ซัยด์ อิบน์ อะลี

ซัยด์ อิบน์ อะลี (อาหรับ: زَيْد ٱبْن عَلِيّ; ค.ศ. 695–740) เป็นบุตรของอะลี อิบน์ ฮุซัยน์ และเหลนของอะลี อิบน์ อะบีฏอลิบ เขาเป็นคนนำการก่อกบฏที่ล้มเหลวต่อรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ ซึ่งทำให้เขาเสียชีวิต[1] เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดสาขาซัยดียะฮ์ของชีอะฮ์ ซึ่งถือว่าเขาดำรงตำแหน่งอิหม่ามต่อจากอะลี อิบน์ ฮุซัยน์ ซัยด์ อิบน์ อะลีเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาในนิกายซุนนีหลายคนและได้รับการสนับสนุนจากอะบูฮะนีฟะฮ์ที่ได้ฟัตวาสนับสนุนซัยด์[2]

ซัยด์ อิบน์ อะลี
زَيْد ٱبْن عَلِيّ
คำนำหน้าชื่อ
  • ซัยด์ อัชชะฮีด
    อาหรับ: زَيْد ٱلشَّهِيْد, อักษรโรมัน: Zayd ash-Shahīd
  • พันธมิตรของอัลกุรอาน
    อาหรับ: حَلِيْف ٱلْقُرْأٓن, อักษรโรมัน: Ḥalīf Al-Qurʾān
ส่วนบุคคล
เกิดฮ.ศ. 80
ประมาณ ค.ศ. 698
มรณภาพ2 เศาะฟัร ฮ.ศ. 122
ประมาณ ค.ศ. 740 (42 ปี)
ที่ฝังศพกูฟะฮ์, ประเทศอิรัก
ศาสนาอิสลาม
คู่สมรสร็อยเฏาะฮ์ บินต์ อับดุลลอฮ์ อัลอะละวียะฮ์
บุตรฮะซัน
ยะห์ยา
ฮุซัยน์
Isa Mawtamul-Ishball
มุฮัมมัด
บุพการี
ชื่ออื่นอะบูลฮะซัน (กุนยะฮ์)
ตำแหน่งชั้นสูง
ช่วงที่ดำรงตำแหน่งอิหม่าม: 28 ปี
(ฮ.ศ. 95 – 122)
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าอะลี อิบน์ ฮุซัยน์ ซัยนุลอาบิดีน
ผู้ดำรงตำแหน่งถัดมายะฮ์ยา บิน ซัยด์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนชีอะฮ์สิบสองอิมามและอิสมาอีลียะฮ์ มุฮัมมัด อัลบากิร กึ่งพี่ชายของเขา ถูกมองเป็นอิหม่ามคนต่อไป ถึงกรพนั้น เขายังถือเป็นบุคคลสำคัญของชีอะฮ์และผู้พลีชีพ (ชะฮีด) ในทุกสำนักของซุนนี[2]และชีอะฮ์ การเรียกร้องในการแก้แค้นสำหรับการเสียชีวิตของเขา และการจัดแสดงร่างกายแบบโหดเหี้ยม มีส่วนให้เกิดการปฏิวัติราชวงศ์อับบาซียะฮ์[3]

ประวัติ แก้

เซดเรียนรู้จากสามอิมาม แก้

เซดเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของ อิมามซัยนุลอาบิดีน ผู้เป็นบิดา ศึกษาวิชาความรู้จากทางศาสนาจากบิดา, จากอิมามอัลบากิร พี่ชาย และแลกเปลี่ยนความรู้กับอิมามอัศศอดิก จนมีความรู้สูงส่ง และมีลูกศิษย์มากมาย

เซด ยังได้ประพันธ์ตำราทางนิติบัญญัติอิสลามและวิทยาการเกี่ยวกับอัลกุรอานหลายเล่มอีกด้วย เซด ลือนามว่าเป็นบุรุษที่ซื่อสัตย์ บำเพ็ญแต่คุณงามความดี มีจิตใจกล้าหาญ เป็นนักพูดที่ดี เฉลียวฉลาด มีความจำดีเยี่ยม เจริญรอยตามบิดาและบรรพบุรุษในตระกูลหาชิมของศาสนทูตมุฮัมมัด เหล่านักปราชญ์ร่วมสมัยและรุ่นหลัง ต่างก็สรรเสริญเยินยอคุณงามความดีของ เซด ไว้มากมาย

แผนกำจัดเซด แก้

หิชาม บินอับดิลมะลิก แห่งตระกูลอุมัยยะหฺ ผู้เป็นคอลีฟะหฺแห่งอาณาจักรอุมะวียะหฺ มีความหวาดหวั่นต่อตระกูลหาชิม เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในอดีต จึงสอดส่องพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของตระกูลหาชิมนี้ตลอดมา

