คอสเพลย์ (อังกฤษ; cosplay) เป็นคำที่เกิดจากหน่วยคำควบของคำว่า "costume play" คือกิจกรรมและศิลปะการแสดงสดอย่างหนึ่งโดยที่ผู้เข้าร่วมจะถูกเรียกว่าคอสเพลเยอร์ ซึ่งจะสวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเพื่อแสดงเป็นตัวละครที่เฉพาะเจาะจง[1] คอสเพลเยอร์มักจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้งเพื่อสร้างวัฒนธรรมย่อยของตนเองขึ้นมา และการใช้คำว่า "คอสเพลย์" ในวงกว้างนั้นรวมไปถึงการสวมบทบาทพร้อมเครื่องแต่งกายใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในการชุมนุมใด ๆ โดยไม่นับรวมการแสดงบนเวทีอีกด้วย สิ่งใดก็ตามที่สามารถนำมาตีความเช่นนี้ได้อย่างชัดเจนก็สามารถถูกนับว่าเป็นคอสเพลย์ได้เช่นกัน แหล่งที่มาของคอสเพลย์ที่เป็นที่นิยมได้แก่อนิเมะ, การ์ตูน, หนังสือการ์ตูน, มังงะ, ซีรีส์โทรทัศน์, การแสดงดนตรีร็อก, วิดีโอเกม และในบางกรณีก็อาจจะเป็นตัวละครต้นแบบด้วยเช่นกัน คำว่าคอสเพลย์นี้ประกอบจากคำสองคำดังที่กล่าวไว้ข้างต้นซึ่งก็คือ costume และ role play

เหล่าคอสเพลเยอร์ในงานยูกิคอน 2014 เป็นงานประชุมแฟนคลับที่ประเทศประเทศฟินแลนด์
คอสเพลเยอร์ที่แต่งกายเป็นวิกิพีตัง

จุดเริ่มต้นของคอสเพลย์ในยุคใหม่นั้นมาจากการแต่งกายของแฟนนิยายวิทยาศาสตร์ในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ที่เริ่มจัดขึ้นโดยโมโจโรภายใต้ชื่อ "futuristicostumes" ซึ่งจัดขึ้นในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งที่ 1 ในเมืองนครนิวยอร์กเมื่อปี 1939[2] คำว่าคอสเพลย์ในภาษาญี่ปุ่น (コスプレ, โคสุปุเระ, kosupure) เกิดขึ้นเมื่อปี 1984 การเติบโตของจำนวนประชากรคอสเพลเยอร์ที่ทำเป็นงานอดิเรกนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ปรากฏการณ์นี้ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมประชานิยมของญี่ปุ่น รวมถึงส่วนอื่น ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและโลกตะวันตกด้วยเช่นกัน งานคอสเพลย์ถือเป็นกิจกรรมที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในฐานะของงานประชุมแฟนคลับ และในปัจจุบันนี้ได้มีงานชุมนุมหรือการประกวดและแข่งขัน, รวมถึงเครือข่ายสังคม, เว็บไซต์ และสื่อรูปแบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอสเพลย์อีกมากมาย คอสเพลย์เป็นที่นิยมในคนทุกเพศทุกวัยและไม่แปลกเลยที่จะได้เห็นการแต่งกายข้ามเพศหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเจนเดอร์-เบนดิง (gender-bending)

ศัพท์มูลวิทยา

แก้

คำว่า "cosplay" นั้นเป็นหน่วยคำควบในภาษาญี่ปุ่นซึ่งมาจากการคำในภาษาอังกฤษสองคำคือ costume และ play[1] คำว่าคอสเพลย์ถูกคิดค้นขึ้นโดยโนบุยูกิ ทาคาฮาชิจาก Studio Hard[3] หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกในปี 1984 (เวิลด์คอน) ที่ลอสแองเจลิส[4]และได้เห็นการแต่งกายของแฟนนิยายวิทยาศาสตร์ที่นั่น ซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้เขียนบทความให้กับนิตยสารมายอะนิเมะของญี่ปุ่น[3] ทาคาฮาชิได้ตัดสินใจคิดค้นคำใหม่ชึ้นมาแทนที่การใช้คำแปลจากภาษาอังกฤษคำว่า "masquerade" เนื่องจากคำแปลในภาษาญี่ปุ่นนั้นจะได้ความหมายว่า "เครื่องแต่งกายของชนชั้นสูง" ซึ่งไม่เหมาะสมกับประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอมาที่เวิลด์คอน[5][6] การคิดค้นคำใหม่เช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการย่อคำในภาษาญี่ปุ่นที่จะใช้มอราแรกของคู่คำนั้น ๆ มาสร้างเป็นคำใหม่ ซึ่งในที่นี้คือคำว่า 'costume' ที่ได้กลายเป็นโคสุ (コス) และคำว่า 'play' ที่ได้กลายเป็นปุเระ (プレ)

