ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิลเฮ็ล์ม วีน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Char au (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox scientist | name = Wilhelm Wien | image = Wilhelm Wien 1911.jpg | image_size = 180px | birth_name = วิลเฮล์ม คาร์ล...
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:18, 23 พฤษภาคม 2561

วิลเฮล์ม คาร์ล แวร์เนอร์ ออทโท ฟริทซ์ ฟรานซ์ วีน (เยอรมัน: Wilhelm Carl Werner Otto Fritz Franz Wien (13 มกราคม พ.ศ. 2407 -- 30 สิงหาคม พ.ศ. 2471)เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี พ.ศ. 2454[1] เขาเป็นผู้รวมทฤษฎีความร้อนและการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าด้วยกัน ได้เป็นกฎการกระจัดของวีน ซึ่งว่า ความยาวคลื่นของการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าแปรผกผันกับอุณหภูมิ

Wilhelm Wien
เกิดวิลเฮล์ม คาร์ล แวร์เนอร์ ออทโท ฟริทซ์ ฟรานซ์ วีน
13 มกราคม ค.ศ. 1864(1864-01-13)
กัฟเคิน ใกล้กับเมืองฟิชเฮาเซิน แคว้นปรัสเซีย
เสียชีวิต30 สิงหาคม ค.ศ. 1928(1928-08-30) (64 ปี)
มิวนิก สาธารณรัฐไวมาร์
สัญชาติเยอรมัน
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน
มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน
มีชื่อเสียงจากการแผ่รังสีของวัตถุดำ
กฎการกระจัดของวีน
คู่สมรสลุยซ์ เมห์เลอร์ (สมรส พ.ศ. 2441)
รางวัลรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ (พ.ศ. 2454)
อาชีพทางวิทยาศาสตร์
สาขาฟิสิกส์
สถาบันที่ทำงานมหาวิทยาลัยกิเอ็สเซิน
มหาวิทยาลัยเวือทซบูร์ค
มหาวิทยาลัยมิวนิก
มหาวิทยาลัยแอร์เวเตอาชอาเคิน
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอกแฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์
ลูกศิษย์ในระดับปริญญาเอกคาร์ล ฮาร์ทมันน์
กาเบรียล โฮลท์ซมาร์ค
เอดูอาร์ด รือชาดท์

วิลเฮล์มเป็นญาติกับมักซ์ วีน นักอิเล็กทรอนิกส์ผู้ประดิษฐ์วงจรบริดจ์ของวีน (Wien Bridge)

ชีวประวัติ

วิลเฮล์ม วีน เกิดที่ตำบลกัฟเคิน (Gaffken) ใกล้กับเมืองฟิชเฮาเซิน (Fischhausen) แคว้นปรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองปริมอร์สก์ ประเทศรัสเซีย เป็นบุตรของคาร์ล วีน ต่อมาเมื่อวิลเฮล์มอายุได้สองขวบ ครอบครัวของเขาย้ายถิ่นฐานไปยังตำบลดรัคชไตน์ (Drachstein) ใกล้กับเมืองรัสเตินบวร์ค (Rastenburg) ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองเกตร์ซิน ประเทศโปแลนด์ ล่วงปี พ.ศ. 2422 วิลเฮล์มเข้าโรงเรียนที่รัสเตินบวร์ค หนึ่งปีต่อมาเขาย้ายไปศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนที่เมืองไฮเดิลแบร์ค (Heidelberg)

เมื่อวิลเฮล์มจบชั้นมัธยมปลายในปี พ.ศ.2425 เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเงินและมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ระหว่าง พ.ศ.2426-2428 วิลเฮล์มทำงานในห้องปฏิบัติการของแฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ ในหัวข้อวิจัยการเลี้ยวเบนของแสง ที่ตกกระทบโลหะัและผลของวัสดุต่าง ๆ ที่มีต่อสีของรังสีหักเห

ระหว่าง พ.ศ. 2439 - 2442 วิลเฮล์มเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแอร์เวเตอาชอาเคิน (RWTH Aachen University) ก่อนย้ายไปที่มหาวิทยาลัยเวือทซบูร์ค (University of Würzburg) สืบแทนวิลเฮล์ม คอนราด เรินท์เกิน (Wilhelm Conrad Röntgen) ล่วงปี พ.ศ.2462 เขาย้ายไปที่มหาวิทยาลัยมิวนิก ระหว่างชีวิตวิชาการได้มีส่วนร่วมในโครงการการเมืองต่าง ๆ แต่ไม่ถึงขนาดเข้าร่วมสมาคมฟิสิกส์เยอรมัน หรือดอยช์ฟือซิค (Deutsche Physik)[2]