เมื่อหิชามได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นคอลีฟะหฺ สิ่งแรกที่หิชามทำก็คือการปลดผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆ ออกจากตำแหน่ง และให้คนสนิทของตนเข้าดำรงตำแหน่งแทน ในแคว้นอิรักนั้น หิชามได้แต่งตั้ง ยูสุฟ บินอุมัร อัษษะก็อฟีย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ปกครองแคว้น แทน คอลิด บินอับดิลลาหฺ อัลกุศอรีย์ ที่ถูกปลดออกไป ยูสุฟ ผู้ปกครองแคว้นคนใหม่ ได้ฉวยโอกาสการเปลี่ยนแปลงอำนาจครั้งนี้ บั่นทอนอำนาจและบารมีของคู่อริด้วยการสั่งให้จับกุม คอลิด ผู้ปกครองแคว้นคนก่อน แล้วนำไปลงโทษทรมานฐานทุจริตยักยอกทรัพย์สินของคลังหลวง ในขณะเดียวกันก็ใช้ คอลิด ให้เป็นเครื่องมือในการดำเนินแผนการปราบปรามเสี้ยนหนามของคอลีฟะหฺแห่งตระกูลอุมัยยะหฺอีกด้วย โดยการบังคับให้ คอลิด อ้างว่าตนได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งของเซดในเมืองมะดีนะหฺ หลังจากนั้นก็ได้มีจดหมายถึง คอลีฟะหฺ หิชาม ในกรุงดามัสคัส ยื่นคำร้องให้คอลีฟะหฺ เรียกตัวเซดไปสอบสวน

เซด ซึ่งไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับ คอลิด เลย ก็จำเป็นต้องเดินทางจากนครมะดีนะหฺสู่กรุงดามัสคัส ตามคำสั่งของคอลีฟะหฺ อันที่จริงจุดประสงค์ของแผนการนี้ก็คือการหาเรื่องให้เซดต้องได้รับความลำบาก เพราะคอลีฟะหฺทราบมาแล้วว่า เซด คือผู้ต่อต้านการปกครองของตระกูลอุมัยยะหฺ และเป็นบุรุษที่เด่นที่สุดหลังจากอิมามอัศศอดิก ผู้เป็นผู้นำของชนมุสลิมที่เคร่งครัดศาสนาในสมัยนั้น

เซด จึงจำเป็นต้องเดินทางสู่ดามัสคัสเพื่อให้คอลีฟะหฺไต่สวนคดี หากไม่เดินทางไป ก็คงจะต้องถูกกล่าวหาว่าขัดขืนคำสั่งคอลีฟะหฺ ซึ่งอาจจะถูกลงโทษได้ แต่เมื่อเซดเดินทางไปถึงก็สาบานว่า ไม่ได้มีการขายที่ดินแก่คอลิดเลย คอลีฟะหฺจึงไม่อาจหาสาเหตุเพื่อลงโทษเซดได้ จึงอนุญาตให้ท่านเดินกลับไปมะดีนะหฺได้

ฝ่ายผู้ปกครองแคว้นอิรัก เมื่อแผนการแรกล้มเหลวก็ลงโทษทรมานคอลิดเพิ่มขึ้น เพื่อให้กุคำกล่าวหาว่า ตนได้ฝากทรัพย์สินไว้มากมายกับคนห้าคนคือ หนึ่ง เซด, สอง มุฮัมมัด บินอุมัร บินอะลีย์ บินอะบีฏอลิบ, สาม ดาวูด บินอะลีย์ บินอับดิลลาหฺ บินอิลยาส บิน อับดิลมุฏฏ็อลิบ, สี่ สะอัด บินอับดิรรอฮฺมาน บินเอาฟฺ และ ห้า อัยยูบ บินสะละมะหฺ บินอับดิลลาหฺ อิบนุลอับบาส อิบนุลวะลีด อัลมัคซูมีย์ และได้แจ้งเรื่องนี้แก่คอลีฟะหฺ ให้ส่งตัวเซดและอีกสี่คนนั้น ไปสอบสวนในกรุงดามัสคัสอีกครั้ง บุรุษทั้งห้าจึงเดินทางไกลไปกรุงดามัสคัสตามคำสั่งของคอลีฟะหฺ การสอบสวนจึงเริ่มมีขึ้น แต่พวกเขาต่างก็ปฏิเสธคำกล่าวหานั้น คอลีฟะหฺ จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมผู้ต้องหาเหล่านั้น ไปสอบสวนคดีในอิรัก ยกเว้นอัยยูบ บินสะละมะหฺ ซึ่งคอลีฟะหฺได้สั่งให้ยกเว้น เพราะเขาเป็นญาติของคอลีฟะหฺ

