ทศวรรษที่สาบสูญ
ทศวรรษที่สาบสูญ (ญี่ปุ่น: 失われた10年; โรมาจิ: Ushinawareta Jūnen) เป็นความซบเซาทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากการล้มลงของภาวะฟองสบู่ขึ้นในตลาดสินทรัพย์ในช่วงท้าย ค.ศ. 1991 นักวิจารณ์ใช้ถ้อยคำว่า "ทศวรรษที่สาบสูญ" เมื่อกล่าวถึงภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990[1] ขณะที่ "20 ปีที่สาบสูญ" (失われた20年) และ "30 ปีที่สาบสูญ" (失われた30年) จะใช้เมื่อกล่าวถึงภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2000 และ คริสต์ทศวรรษ 2010 ตามลำดับ[2][3][4]
ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเมื่อวัดด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) นั้นเติบโตเพียง 1.14% ทุกปี ขณะที่อัตราการเติบโตจริงเฉลี่ยระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2010 อยู่เพียงที่ 1% ซึ่งถือว่าอยู่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ[5][4] หนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเกิดมาจากวิกฤตการณ์การเงินในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ค.ศ. 2008 ประกอบกับแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ ใน ค.ศ. 2011 และ การระบาดทั่วของโควิด-19 ใน ค.ศ. 2020 ซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและก่อความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ตลอดช่วง ค.ศ. 1995 ถึง ค.ศ. 2007 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ของประเทศญี่ปุ่นจาก 5.33 ล้านล้าน ตกลงมาอยู่ที่ 4.36 ล้านล้าน[6] ค่าจ้างแท้จริงตกลงมาที่ประมาณ 5%[7] ขณะที่ประเทศในภาพรวมประสบกับปัญหาระดับราคาหยุดนิ่ง[8] ในปี 2024 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค จากการที่ GDP หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สูญเสียตำแหน่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสามของโลกให้เยอรมนี[9]
ในปัจจุบันมีการถกเถียงกันในประเด็นเกี่ยวกับขอบข่ายและเกณฑ์วัดการถดถอยของญี่ปุ่น[10][11] ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากทศวรรษที่สาบสูญถูกยอมรับอย่างดี และผู้กำหนดนโยบายของญี่ปุ่นยังต้องต่อสู้กับผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา
สาเหตุ
แก้จากปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้ยุติลงอย่างกะทันหันในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เนื่องจากปลายทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจญี่ปุ่นประสบกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เกิดจากนโยบายการเติบโตของสินเชื่อที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นผ่านกลไกนโยบายที่เรียกว่า "Window guidance" [12][13] ดังที่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อพอล ครุกแมนอธิบายว่า "ธนาคารของญี่ปุ่นนั้นปล่อยสินเชื่อมากกว่าธนาคารอื่น ๆ และยังมีการคำนึงถึงเครดิตผู้กู้น้อยกว่าธนาคารอื่น ๆ ด้วย การทำเช่นนั้นทำให้ธนาคารเหล่านี้เป็นตัวการขยายเศรษฐกิจฟองสบู่จนมีสัดส่วนที่แปลกประหลาด" [14] นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ริชาร์ด เวอร์เนอร์ กล่าวว่าแรงกดดันจากภายนอก เช่น ข้อตกลงพลาซา รวมถึงนโยบายของกระทรวงการคลัง (ญี่ปุ่น)ในการลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไม่เพียงพอที่จะอธิบายการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น [12][13]