ประวัติศาสตร์

แก้

ก่อนศตวรรษที่ 20

แก้

บทความหลัก: งานเต้นรำหน้ากาก, ฮาโลวีน, ปาร์ตี้คอสตูม

งานเต้นรำหน้ากากถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานคาร์นิวัลในศตวรรษที่ 15 พร้อมทั้งเป็นส่วนสำคัญในงานพระราชพิธี, งานประกวด, และงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ของราชวงศ์ในช่วงปลายยุคกลางอย่างเช่นงานฉลองชัยชนะหรืองานอภิเษกสมรสเป็นต้น นอกจากนี้ยังขยายออกไปยังเทศกาลการแต่งกายสาธารณะในอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 16 ของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานเต้นรำของชนชั้นสูงโดยเฉพาะในแถบเวนิส

ในเดือนเมษายนปี 1877 ฌูล แวร์นได้ส่งบัตรเชิญเกือบ 700 ใบสำหรับงานเต้นรำในเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ซึ่งแขกหลายคนแต่งตัวเป็นตัวละครจากนิยายของแวร์น[7]

งานปาร์ตี้เครื่องแต่งกาย (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) หรืองานปาร์ตี้แต่งกายแฟนซี (ภาษาอังกฤษแบบบริติช) เป็นงานที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นอกจากนี้หนังสือแนะนำการแต่งกายในยุคนั้นเช่น เครื่องแต่งกายของตัวละครเพศชาย (Male Character Costumes) ของซามูเอล มิลเลอร์ (1884)[8] หรือ หนังสืออธิบายการแต่งกายแฟนซี (Fancy Dresses Described) ของอาร์เดิร์น โฮลต์ (1887)[9] มักเน้นไปที่การแต่งกายแบบทั่วไปโดยส่วนใหญ่ เช่นการแต่งกายในยุคต่าง ๆ , การแต่งกายประจำชาติ, วัตถุสิ่งของหรือแนวคิดทางนามธรรมเช่น "ฤดูใบไม้ร่วง" หรือ "กลางคืน" ซึ่งบางส่วนของการแต่งกายที่ระบุไว้ในนั้นเป็นของบุคคลในประวัติศาสตร์ แม้ว่าบางส่วนจะมาจากนวนิยาย เช่นตัวละครจาก สามทหารเสือ หรือตัวละครอื่น ๆ จากผลงานของเชกสเปียร์

ในเดือนมีนาคมปี 1891 เฮอร์เบิร์ต ทิบบิตส์ได้มีการเชิญชวนคนกลุ่มหนึ่งที่ในปัจจุบันอาจถูกเรียกได้ว่าเป็น "คอสเพลเยอร์" ซึ่งการเชิญชวนนี้ยังได้รับการโฆษณาอีกด้วย เพื่อให้มาเข้าร่วมงานที่จัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 5–10 มีนาคมในปีเดียวกันที่อาคารรอยัลอัลเบิร์ตฮอลล์ในกรุงลอนดอน งานนี้มีชื่อว่า Vril-Ya Bazaar and Fete ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นจากนวนิยายวิทยาศาสตร์และตัวละครในเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาก่อนหน้านั้นยี่สิบปี[10]

การแต่งกายของแฟนคลับ

แก้
 
ชุดแต่งกายมิสเตอร์สกายแก็ค ซึ่งเป็นชุดแต่งกายหรือการคอสเพลย์ในช่วงต้นของยุคใหม่ จากรัฐวอชิงตันในปี 1912[11][12][13]

ตัวละครจากการ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ของ เอ.ดี. คอนโดที่มีชื่อว่ามิสเตอร์สกายแก็คจากดาวอังคาร (นักชาติพันธุ์วิทยาจากดาวอังคารที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกอย่างน่าตลกขบขัน) อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวละครสมมุติตัวแรกที่ผู้คนได้ทำการเลียนแบบโดยสวมใส่เครื่องแต่งกาย ซึ่งในปี 1908 คู่สามีภรรยาวิลเลียมเฟลล์ (William Fell) จากเมืองซินซินแนติในรัฐโอไฮโอถูกรายงานว่ามีการเข้าร่วมงานหน้ากากที่ลานสเก็ตโดยสวมเครื่องแต่งกายเป็นมิสเตอร์สกายแก็คและมิสดิลล์พิกเกิลส์ ต่อมาในปี 1910 ผู้หญิงที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในงานหน้ากากที่เทศมณฑลทาโคมาในรัฐวอชิงตัน โดยสวมเครื่องแต่งกายเป็นมิสเตอร์สกายแก็คด้วยเช่นกัน[14][15]