เมื่อมาถึงอิรักแล้ว เจ้าเมืองอิรักก็จัดการสอบสวนคดี เซดตอบว่า คอลิดจะฝากทรัพย์สินไว้กับตนได้อย่างไร ในเมื่อคอลิตเองก็ด่าทอบรรพบุรุษของเซดบนมินบัร เมื่อคอลิดถูกนำตัวออกมา คอลิดก็ยอมรับสารภาพว่า ตนไม่ได้ฝากทรัพย์สินไว้กับเซดแต่ประการใด แต่เนื่องจากถูกทรมาน จึงต้องยอมพูดตามที่เขาสั่งให้พูด เจ้าเมืองอิรักก็ไม่สามารถเอาผิดเซดและพรรคพวกได้ จึงจำเป็นต้องปล่อยตัวกลับไป

เซดปลุกระดมปวงชนให้ก่อการปฏิวัติ แก้

เซดพักอยู่ในนครกูฟะหฺแห่งอิรักหลายวัน ก่อนที่จะถูกทางการสั่งให้ออกจากนคร เพราะเกรงว่าเซดจะทำการปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านการปกครองของตระกูลอุมัยยะหฺ ท่านจึงออกเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังนครมะดีนะหฺ เมื่อเดินทางมาถึงอัลกอดิสียะหฺ หรืออัษษะอฺละบียะหฺ ชาวเมืองกูฟะหฺกลุ่มหนึ่งได้เดินทางตามมาถึง และขอให้เซดเดินทางไปกูฟะหฺ พวกเขาสี่หมื่นคนจะเป็นไพล่พล ก่อการปฏิวัติโค่นล้มอาณาจักรอุมาวียะหฺ เซดจึงได้กล่าวว่า "ฉันกลัวว่า พวกท่านจะทำกับฉัน เหมือนอย่างที่พวกท่านทำกับบิดาและปู่ของฉัน" พวกเขาต่างก็สาบานว่า จะต่อสู้อย่างจริงจังภายใต้การนำของเซด

ดาวูด บินอะลีย์ ที่เดินทางมาด้วยกันก็กล่าวตักเตือนไม่ให้หลงเชื่อพวกชาวเมืองกูฟะหฺ เพราะได้เคยทรยศต่ออะลีย์ บินอะบีฏอลิบ, ฮะซัน และฮุเซน มาแล้วในอดีต แต่เซดไม่เชื่อฟังคำแนะนำของดาวูด ทั้งสองจึงแยกทางกัน เซดเดินทางกลับไปกูฟะหฺอีกครั้งพร้อมกับผู้คนที่มาเชิญให้ไป ฝ่ายอับดุลลอหฺ อัลมะฮัฎที่อยู่ในมะดีนะหฺเมื่อทราบข่าวก็ส่งจดหมายเตือนเซดให้ระมัดระวังต่อการที่ชาวกูฟะหฺจะทรยศ

เมื่อเซดมาถึงเมืองกูฟะหฺ สะละมะหฺ บินกะฮีล อัลอัฎรอมีย์ นักปราชญ์แห่งกูฟะหฺ ได้เตือนสติเซดเรื่องการทรยศของชาวกูฟะหฺในอดีตอีกเช่นกัน หลังจากนั้น เขาก็ขออนุญาตลาออกจากเมืองกูฟะหฺไปอาศัยอยู่ที่เมืองยะมามะหฺ เพราะเดาได้ว่าชาวกูฟะหฺจะต้องทรยศต่อเซดเป็นแน่

อีกคนหนึ่งที่ห้ามปรามไม่ให้เซดรับสัญญาของชาวเมืองกูฟะหฺคือ ซะกะรียา บินอะบีซาอิดะหฺ

แล้วเซดก็เดินทางเข้าเมืองกูฟะหฺในเดือนเชาวาล ปี ฮ.ศ. 120 แล้วพำนักอยู่ในเมืองนี้เป็นเวลา 15 เดือน และในบัศเราะหฺอีก 2 เดือน รวบรวมไพร่พลที่ให้คำสัตยาบันแก่เขาได้ทั้งหมด 25,000 คน ล้วนเป็นชาวเมืองกูฟะหฺ นอกจากนี้ยังสามารถรวบรวมไพร่พลจากมะดาอิน, บัศเราะหฺ, วาซิฏ, เมาศิล, ญะซีเราะหฺ, ร็อยย์ (เรย์), คุรอซาน และญุรญาน ได้อีกมากมาย ส่วนนักปราชญ์ในเมืองกูฟะหฺเกือบทุกคนก็ให้คำสัตยาบันสนับสนุนการปฏิวัติของเซด อะบูฮะนีฟะหฺก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการปฏิวัติของเซด

ฝ่ายหิชามเมื่อได้ข่าวว่า เซดรวบรวมไพร่พลอยู่ในนครกูฟะหฺ ก็เขียนจดหมายต่อว่าเจ้าเมืองอิรักว่า เหตุใดจึงปล่อยให้เซดรวบรวมไพร่พลอยู่ และให้รีบหาหนทางทำลายเสียโดยเร็ว