จากความพยายามที่จะลดการเก็งกำไรและควบคุมอัตราเงินเฟ้อธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรวดเร็วในปลายปี 1989 [15]นโยบายที่เฉียบขาดนี้ทำให้เกิดฟองสบู่แตกและเกิดสภาวะตลาดหุ้นล้มในญี่ปุ่นดัชนีราคาหุ้นและสินทรัพย์ลดลง ส่งผลให้ธนาคารและบริษัทประกันภัยของญี่ปุ่นเกิดหนี้เสียค้างจำนวนมากส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อธนาคารซบเซา[16] สถาบันการเงินได้รับการช่วยเหลือผ่านการระดมทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและได้รับเงินกู้ยืมสินเชื่อราคาถูกจากธนาคารกลาง แต่ก็ทำให้เสียความตระหนักจากการบริหารงานที่เสี่ยงต่อการขาดทุนเพราะหากขาดทุนธนาคารเหล่านั้นก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลและในที่สุดก็กลายเป็นธนาคารซอมบี้ (ธนาคารซอมบี้ หมายถึง บริษัทที่มีหนี้สินจำนวนมาก และไม่มีความสามารถที่จะสร้างกำไรเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ แต่ยังสามารถทำธุรกิจต่อได้ด้วยความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากรัฐบาลหรือธนาคารกลาง) [17] บทความจากบลูมเบิร์ก นิวส์ที่เขียนโดยยัลมาน โอนารานซึ่งเป็นนักข่าวการเงินระบุว่าธนาคารซอมบี้นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของความซบเซาทางเศรษฐกิจที่ยาวนานของญี่ปุ่น[18] ไมเคิล ชูแมนจากนิตยสารไทม์เขียนว่า "ธนาคารเหล่านี้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทซอมบี้โดยที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนอะไรเลย โดยให้เหตุผลว่าบริษัทใหญ่เกินกว่าจะล้มละลาย" บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหนี้สินจำนวนหมาศาลไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีเงินสนับสนุน ไมเคิล ชูแมนเชื่อว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาจนกว่ารัฐบาลจะหยุดให้เงินช่วยเหลือแก่บริษัทซอมบี้เหล่านี้[19]
ในที่สุดบริษัทที่ล้มเหลวหลายแห่งก็อยู่ไม่ยั่งยืนทำให้เกิดการควบรวมกิจการตามมา ส่งผลให้เกิดธนาคารระดับชาติสี่แห่งในญี่ปุ่น บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งมีภาระหนี้สินจำนวนมากการขอสินเชื่อจากธนาคารปกติจึงทำได้ยากลำบากผู้ต้องการกู้ยืมจึงใช้บริการซาราคิน (บริษัทเงินทุนให้กู้ไมโครไฟแนนซ) สำหรับอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นก็อยู่ในระดับต่ำในปี 2012 อัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 0.1%[20] อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่า 1% ตั้งแต่ปี 1994[21]
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
แก้แม้ภาคเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงทศวรรษปี 2000 แต่ภาคการบริโภคเพื่อแสดงสถานะ (การบริโภคสินค้าที่มีความหรูหรา)[22] ก็ยังไม่กลับไปเท่าช่วงทศวรรษปี 1980 บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า โซนี่ พานาโซนิค ชาร์ป และโตชิบาที่เคยครองอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1990 ในภาคการผลิตของตน ต้องต่อสู้กับการแข่งขันจากบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะกับเกาหลีใต้และจีนที่ขึ้นมาแข่งขันได้อย่างดีในทศวรรษที่ 2000 จากสถิติในปี 1989 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ 50 อันดับแรกของโลกมีบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นถึง 32 แห่ง แต่ใน ค.ศ. 2018 เหลือเพียงบริษัทโตโยต้าบริษัทเดียวที่ยังคงอยู่ใน 50 อันดับแรก[23] บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้เปลี่ยนรูปแบบพนักงานไปเป็นพนักงานชั่วคราวที่มีความมั่นคงในการทำงานน้อยลงและได้รับสวัสดิการน้อยกว่าเดิม คาดว่าในปี ค.ศ. 2009 มีพนักงานในรูปแบบชั่วคราวนี้มากกว่าหนึ่งในสามของกำลังแรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่น[24] ค่าจ้างของแรงงานซบเซาลงมากแทบไม่เพิ่มตั้งแต่ปี 1997 อัตราค่าจ้างที่แท้จริงลดลงประมาณ 13% ภายในปี 2013[7]ซึ่งเป็นอัตราลดลงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จากการสำรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการพบว่ารายได้ของครัวเรือนชาวญี่ปุ่นในปี 2010 ลดลงเทียบเท่ากับรายได้ครัวเรือนในปี 1987[25] จากข้อมูลของ เทโกกุ ดาด้าแบงค์ (teikoku databank) ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดอันดับที่มีความน่าเชื่อถือที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นพบว่ายอดขายรวมของบริษัททั้งหมดในญี่ปุ่นหดตัวลงราว 3.9% ในปี 2010 เมื่อเทียบกับปี 2000 หรือสูญเสียมูลค่าไป 13,848.2 พันล้านเยน[26]
อ้างอิง
แก้- ↑ "Hayashi Prescott" (PDF).