บุคคลกลุ่มแรกที่สวมเครื่องแต่งกายเข้าร่วมงานประชุมหรืองานชุมนุมจริงคือแฟนนิยายวิทยาศาสตร์นามว่าฟอร์เรสต์ เจ. อัคเคอร์แมนและเมอร์เทิล อาร์. ดักลาส ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่าโมโรโจ พวกเขาเข้าร่วมงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งแรกในปี 1939 (Nycon หรือ 1st Worldcon) ที่อาคารคาราวานฮอลล์ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสวมใส่ในกิจกรรม "futuristicostumes" ซึ่งประกอบด้วยเสื้อคลุมสีเขียวและกางเกงขาสั้นที่ได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงจากภาพวาดในนิตยสารเยื่อกระดาษของแฟรงค์ อาร์. พอลและจากภาพยนตร์ปี 1936 เรื่องธิงส์ทูคัม โดยทั้งสองชุดนั้นออกแบบและตัดเย็บขึ้นมาโดยดักลาส[15][16][17]

หลังจากนั้นอัคเคอร์แมนได้ให้สัมภาษณ์ว่าตัวเขาคิดว่าทุกคนคงจะสวมชุดแนวเดียวกันกับเขาในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ ทว่ากลับมีเพียงแค่เขาและดักลาสเท่านั้น[18]

แนวคิดการแต่งกายของแฟนคลับได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามในงานงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 นั้นมีทั้งการจัดงานแฟนซีแบบไม่เป็นทางการในห้องของดักลาสและการจัดงานแฟนซีอย่างเป็นทางการที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการอยู่แล้วด้วยเช่นกัน[4][19][20] เดวิด ไคล์ชนะการประกวดแฟนซีโดยสวมชุดมิง เดอะ เมอร์ซิเลสที่จัดทำขึ้นมาโดยเลสลี่ เพอร์รี ในขณะที่โรเบิร์ต เอ. ดับเบิลยู. โลว์นเดสได้รับรางวัลตำแหน่งที่สองจากการสวมชุดบาร์ เซเนสโตร (จากนวนิยายเดอะไบลนด์สปอตโดยออสติน ฮอลล์และโฮเมอร์ เอียน ฟลินท์)[19] ผู้เข้าร่วมงานคนอื่น ๆ ที่แต่งกายเข้าร่วมงานนั้นซึ่งรวมถึงแขกรับเชิญพิเศษนามว่าอี. อี. สมิธที่แต่งกายเป็นนอร์ธเวสต์ สมิธ (จากชุดเรื่องสั้นของซี. แอล. มัวร์) และทั้งอัคเคอร์แมนและดักลาสก็ได้สวมชุดในแนวคิด futuristicostumes ของพวกเขาอีกครั้งในงานประชุมครั้งนี้[18][19][21] การประกวดการแต่งกายแฟนซีและงานเต้นรำชุดแฟนซีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[20] งานเต้นรำแฟนซีในช่วงแรกเริ่มของเวิลด์คอนนั้นประกอบด้วยวงดนตรี, การเต้นรำ, อาหารและเครื่องดื่ม ผู้เข้าแข่งขันจะทำการเดินผ่านบนเวทีหรือแม้กระทั่งจัดแจงพื้นที่สำหรับการใช้เป็นพื้นที่เต้นรำ[20]

อัคเคอร์แมนสวมชุด "คนค่อมแห่งนอเทรอดาม" ไปที่งานเวิลด์คอนครั้งที่ 3 ในปี 1941 ซึ่งรวมถึงหน้ากากที่ออกแบบและสร้างโดยเรย์ แฮร์รี่เฮาเซน แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดสวมชุดแฟนซีไปเข้าร่วมงานประชุม[18] ส่วนดักลาสนั้นได้สวมชุดของตัวละครอัคคา (จากนวนิยายเรื่องเดอะมูนพูลของเอ. เมอร์ริตต์) โดยรวมถึงหน้ากากที่ทำขึ้นโดยแฮร์รี่เฮาเซนอีกเช่นกัน ซึ่งเธอได้สวมชุดนี้เข้าร่วมงานเวิลด์คอนครั้งที่ 3 และชุดสเน็คมาเธอร์ (ซึ่งอ้างอิงจากนวนิยายของเมอร์ริตต์อีกเรื่องที่มีชื่อว่าเดอะสเน็คมาเธอร์) เพื่อเข้าร่วมงานเวิลด์คอนครั้งที่ 4 ในปี 1946[22] ในขณะนั้นคำศัพท์ที่ใช้เรียกงานชุมนุมเช่นนี้ยังไม่มีการกำหนดขึ้นมา ในสารานุกรมแฟนซี (Fancyclopedia) ของแจ็ค สเปียร์ฉบับปี 1944 ใช้คำว่า costume party[23]