ล้มแผนการปฏิวัติ แก้

เมื่อเวลาออกรบใกล้เข้ามาแล้ว ชาวกูฟะหฺเริ่มลังเลต่อการนำของเซด จัดหาวิธีที่จะล้มเลิกขบวนการปฏิวัตินี้ ด้วยการตั้งคำถามที่ล่อแหลมว่า เซดมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคอลีฟะหฺคนแรก คืออะบูบักรฺ และคอลีฟะหฺคนที่สอง คืออุมัร ในกองทัพของเซดนั้นมีไพร่พลที่มีทัศนะในเรื่องนี้แตกต่างกัน บ้างก็นับถือคอลีฟะหฺทั้งสอง บ้างก็ไม่นับถือคอลีฟะหฺทั้งสอง แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั่นคือ การโค่นล้มระบอบการปกครองที่ขัดกับกฎบัญญัติอิสลาม เพื่อก่อตั้งรัฐอิสลามที่แท้จริง เซดตอบคำถามนี้ว่า "ฉันไม่เคยได้ยินบรรพบุรุษของฉันคนใดที่ตัดความเกี่ยวพันกับคนทั้งสอง และไม่มีผู้ใดกล่าวต่อเขาทั้งสองนอกจากด้วยสิ่งที่ดี"

เมื่อชาวเมืองกูฟะหฺที่สนับสนุนเซดได้ยินเช่นนั้น ต่างถอนตนออกจากทัพของเซด จนเหลือผู้สนับสนุนไม่ถึง 500 คน ในจำนวนนี้มี เพียง 220 คนที่สามารถเป็นทหารออกทัพจับศึกได้

การต่อสู้ แก้

เมื่อเซดทราบว่ายูสุฟ บินอุมัรเจ้าเมืองอิรัก ได้ประกาศให้ตามจับตน อีกทั้งยังทราบมาว่า ชายสองคนซึ่งเป็นพรรคพวกของตน ถูกทางการจับแล้วนำไปฆ่า เซดจึงรีบสั่งให้ลุกขึ้นต่อสู้ก่อนเวลาที่เคยกำหนดไว้กับไพร่พลในหัวเมืองอื่น ๆ โดยให้มีการปฏิวัติในคืนวันที่ 1 เดือนศอฟัร ปี ฮ.ศ. 122 (อังคาร ที่ 5 มกราคม ค.ศ. 740) ซึ่งตรงกับคืนวันอังคาร ทว่าก่อนที่ทัพของเซดจะออกศึก อัลฮกัม อิบนุศศ็อลติ ได้รวบรวมชาวเมืองกูฟะหฺให้เข้าไปในมัสยิดใหญ่ในเมืองแล้วให้ทหารล้อมไว้เป็นเวลาสามวันสามคืน โดยให้ทุกคนพาเสบียงอาหารไปด้วย

ในวันอังคาร อัลฮะกัม อิบนุศศ็อลติ ได้สั่งให้ปิดตลาดและปิดประตูมัสยิดขังผู้คนไว้ในนั้น หลังจากนั้นก็ส่งจดหมายไปแก่เจ้าเมืองอิรัก ซึ่งตอนนั้นอยู่ในเมืองฮัรเราะหฺ ให้ทราบข่าวคราวความคืบหน้าของการปฏิวัติ เพื่อจะได้จัดการต่อต้าน เจ้าเมืองอิรักจึงส่ง ญะอฺฟัร อิบนุลอับบาส อัลกินดีย์ พร้อมกับทหารม้า 50 คน เพื่อศึกษาสถานการณ์ในเมืองกูฟะหฺ

ในคืนอังคารนั้น พวกทหารของเจ้าเมืองก็ได้บุกเข้าไปในบ้านของ มุอาวิยะหฺ บินอิสฮาก บินเซด บินฮาริษะหฺ อัลอันศอรีย์ แต่ก็ไม่พบเจ้าตัว

เช้าวันพุธ เจ้าเมืองอิรักก็ออกไปที่เนินเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก อัลฮีเราะหฺ โดยมีเหล่าผู้นำแห่งกุเรชและเผ่าอื่น ๆ ตามไปด้วยราว 200 คน ในวันเดียวกันนี้ เซดได้ส่งอัลกอซิม บินกะษีร อัลอัฎรอมีย์ และศ็อดดาม ให้ออกไปตะโกนในเมืองว่า "ยา มันศูร อะมิด" แต่ก็พบกับ ญะอฺฟัร อิบนุลอับบาส อัลกินดีย์ และพรรคพวก จึงเกิดการต่อสู้กัน จนศ็อดดามถูกฆ่า และกอซิมนั้นก็ถูกจับตัวไปให้แก่ อัลฮะกัม อิบนุศศ็อลติ เมื่อถูกไต่ถาม อัลกอซิมไม่ยอมตอบจึงถูกนำไปตัดคอที่หน้าจวนเจ้าเมือง