ผลงาน

เมื่อ พ.ศ.2439 วิลเฮล์ม วีน ค้นพบกฎการแผ่รังสีของวัตถุดำโดยการทดลอง[3] ซึ่งต่อมาเรียกว่า กฎของวีน เพื่อนร่วมงานของเขาคือ มักซ์ พลังค์ ไม่เชื่อถือการทดลองของวิลเฮล์มจนต้องพยายามใช้ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าและอุณหพลศาสตร์เพื่อสร้างทฤษฎีประกอบผลการทดลอง ได้เป็นกฎของวีน-พลังค์ ซึ่งใช้ได้เฉพาะที่ความถี่สูง ๆ และไม่ถูกต้องที่ความถี่ต่ำ มักซ์ พลังค์พยายามแก้ไข และต่อมาได้เสนอกฎของพลังค์ซึ่งว่า พลังงานแปรผันตรงกับความถี่ของแม่เหล็กไฟฟ้า อันนำไปสู่การพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม อย่างไรก็ดีนั้นน กฎของวีนยังมีรูปแบบที่ใช้ได้อยู่คือ   ซึ่งว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะมียอดที่ความยาวคลื่น λmax ซึ่งแปรผกผันกับอุณหภูมิ T ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 วิลเฮล์ม วีน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในฐานะผู้คนพบกฎการแผ่รังสีของวัตถุร้อน[1]

เมื่อ พ.ศ. 2441 วิลเฮล์มประดิษฐ์ตัวกรองวีน (Wien filter) หรือตัวคัดเลือกความเร็วสำหรับใช้ศึกษารังสีแอโนด เครื่องมือดังกล่าวประกอบด้วยสนามไฟฟ้ากับสนามแม่เหล็กตั้งฉากกัน เมื่ออนุภาคเคลื่อนที่ผ่านจะตีวงโค้งไปตกที่ระยะต่าง ๆ ตามแต่จะกำหนดโดยมวลของอนุภาคมีประจุ ปัจจุบันใช้ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและสเปกโทรมิเตอร์ รวมถึงเครื่องเร่งอนุภาค ปีเดียวกันนั้นเอง วิลเฮล์มศึกษาแก๊สไอออน (ionized gas) และค้นพบอนุภาคประจุบวกมวลเท่ากับอะตอมไฮโดรเจนโดยใช้ตัวกรองของเขาเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 โจเซฟ จอห์น ทอมสัน ได้พัฒนาปรับปรุงตัวกรองวีน และทดลองเพิ่มเติม การทดลองกินเวลานานหลายปี จนกระทั่งในปี พ.ศ.2462 เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด เสนอว่า อนุภาคที่วิลเฮล์มค้นพบตั้งแต่แรกนั้นคือโปรตอน (คือ อะตอมไฮโดรเจนเสียอิเล็กตรอนหนึ่งตัว)

ในปี พ.ศ. 2533 วิลเฮล์มอ่านงานของจอร์จ เฟรเดอริก ชาลส์ เซียร์ล (George Frederick Charles Searle) และดัดแปลงทฤษฎีของอัลแบร์ท ไอน์ชไตน์ (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในภาษาอังกฤษ) บรรดามวลของสสารทั้งหลายมีที่มาจากคลื่่นแม่เหล็กไฟฟ้า และกำหนดตามสมการ  

อ้างอิง

  • Rüchardt, E. (1936). "Zur Entdeckung der Kanalstrahlen vor fünfzig Jahren". Naturwissenschaften. 24 (30): 57–62. Bibcode:1936NW.....24..465R. doi:10.1007/BF01473963.
  • Rüchardt, E. (1955). "Zur Erinnerung an Wilhelm Wien bei der 25. Wiederkehr seines Todestages". Naturwissenschaften. 42 (3): 57–62. Bibcode:1955NW.....42...57R. doi:10.1007/BF00589524.
  1. 1.0 1.1 "The Nobel Prize in Physics 1911". The Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2014-08-09.
  2. Wolff, Stefan L. (2017-07-30). "Physiker im "Krieg der Geister"" (PDF). {{cite web}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |dead-url= (help)
  3. Kragh, H. (2002). Quantum Generations: A History of Physics in the Twentieth Century. Princeton University Press. p. 58. ISBN 978-0-691-09552-3.