 
การแต่งกายในงานแซนดีเอโกคอมิกคอนในปี 1982

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายได้เริ่มมีการกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดแนวทางการแต่งกายและตอบสนองกับความนิยมในการแต่งกายบางรูปแบบ ผู้เข้าแข่งขันที่ทำการเปลือยกายคนแรกได้ปรากฏขึ้นในงานแต่งกายแฟนซีของเวิลด์คอนในปี 1952 ทว่าจุดสูงสุดของความนิยมนี้อยู่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980 โดยในแต่ละปีนั้นมีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้น[20] ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่กฎที่ว่า "ไม่มีเครื่องแต่งกายก็คือไม่มีเครื่องแต่งกาย" โดยเป็นการห้ามการเปลือยกายเต็มตัว แม้ว่าจะอนุญาตให้มีการเปลือยกายบางส่วนได้ตราบใดที่เป็นการนำเสนอตัวละครนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง[15] ไมค์ เรสนิกอธิบายว่าชุดเปลือยที่ดีที่สุดคือชุดของคริส ลุนดี (Kris Lundi) ที่สวมชุดฮาร์พีในงานเวิลด์คอนครั้งที่ 32 ในปี 1974 (เธอได้รับรางวัลชมเชยในการแข่งขัน)[20][24][25] เครื่องแต่งกายอีกชุดหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎนั้นมาจากผู้เข้าร่วมงานที่งานเวิลด์คอนครั้งที่ 20 ในปี 1962 ซึ่งมีการพกพาอาวุธเลียนแบบที่สามารถปล่อยเปลวไฟได้จริง อันนำไปสู่กฎการห้ามใช้ไฟจริง[20] ต่อมาในงานครั้งที่ 30 ในปี 1972 ศิลปินนามว่าสก็อต ชอว์ได้ทำการสวมชุดที่ประกอบด้วยเนยถั่วเป็นจำนวนมากเพื่อนำเสนอตัวละครจากคอมิกซ์ใต้ดินของเขาเองที่มีชื่อเรียกว่า "เดอะเทิร์ด" (The Turd) ทว่าเนยถั่วเหล่านั้นได้หลุดออกมาและก่อให้เกิดความเสียหายกับเฟอร์นิเจอร์ผิวนุ่มและเครื่องแต่งกายของคนอื่น ๆ และเริ่มส่งกลิ่นเหม็นภายใต้ความร้อนของแสงไฟ หลังจากนั้นอาหาร, วัตถุที่มีกลิ่น และสิ่งที่อาจทำให้เลอะเทอะจึงถูกห้ามใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น[20][26][27][28]

การแต่งกายในลักษณะนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นพร้อมกับความนิยมในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์และการมีปฏิสัมพันธ์ของแฟน ๆ เหตุการณ์แรกเริ่มที่มีการแต่งกายในงานประชุมที่สหราชอาณาจักรนั้นเกิดขึ้นในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ลอนดอนในปี 1953 แต่ยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแสดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์แฟนตาซีลิเวอร์พูลที่เข้าร่วมงานไซตริคอน (Cytricon) ครั้งที่ 1 ในปี 1955 ในเมืองเคทเทอริงนั้นได้สวมเครื่องแต่งกายเข้าร่วมงานและทำเช่นนั้นต่อมาในปีต่อ ๆ ไป[29] ต่อมาในงานเวิลด์คอนครั้งที่ 15 ในปี 1957 ได้กำหนดให้มีการประกวดชุดแฟนซีอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสหราชอาณาจักร[29] ต่อมาในงานอีสเตอร์คอนในปี 1960 ที่จัดขึ้นในลอนดอนนั้นอาจนับได้ว่าเป็นงานประชุมในสหราชอาณาจักรครั้งแรกที่มีการจัดงานเลี้ยงชุดแฟนซีอย่างเป็นทางการที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการ[30] โดยมีผู้ชนะร่วมกันคือเอเธล ลินด์เซย์ (Ethel Lindsay) และไอนา ชอร์ร็อค (Ina Shorrock) ในฐานะแม่มดสองคนจากนวนิยายเดอะวิทเชสออฟคาร์เรส ซึ่งเขียนขึ้นโดยเจมส์ เอช. ชมิทซ์[31]

ในปี 1969 ได้มีการจัดงานประชุมสตาร์ เทรคขึ้นมา และต่อมาในปี 1972 จึงได้เริ่มการจัดงานประชุมใหญ่ขึ้นมา ซึ่งได้มีการจัดประกวดเครื่องแต่งกายมาโดยตลอด[32]