ในวันแห่งการต่อสู้นั้นมีผู้คนที่ยังยืนหยัดอยู่กับเซดเพียง 218 คนเท่านั้น เซดจึงถามว่า "พรรคพวกของเราไปไหนกันหมด?" ก็มีผู้ตอบว่า "ถูกขังอยู่ในมัสยิดใหญ่" เซดกล่าวว่า "ขอสาบาน สิ่งนี้ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีสำหรับผู้ที่ได้ให้คำสัตยาบันต่อเรา"

ส่วน นัศรุ บินคุซัยมะหฺ และพรรคพวกเมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกก็ออกไปดู จึงเห็น อัมรุ บินอับดิลเราะฮฺมาน ซึ่งเป็นศอฮิบ อัชชุรเฏาะหฺ (ผู้กอง) ของ อัลอะกิบ อิบนุศศ็อลติ และตำรวจอีกหลายนาย ก็เกิดการปะทะกันจน ผู้กองนั้นถูกฆ่าตาย และเหล่าตำรวจนั้นก็หนีไปหลังจากนั้น นัศรุและไพร่พล ก็เข้ารวมกับกองทัพใหญ่ภายใต้การนำของเซด ซึ่งกำลังต่อสู้กับกองทัพที่มาจาก ซีเรีย มีไพร่พลทั้งหมด 500 คน เซดและพรรคพวกก็เข้าโจมตีกองทัพนี้จนพ่ายแพ้หนีไป

เซดได้นำทัพผ่านบ้านของ อะนีซ บินอัมริ ที่เคยให้คำสัตยาบัน ว่าจะร่วมต่อสู้ จึงเรียกให้ออกมาร่วมทัพ แต่ชายคนนี้ก็ไม่ยอมออกมา เซดได้นำไพร่พลจนกระทั่งถึงสถานที่หนึ่งที่ชื่อ อัลกันนาซะหฺ ซึ่งเป็นใจกลางเมือง ที่นั่นมีกองทหารจากซีเรียตั้งทัพอยู่ เซดและพรรคพวกจึงบุกเข้าโจมตี จนกระทั่งพวกทหารซีเรียแตกทัพหนีไป

หลังจากนั้นเซดก็นำทัพ ออกจากเมืองจนกระทั่งมาถึงที่ อัลญะบานะหฺ ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองฮีเราะหฺและกูฟะหฺ จึงแลเห็น ยูซุฟ บิน อุมัร เจ้าเมืองอิรัก ที่รออยู่บนเนินเขา เซดพยายามจะบุกขึ้นเนินเขาเพื่อเข้าโจมตีเจ้าเมืองและพวกทหารบนเนิน แต่ไม่อาจจะทำได้ เพราะว่า ร็อยยาน บินสะละมะหฺ นำกองทัพจากซีเรียบุกโจมตีเข้ามาด้านหลัง

เซดจึงนำทัพเข้าเมืองกูฟะหฺอีกครั้ง แล้วต่างคนต่างก็แยกเข้าเขตต่าง ๆ ในเมือง จนกระทั่งปะทะกับกองทหารม้าของเจ้าเมือง กองทหารของเซดต่างก็หนีเข้าซอย เหลือเพียงชายคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ เข้าไปในมัสยิดหลังหนึ่งแล้วนมาซสองร่อกอัต หลังจากนั้น ก็ออกมาต่อสู้กับพวกทหาร แล้วถูกทหารคนหนึ่งใช้เสาตีจนเสียชีวิต

ส่วนพวกที่หนีเข้าซอยนั้นก็ออกมาต่อสู้กับทหารของเจ้าเมือง สมาชิกของเซดคนหนึ่งได้วิ่งเข้าไปในบ้านของ อัลดุลลอหฺ บินเอาฟิ พวกทหารจึงบุกเข้าไปในบ้านแล้วนำตัวเขาไปพบกับเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงสั่งให้ฆ่าชายคนนี้เสีย นัศรุ บินคุซัยมะหฺ ได้แนะนำให้เซดนำไพร่พลไปที่มัสยิดใหญ่เพราะที่นั่นมีชาวเมืองกูฟะหฺ ถูกกักขังอยู่ เซดกล่าวว่า "พวกเขาทรยศอย่างที่เคยทำกับ ฮุเซน ในอดีต" นัศรุ จึงกล่าวว่า "ส่วนฉันก็จะต่อสู้อยู่กับท่านด้วยดาบนี้ จนกว่าฉันจะถูกฆ่า"

ในขณะที่เซดนำพรรคพวกเข้าใกล้มัสยิดใหญ่นั้น อุบัยดุลลอหฺ อิบนุลอับบาส อัลกินดีย์ ได้เห็นเข้าจึงนำทัพเข้าโจมตีทัพของเซด จนมีการปะทะกันที่หน้าประตู อุมัร บินสะอัด บินอะบีวักกอศ แต่ทัพของอุบัยดุลลอหฺ ก็พ่ายแพ้ มีทหารล้มตายมากมาย อุบัยดุลลอหฺเองและทหารที่เหลือก็หนีจนกระทั่งถึงบ้าน อัมรุ บินฮะรีษ ที่อยู่ในเขต อัซซับเคาะหฺ ใกล้กับมัสยิดใหญ่