- ↑ Leika Kihara (August 17, 2012). "Japan eyes end to decades long deflation". Reuters. สืบค้นเมื่อ September 7, 2012.
- ↑ "円は一段と上昇か、日本は次の失われた10年に直面-ムーディーズ". Bloomberg.com (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
- ↑ 4.0 4.1 "「失われた30年」に向かう日本". Newsweek日本版 (ภาษาญี่ปุ่น). 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
- ↑ Nielsen, Barry. "The Lost Decade: Lessons From Japan's Real Estate Crisis". Investopedia (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ "Japanese GDP, nominal".
- ↑ 7.0 7.1 "Waging a New War". March 9, 2013.
- ↑ "Inflation Japan - CPI inflation".
- ↑ "ญี่ปุ่นสูญตำแหน่งอันดับ Top 3 เศรษฐกิจโลก หลัง GDP หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะถดถอย". THE STANDARD. 16 February 2024.
- ↑ Fingleton, Eamonn (January 6, 2012). "The Myth of Japan's Failure". The New York Times.
- ↑ Fingleton, Eamonn (January 12, 2012). "Video interview on BBC News with Eamonn Fingleton". BBC News, 5 min. 26 sec.
- ↑ 12.0 12.1 Werner, Richard (2005). New Paradigm in Macroeconomics. doi:10.1057/9780230506077. ISBN 978-1-4039-2074-4.
- ↑ 13.0 13.1 Werner, Richard A. (2002). "Monetary Policy Implementation in Japan: What They Say versus What They Do". Asian Economic Journal. 16 (2): 111–151. doi:10.1111/1467-8381.00145.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อKrugman 2009
- ↑ "Japan Raised Interest Rates". Reuters via The New York Times. December 25, 1989.
- ↑ Princes of the Yen. Japan's Central Bankers and the Transformation of the Economy. quantumpublishers.com. 2003.
- ↑ "รู้จัก "Zombie Company" บริษัทผีดิบ ในโลกของธุรกิจ". www.longtunman.com. 27 October 2022. สืบค้นเมื่อ 2 March 2024.
- ↑ Onaran, Yalman (2011-11-25). "Kill the zombie banks!". Salon Media Group. สืบค้นเมื่อ 2013-01-16.
- ↑ Schuman, Michael (2008-12-19). "Why Detroit Is Not Too Big to Fail". Time Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-23. สืบค้นเมื่อ 2008-12-23.
- ↑ Ohno, Kenichi. "Economic Development of Japan". National Graduate Institute for Policy Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-14. สืบค้นเมื่อ 3 April 2011.
- ↑ "Bank of Japan Interest Rates".
- ↑ "เมื่อมือถือเป็นมากกว่ามือถือ: รู้จักกับตลาดมือถือหรู | Blognone". www.blognone.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 March 2024.
- ↑ "昭和という「レガシー」を引きずった平成30年間の経済停滞を振り返る". ダイヤモンド・オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 20 August 2018. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
- ↑ Tabuchi, Hiroko (2009-02-22). "When Consumers Cut Back: An Object Lesson From Japan". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2010-05-11.
- ↑ "世帯所得、昭和に逆戻り…10年平均538万円". 日本経済新聞 電子版 (ภาษาญี่ปุ่น). 5 July 2012. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
- ↑ 田中秀臣 『日本経済復活が引き起こすAKB48の終焉』 主婦の友社、2013年、84頁。