ในประเทศญี่ปุ่น การแต่งกายในงานประชุมนั้นเป็นกิจกรรมของแฟนคลับที่สามารถสืบย้อนกลับไปได้ในช่วงปี 1970 โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัวงานคอมิเก็ตในเดือนธันวาคมปี 1975[15] ซึ่งการแต่งกายในช่วงเวลานั้นถูกเรียกว่าคะโซ (仮装)[15] บันทึกครั้งแรกที่เกี่ยวกับการแต่งกายในงานประชุมโดยแฟนคลับในญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นที่งานอาชิโนคอนในปี 1978 ณ เมืองฮาโกเนะ ซึ่งในงานนี้นักวิจารณ์นิยายวิทยาศาสตร์แนวอนาคตนามว่ามะริ โคะทะนิก็ได้สวมชุดที่อ้างอิงมาจากภาพปกของนวนิยายเรื่องอะไฟติงแมนออฟมาร์ส โดยเอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส[33][34] โคะทะนิได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีผู้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ชุดแฟนซีประมาณยี่สิบคน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของชมรมแฟนคลับไทรทันออฟเดอะซีของเธอและกลุ่มคันไซเอนเตอร์เทนเนอร์ส (関西芸人, คันไซเกนิน) ที่เป็นต้นกำเนิดของสตูดิโออนิเมะไกแน็กซ์ ทว่าโดยส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมงานนั้นแต่งตัวตามปกติ[33] หนึ่งในสมาชิกกลุ่มคันไซซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่เปิดเผยชื่อของยะสุฮิโระ ทะเคะดะได้สวมชุดทัสเคนเรดเดอร์ (จากภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส) ที่ทำขึ้นอย่างเร่งด่วนจากม้วนกระดาษชำระของโรงแรมที่เป็นเจ้าภาพ[35] การประกวดชุดแฟนซีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งอย่างถาวรของงานประชุมนิฮงเอสเอฟไทไคนับตั้งแต่งานโทคอนครั้งที่ 7 ในปี 1980 เป็นต้นมา

การแข่งขันแต่งกายชุดแฟนซีครั้งแรกที่จัดขึ้นในงานประชุมหนังสือคอมมิคนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะจัดขึ้นในงานอะคาเดมีคอนครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นที่โรงแรมบรอดเวย์เซ็นทรัลในนครนิวยอร์กในเดือนสิงหาคม ปี 1965[36] รอย ทอมัส ผู้ที่ต่อมาได้เป็นบรรณาธิการบริหารของมาร์เวลคอมิกส์ แต่ในขณะนั้นเขาเพิ่งเปลี่ยนจากบรรณาธิการแฟนซีนมาเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพก็ได้เข้าร่วมงานโดยแต่งกายในชุดพลาสติกแมน[36]

งานเต้นรำหน้ากากครั้งแรกที่จัดขึ้นที่งานแซนดีเอโกคอมิกคอนนั้นจัดขึ้นในปี 1974 ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งที่ 6 โดยมีจูน โฟเรย์ที่ในขณะนั้นเป็นนักพากย์เสียงมาเป็นผู้ดำเนินรายการ[37] บริงเก้ สตีเวนส์ ผู้ที่ต่อมาจะได้กลายเป็นดาราภาพยนตร์สยองขวัญนั้นสามารถคว้ารางวัลที่หนึ่งด้วยการสวมชุดของตัวละครแวมไพเรลลาในงานครั้งนี้[38][39] แอกเคอร์แมน (ผู้สร้างแวมไพเรลลา) ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้และถ่ายภาพร่วมกับสตีเวนส์ และต่อมาพวกเขาจึงได้กลายเป็นเพื่อนกัน สตีเวนส์ยังได้กล่าวว่า "ฟอร์รีและภรรยาของเขาเวนเดย์นได้กลายเป็นเสมือนพ่อแม่ทูนหัวของฉันในไม่ช้า"[40] ต่อมาช่างภาพนามว่าแดน โกลเด้นได้เห็นภาพถ่ายของสตีเวนส์ในชุดคอสตูมแวมไพเรลลาในขณะเยี่ยมบ้านของแอกเคอร์แมน ทำให้ต่อมาเขาได้จ้างเธอให้เข้าแสดงในบทที่ไม่มีบทพูดในภาพยนตร์ของนักศึกษาครั้งแรกของเธอ ที่มีชื่อเรื่องว่าไซแซ็คอิสคิง (1980) และต่อมาได้ถ่ายภาพเธอขึ้นปกนิตยสารเฟมม์แฟเทลส์ฉบับแรกในปี 1992[40] ซึ่งสตีเวนส์ได้ยกให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนักแสดงของเธอ[40]

ประมาณหนึ่งปีหลังจากการออกฉายภาพยนตร์เดอะร็อกกี้เฮอร์เรอร์พิกเจอร์โชว์ในปี 1975 ผู้ชมก็เริ่มแต่งกายเป็นตัวละครจากภาพยนตร์และเล่นบทบาทสมมติด้วยกัน (แม้ว่าสาเหตุแรกเริ่มของการแต่งกายจะเป็นการเข้าชมฟรี) โดยสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีความใกล้เคียงกับต้นฉบับสูง[41][42]