เช้าวันพฤหัสบดี วันที่ 3 ศอฟัร เจ้าเมืองได้สั่งให้ อัลอับบาส บินซะอีด อัลมุซนีย์ ผู้เป็น ศอฮิบ อัชชุรเฏาะหฺ (ผู้กอง) ให้นำกำลังพลไปโจมตีเซดและพรรคพวก ใน ดาร อัรริซกิ จึงเกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่าย นัศรุ บินคุซัยมะหฺ อัลอับสีย์ และ มุอาวิยะหฺ บินอิสฮาก อัลอันศอรีย์ ประกบคุ้มครองเซดอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงทางเดินที่เต็มไปด้วยไม้และเศษไม้ อัลอับบาส ก็ตะโกนสั่งให้ทหารของพวกตนลงจากหลังม้า นาอิล บินฟัรวะหฺ ฟันขาอ่อนของ นัศรุด้วยดาบจนได้รับบาดเจ็บ นัศรุเองก็ฆ่านาอิล ไพร่พลของอัลอับบาส ถูกฆ่าตายประมาณ 70 คน ที่เหลือก็หนีไป

เวลาบ่ายของวันเดียวกัน เจ้าเมืองได้ส่งกำลังพลไปโจมตีเซดและพรรคพวกอีก จนมีการปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่ทหารของเจ้าเมืองก็พ่ายแพ้อีกตามเคย เซดและพรรคพวกจึงไล่ตามพวกทหารเหล่านั้น จนกระทั่งถึงเขตของตระกูลสะลีม และไล่ตามพวกเขาจนถึงสถานที่หนึ่งระหว่างบาริกและรุอาซ แล้วก็มีการต่อสู้กันที่นั่นอีกครั้ง ในการต่อสู้ที่อัซซับเคาะหฺนั้น ผู้คนเห็นเมฆสีเหลืองติดตามเซดตลอดเวลาที่เขาเคลื่อนย้าย

ในขณะที่ต่อสู้อยู่นั้น ทหารม้านายหนึ่งจาก ตระกูลกัลบิ ได้ด่าทอท่านหญิงฟาฏิมะหฺ เซดได้ยินก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง จนร้องไห้จนน้ำตาชุ่มเครา จึงหันหน้าไปทางพรรคพวก แล้วถามว่า "ไม่มีใครเลยหรือที่จะโกรธเพื่อฟาฏิมะหฺ ไม่มีใครเลยหรือที่จะโกรธเพื่อศาสนทูตของอัลลอหฺ ไม่มีใครเลยหรือที่จะโกรธเพื่ออัลลอหฺ" ทหารม้าคนนั้นลงจากหลังม้าเปลี่ยนไปขี่ล่อ สะอีด บินคอยษัม จึงใช้ดาบสั้น ตัดคอทหารคนนั้น จนกระทั่งศีรษะหล่นตกลงมาข้างหน้าล่อ พวกทหารต่างก็เข้ารบหมายฆ่าสะอีด แต่พรรคพวกของเซดก็เข้าปกป้องสะอีด สะอีดจึงขี่ล่อของชายนั้นเข้ามาหาเซด เซดจึงจูบสะอีดที่ดั้งจมูก แล้วกล่าวว่า "ขอสาบาน ขอสาบานด้วยอัลลอหฺ ท่านได้ทำถูกต้องกับการแก้แค้นของเราแล้ว ขอสาบานด้วยอัลลอหฺ ท่านได้ประสบกับเกียรติคุณแห่งโลกนี้และโลกหน้า และขุมทรัพย์ของมันทั้งสองแล้ว" ว่าแล้วก็มอบล่อตัวนั้นให้แก่สะอีด

เซดนำพรรคพวกมาถึงที่สะพานแล้วกล่าวต่อพรรคพวกว่า "หากฉันรู้ว่ามีการกระทำความดีที่ดีกว่าการฆ่าฟันพวกนี้ ฉันก็คงทำไปแล้ว ฉันเคยห้ามไม่ให้พวกท่านไล่ตามทหารที่หนี อย่าฆ่าฟันคนที่ได้รับบาดเจ็บ อย่าเปิดประตูที่ปิด แต่นี่ฉันได้ยินพวกเขาด่าทออะลีย์ ดังนั้น พวกท่านก็จงฆ่าพวกเขาทุกด้าน ..."

