้องผ่านไรชส์ทาค บทบาทของพาเพินในฐานะรองนายกรัฐมนตรีก็เริ่มเลือนรางลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังดำรงตำแหน่งในรัฐบาล แต่เขาไม่อาจคัดค้านทิศทางของนาซีได้อีกต่อไป และตกอยู่ในสภาพคนที่ไม่มีอิทธิพลในโครงสร้างอำนาจใหม่ พาเพินยังคงแสดงตนเป็นผู้นำฝ่ายอนุรักษนิยมที่พยายามรักษาสถาบันประธานาธิบดีและโครงสร้างรัฐเก่าเอาไว้ แต่ฮิตเลอร์กลับใช้รัฐบัญญัติมอบอำนาจขจัดคู่แข่งและควบรวมอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และสื่อไว้ในมือเดียว ภายในไม่กี่เดือน รัฐมนตรีพรรคพวกของพาเพินถูกแทนที่ด้วยสมาชิกพรรคนาซี

พ้นจากคณะรัฐมนตรีฮิตเลอร์

แก้

30 มิถุนายน 1934 ฮิตเลอร์กวาดล้างผู้นำของชตวร์มอัพไทลุง รวมถึงฝ่ายตรงข้ามทั้งในและนอกพรรคนาซี เป็นเหตุการณ์ซึ่งเรียกว่า "คืนมีดยาว" ในวันนั้นพาเพินก็ประสบชะตากรรมทางการเมืองอย่างรุนแรง คนใกล้ชิดของพาเพินหลายคนถูกสังหาร เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีชไลเชอร์ รวมถึงหัวหน้าเลขานุการของเขา และผู้ช่วยของเขาซึ่งร่างสุนทรพจน์มาร์บวร์ค ที่พาเพินใช้วิจารณ์แนวทางเผด็จการเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น

แม้ว่าพาเพินไม่ถูกสังหาร แต่ก็สูญเสียอำนาจและสถานะในรัฐบาลโดยสิ้นเชิง พาเพินถูกจับกุมและกักบริเวณภายในบ้านพักของตนโดยเอ็สเอ็ส แม้จะได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา หลังจากนั้น พาเพินยอมจำนนต่อระบอบใหม่ โดยเลือกใช้แนวทางประนีประนอมเพื่อความอยู่รอด ในเดือนสิงหาคม 1934 เขาถูกแต่งตั้งให้เป็น เอกอัครราชทูตไรช์เยอรมันประจำออสเตรีย ซึ่งถือเป็นการเนรเทศทางการเมืองโดยพฤตินัย

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 Shirer, William L. The Rise and Fall of the Third Reich. Simon & Schuster, 1960.
  2. Ian Kershaw, Hitler: 1889–1936 Hubris (London: Penguin Books, 1998), 409.
  3. Hans Mommsen, The Rise and Fall of Weimar Democracy, trans. Elborg Forster and Larry Eugene Jones (Chapel Hill: University of North Carolina Press, 1996), 303.
  4. 4.0 4.1 Evans, Richard J. The Coming of the Third Reich. Penguin Books, 2003.
  5. William L. Shirer, The Rise and Fall of the Third Reich: A History of Nazi Germany (New York: Simon & Schuster, 1960), p. 193.