งานคอสตูมคอน (Costume-Con) ซึ่งเป็นงานประชุมที่อุทิศให้กับการออกแบบเครื่องแต่งกายได้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 1983[43][44] หลังจากนั้นต่อมาได้มีการจัดตั้งสมาคมนักออกแบบเครื่องแต่งกายนานาชาติ (International Costumers Guild, Inc.) ขึ้นมาหลังจากงานคอสตูมคอนครั้งที่ 3 ซึ่งแต่เดิมนั้นใช้ชื่อว่าสมาคมแห่งนักออกแบบเครื่องแต่งกายแฟนตาซีโคลัมเบียใหญ่ (Greater Columbia Fantasy Costumer's Guild) เพื่อเป็นองค์กรหลักและสนับสนุนการออกแบบเครื่องแต่งกาย[43]

คอสเพลย์

แก้
 
มาโดกะ คานาเมะและคิวเบย์จากเรื่องสาวน้อยเวทมนตร์ มาโดกะในงานทราคอน (Tracon) 2013 ณ ตัมเปเรฮอลล์ในเมืองตัมเปเร ประเทศฟินแลนด์

การออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นกิจกรรมของบรรดาแฟนคลับในญี่ปุ่นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา และกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นหลังจากรายงานของทาคาฮาชิ อย่างไรก็ตาม คำศัพท์ใหม่นี้ยังไม่ได้รับความนิยมขึ้นมาโดยทันที เป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีหลังจากบทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ก่อนที่คำศัพท์นี้จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่แฟนคลับที่เข้าร่วมงานประชุมหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อมา[15] และในช่วงทศวรรษ 1990 หลังจากที่ได้รับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์และนิตยสาร คอสเพลย์ในด้านคำศัพท์และการปฏิบัติจริงก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น[15]

คาเฟ่คอสเพลย์แห่งแรกได้ถูกจัดตั้งขึ้นในย่านอากิฮาบาระ ในกรุงโตเกียวในช่วงปลายทศวรรษ 1990[4][45] เมดคาเฟ่ชั่วคราวได้ถูกจัดตั้งขึ้นในงานโตเกียวคาแร็กเตอร์คอลเล็กชัน (Tokyo Character Collection) ในเดือนสิงหาคมปี 1998 เพื่อโปรโมตวิดีโอเกม Welcome to Pia Carrot 2 (1997)[45] หลังจากนั้นต่อมาร้านเปียแคร์รอตเรสโตรองต์ (Pia Carrot Restaurant) ก็ได้จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งคราวที่ร้านเกเมอร์ส (Gamers) ในย่านอากิฮาบาระจนถึงปี 2000[45] เนื่องด้วยการเชื่อมโยงกับทรัพย์สินทางปัญญาที่เฉพาะเจาะจงจึงทำให้อายุการเปิดทำการของคาเฟ่เหล่านี้มีจำกัด ซึ่งต่อมาปัญหานี้ได้ถูกแก้ไขโดยการใช้เมดทั่วไป ส่งผลให้เกิดร้านคาเฟ่ถาวรแห่งแรกคือ Cure Maid Café ซึ่งเปิดในเดือนมีนาคมปี 2001[45]

งานประชุมคอสเพลย์โลก (World Cosplay Summit) ครั้งแรกนั้นจัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมปี 2003 ณ โรงแรมโรสคอร์ท (Rose Court) ในนครนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเชิญคอสเพลเยอร์จำนวนห้าคนจากประเทศเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลีเข้าร่วม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการประกวดหรือแข่งขันจนกระทั่งปี 2005 ในการแข่งขันชิงแชมป์คอสเพลย์ระดับโลก (World Cosplay Championship) โดยผู้ชนะกลุ่มแรกนั้นเป็นทีมจากประเทศอิตาลี ได้แก่ จอร์เจีย เว็คคินี, ฟรานเชสก้า ดานี และเอมิเลีย ฟาตา ลิเวีย

การเข้าร่วมงานประกวดเครื่องแต่งกายในงานเวิลด์คอนนั้นเข้าสู่จุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980 และเริ่มเสื่อมความนิยมลงหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ความนิยมเช่นนี้ได้กลับคืนมาอีกครั้งเมื่อแนวคิดเรื่องการคอสเพลย์ได้รับการนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