การต่อสู้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม เหล่าม้าของทหาร หวาดกลัวต่อม้าของเซดและพรรคพวก ทำให้กองทัพทหารระส่ำระสาย อัลอับบาส บินสะอีด อัลมุซนีย์ จึงขอให้เจ้าเมืองหนุนกำลังพลและกำลังม้า เจ้าเมืองจึงสั่งให้ สุลัยมาน บินกีซาน อัลกัลบีย์ นำทหารจากเมืองก็อยกอนและบุคอรอเข้ามาหนุน เซดและพรรคพวกพยายามต่อสู้กับทัพหนุนนี้ แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ มุอาวิยะหฺ บินอิสฮาก ที่คอยปกป้องเซด ก็ถูกฆ่า

เซดถูกสังหาร แก้

คืนนั้น เซดถูกยิงด้วยธนูลึกลับดอกหนึ่ง ที่หน้าผากจนทะลุเข้าไปในสมอง เซดจึงถอยทัพกลับ แต่เจ้าเมืองหารู้ไม่ว่า เซดบาดเจ็บ คิดว่าคงถอยทัพกลับไปพักผ่อน อันที่จริงผู้ที่ยิงธนูนั่นคือ รอชิด เป็นทาสของเจ้าเมืองอิรัก พรรคพวกของเซด ช่วยกันพาเขาเข้าไปในบ้านของ ฮัรรอน บินกะรีมะหฺ ใน สักกะหฺ อัลบะรีด ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมัสยิดใหญ่มากนัก แล้วไปหาหมอมารักษา หมอเห็นอาการแล้ว ก็บอกว่า หากเอาธนูออกแล้วเซดก็ต้องตาย เซดบอกว่า "สำหรับฉันแล้วการตายจะดีกว่า" หมอจึงดึงธนูออก เซดก็เสียชีวิตทันที

เซดเมื่อเสียชีวิตนั้นมีอายุเพียง 46 ปีหรือ 47 ปีเท่านั้น

เป็นธรรมเนียมของผู้ปกครองแห่งอาณาจักรมุอาวียะหฺ ที่จะนำศพของศัตรูของพวกตนไปทำการอนาจาร เพื่อเป็นการขู่ประชาชนไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง บรรดาพรรคพวกของเซดตกลงกันว่า จะซ่อนศพของเซดไม่ให้พวกทหารรู้ บางคนออกความคิดว่า "เราควรจะใส่เสื้อเกราะแก่ท่านแล้วถ่วงท่านลงในแม่น้ำ" บ้างก็บอกว่า "ควรฝังไว้ในสวนอินทผาลัม" บ้างก็บอกว่า "ควรตัดศีรษะของท่าน แล้วทิ้งให้ปะปนกับเหล่าศพที่ตายในสนามรบ" ทว่าบุตรชายของเซดไม่เห็นด้วยกับวิธีสุดท้ายนี้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร ซะวะบะหฺ บินษาบิต ก็ออกความคิดให้ไปฝังริมคลองที่อยู่ในสวนของชาวบ้าน แล้วเอาหญ้าและดินมากลบ แล้วขุดคูให้น้ำไหลผ่าน

ศพถูกตรึงที่ไม้กางเขน แก้

ฝ่ายเจ้าเมืองอิรัก เมื่อรู้ว่า เซด เสียชีวิตแล้วก็สั่งให้คนค้นหาสถานที่ฝังศพโดยประกาศจะให้รางวัลอย่างงามแก่ผู้รู้เบาะแส ก็มีผู้เห็นคนหนึ่งไปบอกเพื่อรับรางวัล เจ้าเมืองจึงสั่งให้คนไปขุดเอาศพออกมาจากสุสาน แล้วเอามาทิ้งที่หน้าจวน หลังจากนั้นก็ได้สั่งให้ตัดศีรษะของเซดเพื่อส่งไปให้คอลีฟะหฺ หิชาม ในกรุงดามัสคัส พร้อมกับศีรษะพรรคพวกของเซด พวกเขาถอดเสื้อผ้าออกจากลำตัวของเซด แล้วนำร่างที่เปลือยเปล่านั้นไปตอกที่ไม้กางเขนให้ขาขึ้นข้างบน คอลงข้างล่าง แล้วให้ปักไว้ที่ลานตลาด อัลกันนาสะหฺ ส่วนพรรคพวกของเซด อีกหลายคนคนก็ถูกตรึงที่ไม้กางเขนเช่นกัน ในจำนวนนั้นมี มุอาวิยะหฺ บินอิสฮาก, นัศรุ บินสุลัยมะหฺ และ ซิยาด อัลฮินดีย์

ศพของเซด ถูกตรึงอยู่บนไมกางเขนเป็นเวลาหลายปี ส่วนหิชามเมื่อได้เห็นศีรษะก็ตกรางวัลให้เพียงคนละ 10 ดิรฮัม แล้วสั่งให้ปักศีรษะเหล่านั้นไว้ที่ประตูเมืองดามัสคัส หลังจากนั้นหิชามก็สั่งให้พาศีรษะของเซดไปยังเมืองมะดีนะหฺ เพื่อให้ญาติพี่น้องของเซดได้เห็น แล้วนำไปปักบนสุสานศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นบรรพบุรุษของเซดหนึ่งวันหนึ่งคืน ชาวเมืองจึงขอร้องให้ มุฮัมมัด บินอิบรอฮีม บินหิชาม อัลมัคซูมีย์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองมะดีนะหฺ เอาศีรษะนั้นออกจากสุสานแห่งท่านศาสดานั้นเสีย แต่เจ้าเมืองมะดีนะหฺก็ปฏิเสธ ฝ่ายตระกูลหาชิม เมื่อเห็นการเหยียดหยามดังกล่าวก็ร้องห่มร้องไห้ได้ยินกันทั่วเมือง เสมือนวันที่ฮุเซนหลานตาของศาสนทูตถูกสังหารเสียชีวิต