คอสเพลย์ในทางปฏิบัติ

แก้

เครื่องแต่งกายสำหรับการคอสเพลย์นั้นมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เสื้อผ้าที่มีความเรียบง่ายไปจนถึงเครื่องแต่งกายที่มีรายละเอียดซับซ้อน โดยทั่วไปแล้วคอสเพลย์นั้นถือว่าแตกต่างจากการแต่งกายในวันฮาโลวีนหรือมาร์ดิกรา เนื่องจากจุดประสงค์ของการคอสเพลย์คือการเลียนแบบตัวละครแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่าการสะท้อนวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ของงานเทศกาล ดังนั้นแล้วในขณะที่ยังอยู่ในเครื่องแต่งกายนั้นคอสเพลเยอร์บางคนจึงมักพยายามเลียนแบบท่าทาง อากัปกิริยา และภาษากายของตัวละครที่พวกเขาสวมบทบาทอยู่ (โดยมีช่วงพักจากการแสดงบทบาท) ตัวละครที่ได้รับเลือกสำหรับการคอสเพลย์นั้นอาจมาจากภาพยนตร์ ซีรีส์โทรทัศน์ หนังสือ การ์ตูน วิดีโอเกม วงดนตรี อนิเมะ หรือมังงะก็ย่อมได้ คอสเพลเยอร์บางคนอาจเลือกแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครที่พวกเขาสร้างขึ้นเองหรือเป็นการผสมผสานของแนวคิดต่าง ๆ (เช่น ตัวละครในรูปแบบสตีมพังก์) และเป็นที่ยอมรับในหมู่คอสเพลเยอร์ว่าผู้ใดก็ตามสามารถแต่งกายเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเพศ (genderbending) การคอสเพลย์ข้ามเพศ (crossplay) หรือการแสดงในลักษณะของการแต่งกายข้ามเพศ (drag) การสวมบทบาทเป็นตัวละครที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งการแต่งกายในแบบฮิญาบเพื่อเป็นกัปตันอเมริกา[46][47]

เครื่องแต่งกาย

แก้

คอสเพลเยอร์จัดหาหรือได้รับเครื่องแต่งกายมาจากหลากหลายแหล่ง มีผู้ผลิตสินค้าได้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแต่งกายสำเร็จรูปสำหรับการคอสเพลย์ ซึ่งแต่ละแหล่งย่อมมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ชุดเหล่านี้มักวางจำหน่ายทางออนไลน์ แต่ยังสามารถซื้อได้จากผู้จำหน่ายตามงานประชุมต่าง ๆ เช่นกัน ในปี 2008 นั้นเหล่าผู้ผลิตชุดคอสเพลย์ในญี่ปุ่นได้รายงานผลกำไรที่สูงถึง 35,000 ล้านเยน[48] นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่รับทำงานตามคำสั่งเพื่อการจัดทำเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือวิกที่ออกแบบและปรับให้เหมาะสมโดยเฉพาะกับผู้จ้างวานแต่ละคน นอกจากนี้ คอสเพลเยอร์บางคนที่นิยมสร้างชุดด้วยตนเองยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตให้แก่ประกอบแต่ละชิ้นและวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น วิกที่ยังไม่ได้จัดทรง สีย้อมผม ผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บ ยางลาเท็กซ์ชนิดเหลว สีทาตัว เครื่องประดับแต่งกาย และอาวุธจำลอง