หลังจากนั้นเจ้าเมืองก็สั่งให้เอาหัวไปปักด้วยทวนแล้วเอาไปตั้งไว้ที่ท้ายมัสยิด แล้วสั่งให้ทุกคนเข้ามัสยิดเพื่อฟังการปราศรัยของเจ้าเมือง และแล้วบรรดานักพูดและเหล่าผู้นำ ต่างก็ด่าทออะลีย์, ฮุเซน, เซด รวมทั้งพรรคพวกผู้สนับสนุน เมื่อนักพูดคนใดปราศรัยเสร็จแล้ว ตัวแทนเผ่าต่าง ๆ ก็ลุกขึ้นยืนด่าทอพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาทำอย่างนี้จนครบ 7 วัน โดยคนในตระกูลอุษมานจะเป็นพวกแรกที่ลุกขึ้นด่าทอจนสะใจ

ศีรษะถูกนำไปอิยิปต์ แก้

แล้วหลังจากนั้น จึงมีคำสั่งให้นำศีรษะเซดไปอิยิปต์ แล้วแห่ให้คนทั่วทั้งนครได้ดู เพื่อขู่ไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง หลังจากนั้นพวกเขาก็เอาศีรษะ ตั้งในมัสยิดกลางในนคร ต่อมามีคนขโมยศีรษะที่ตั้งอยู่บนมิมบัรของมัสยิดนั้นไปฝังในมัสยิด มุฮฺริซ อัลกิซซีย์ เวลาผ่านไปสี่ร้อยกว่าปี ในวันอาทิตย์ เดือนรอบีอุลเอาวัล ปี ฮ.ศ. 525 (กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1131) มีผู้คนค้นพบศีรษะนี้ หลังจากที่มัสยิดนี้ได้พังลงมาแล้ว ถึงแม้ว่า ร่างของเซดจะถูกตรึงอยู่ที่ตออินทผลัมเป็นเวลานานก็ตาม ร่างของเซดก็ไม่ได้เน่าเปื่อย คนที่ผ่านไปผ่านมาในเมืองก็เห็นเซด ด้วยมุมมองที่ต่างกัน บ้างก็คิดว่า สมควรแล้วที่กบฏจะได้รับการตอบแทนเช่นนี้ บ้างก็คิดว่า นี่คือนักสู้ที่ต่อต้านอธรรม

ต่อมาเมื่อถึงสมัยคอลีฟะหฺอัลวะลีด เมื่อเขาได้ข่าวว่ายะฮฺยา บินเซด ทำการปฏิวัติ เหมือนบิดา ก็สั่งให้เผาร่างของเซด แล้วเอาเถ้าถ่านและกระดูกที่ป่นแล้ว ไปทิ้งในแม่น้ำฟุรอต (ยูเฟรติส)

เซดเป็นผู้นำศาสนา แก้

เซดเป็นเจ้าของสำนักซัยดีย์ มีสาวกมากมาย มัซฮับซัยดีย์จึงเป็นชีอะหฺสายหนึ่ง ซึ่งยังมีอยู่จนถึงวันนี้ในประเทศยะมัน (ราว 10 ล้านหคือประมาณ 45% ของจำนวนประชากรทั้งหมด) และซาอุดีอาระเบีย (ราว 1 ล้านคน) ความแตกต่างระหว่างมัซฮับซัยดีย์กับมัซฮับชีอะหฺอื่น ๆ ก็คือ การเชื่อว่าอิมามไม่ใช่มะอฺศูม และอิมามมีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น คืออะลีย์ ฮะซัน ฮุเซน ซัยนุลอาบิดีน และเซด และห้ามไม่ให้ด่าทอสาวกของศาสนทูตมุฮัมมัด

อ้างอิง แก้

  1. Esposito, John L., บ.ก. (2003). "Zayd ibn Ali". The Oxford Dictionary of Islam. Oxford University Press. ISBN 978-0-1998-9120-7.
  2. 2.0 2.1 Ahkam al-Quran By Abu Bakr al-Jassas al-Razi, volume 1 page 100, published by Dar Al-Fikr Al-Beirutiyya
  3. Madelung, Wilferd (2012). "Zayd b. ʿAlī b. al-Ḥusayn". ใน P. Bearman; Th. Bianquis; C.E. Bosworth; E. van Donzel; W.P. Heinrichs (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam, Second Edition. Oxford University Press. ISBN 978-9-0041-6121-4.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้