ระเบียงภาพ

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 "Washingtonpost.com: What Would Godzilla Say?". www.washingtonpost.com.
  2. Culp, Jennifer (2016-05-09). "Meet the Woman Who Invented Cosplay". Racked (ภาษาอังกฤษ).
  3. 3.0 3.1 "Nobuyuki (Nov) Takahashi". web.archive.org. 2012-07-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-05. สืบค้นเมื่อ 2024-04-26.
  4. 4.0 4.1 4.2 "75 Years Of Capes and Face Paint: A History of Cosplay". Yahoo Entertainment (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2014-07-24.
  5. "The History of Cosplay". Japan Powered (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-10-16.
  6. Mechademia. 1, Emerging worlds of anime and manga. Internet Archive. Minneapolis, Minn. : University of Minnesota Press ; Bristol : University Presses Marketing [distributor]. 2006. ISBN 978-0-8166-4945-7.{{cite book}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  7. Liptak, Andrew (2022-06-28). Cosplay: A History: The Builders, Fans, and Makers Who Bring Your Favorite Stories to Life (ภาษาอังกฤษ). Simon and Schuster. ISBN 978-1-5344-5582-5.
  8. Samuel Miller. male character costumes.
  9. Holt, Ardern (1887). Fancy dresses described : or, What to wear at fancy balls. University of California Libraries. London : Debenham & Freebody : Wyman & Sons.
  10. "'The Coming Race' and 'Vril-Ya' Bazaar and Fete, in joint aid of The West End Hospital, and the School of Massage and Electricity | Royal Albert Hall Memories". web.archive.org. 2021-04-12.
  11. "Cosplay Is Over 100 Years Old". Kotaku (ภาษาอังกฤษ). 2016-05-17.
  12. Jamieson, Gavin (2014-04-08). "6 Nerd Culture Stereotypes That Are Way Older Than You Think". Cracked.com (ภาษาอังกฤษ).
  13. "UNDERCOVER CHARACTER | Diving deep into the world of cosplay | Myrtle Beach Sun News". web.archive.org. 2017-09-21.
  14. Miller, Ron (2013-09-19). "Was Mr. Skygack the First Alien Character in Comics?". Gizmodo (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 Ashcraft Brian; Plunkett, Luke (2014). Cosplay World. Prestel Publishing. pp. 6–11. ISBN 9783791349251.
  16. "Mimosa 29, pages 55-59. "Caravan to the Stars" by Dave Kyle". www.jophan.org.
  17. Culp, Jennifer (2016-05-09). "Meet the Woman Who Invented Cosplay". Racked (ภาษาอังกฤษ).
  18. 18.0 18.1 18.2 Painter, Deborah (2010). Forry: The Life of Forrest J Ackerman. McFarland. pp. 37–39. ISBN 9780786448845.
  19. 19.0 19.1 19.2 Rich, Mark (2009). C.M. Kornbluth: The Life and Works of a Science Fiction Visionary. McFarland. p. 69. ISBN 9780786457113.
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 Resnick, Mike (2015). "Worldcon Masquerades". Always a Fan. Wildside Press. pp. 106–110. ISBN 9781434448149.
  21. "Textile Technoculture Creations and the Early Days of Women's Cosplay — Lady Science". web.archive.org. 2023-08-25.
  22. "eFanzines.com - Robert Lichtman - Trap Door". web.archive.org. 2017-02-08.
  23. Speer, John Bristol (1944). Fancyclopedia (1st ed.). Los Angeles: Forrest J Ackerman. p. 21.
  24. "Kris Lundi aka Animal X as a Harpy, Discon II, 1974". web.archive.org. 2017-02-08.
  25. "Discon II - 1974 WorldCon - W74M024". fanac.org.
  26. "Mimosa 25, pages 13-20. "Worldcon Memories (Part 4)" by Mike Resnick". www.jophan.org.
  27. Glyer, Mike (2013-02-26). "Scott Shaw! Deuce of Deuces". File 770 (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  28. "The Turd". web.archive.org. 2015-10-13.
  29. 29.0 29.1 "COSPLAY: 1930s TO 1950s". www.fiawol.org.uk.
  30. "COSPLAY: 1960s and 1970s". www.fiawol.org.uk.
  31. "LONCON (1960)". www.fiawol.org.uk.
  32. "Star Trek Conventions - Fanlore". fanlore.org.
  33. 33.0 33.1 "Interview: Mari Kotani, Pioneer of Japanese Cosplay - Origins - An Introduction to Japanese Subcultures - Keio University". web.archive.org. 2017-05-02.
  34. Thorn, Rachel (2004). "Girls And Women Getting Out Of Hand: The Pleasure And Politics Of Japan's Amateur Comics Community". In Kelly, William W. (ed.). Fanning the Flames: Fans and Consumer Culture in Contemporary Japan. SUNY Press. p. 175. ISBN 9780791460320.
  35. Takeda, Yasuhiro (2005). The Notenki Memoirs. ADV Manga. ISBN 9781413902341.
  36. 36.0 36.1 Schelly, Bill (7 November 2012). "Found! 'New' Photos from the 1965 New York Comicon! (part 2)". Alter Ego. 3 (83). TwoMorrows Publishing: 69–70.
  37. "Downey Jr. dances, Arnold surprises, Spider-Man rushes the stage: Every year of Comic-Con in one giant timeline". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2015-07-08.
  38. "Jazma Online Forum". web.archive.org. 2017-04-07.
  39. Bozung, Justin (2012-04-28). "The Brinke Stevens Interview". The Gentlemen's Blog to Midnite Cinema.
  40. 40.0 40.1 40.2 Collum, Jason Paul (2004). Assault of the Killer B's. McFarland. p. 24. ISBN 9780786480418.
  41. Samuels, Stuart (1983). Midnight Movies. Collier Books. p. 11. ISBN 002081450X.
  42. Making The Rocky Horror Picture Show, สืบค้นเมื่อ 2024-11-24
  43. 43.0 43.1 "The Genesis and Evolution of Costume-Con – Costume-ConNections" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  44. Bacon-Smith, Camille (2000). Science Fiction Culture. University of Pennsylvania Press. p. 56. ISBN 9780812215304.
  45. 45.0 45.1 45.2 45.3 "Intersections: Maid in Japan: An Ethnographic Account of Alternative Intimacy". intersections.anu.edu.au.
  46. "Cosplayer Spotlight on Hijabi Hooligan Cosplay - The Marvel Report". web.archive.org. 2020-10-30.
  47. "The Muslim cosplayer who uses the hijab in her outfits" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
  48. Hayden, Craig (2012). The Rhetoric of Soft Power: Public Diplomacy in Global Contexts (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. ISBN 978-0-7391-4258-5.