ความเอนเอียงโดยการรายงาน

ในวิทยาการระบาด ความเอนเอียงโดยการรายงาน (อังกฤษ: reporting bias) มีนิยามว่า เป็นการเลือกที่จะเปิดเผยหรือปิดบังข้อมูลในบางเรื่อง (เช่นประวัติคนไข้ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ประสบการณ์ทางเพศ)[1]

ส่วนในการทดลองอาศัยหลักฐานโดยทั่ว ๆ ไป คำนี้อาจใช้หมายถึงความโน้มเอียง ที่จะไม่รายงานผลการทดลองที่ไม่คาดฝันหรือไม่ต้องการ โดยโทษว่า มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติหรือในการวัดผล ในขณะที่มีความโน้มเอียงที่จะรายงานผลที่คาดหวัง หรือเป็นผลที่ต้องการ แม้ว่าความจริงการทดลองทั้งสองที่มีผลต่างกัน ต่างก็สามารถมีความคลาดเคลื่อนแบบเดียว ๆ กัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเอนเอียงอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่นักวิจัยหลายพวก พบและทิ้งหลักฐานและการทดลองที่เหมือน ๆ กัน และนักวิจัยต่อ ๆ มา ก็พบและทิ้งหลักฐานที่เหมือน ๆ กันต่อ ๆ ไป โดยอ้างว่า นักวิจัยพวกก่อน ๆ พบหลักฐานที่เป็นไปอีกทางหนึ่ง ดังนั้น อุบัติการณ์ของความเอนเอียงนี้แต่ละครั้ง อาจเพิ่มโอกาสให้เกิดความเอนเอียงขึ้นอีกในอนาคต[2][3]

มีนักสังคมวิทยาที่กล่าวถึงการเลือกรายงานเกี่ยวเนื่องกับอิทธิพลของสื่อว่า เป็นการสื่อประเด็นข่าวประกอบด้วยความเอนเอียง ที่สนับสนุนผลประโยชน์รายได้ของบริษัท แต่ลดความสำคัญ วิจารณ์ใส่ความ หรือไม่ให้ความสนใจในประเด็นปัญหาและกลุ่มบุคคลที่มีความเห็นขัดแย้ง[4]

ในงานวิจัย แก้

งานวิจัยสามารถเพิ่มพูนความรู้ได้ก็ต่อเมื่อผู้ทำการวิจัยสื่อผลไปยังชุมชนที่สนใจ วิธีการสื่อผลหลักที่ยอมรับกันก็คือ การตีพิมพ์ผลงานที่แสดงระเบียบวิธีการศึกษา และผลการศึกษา ในบทความของวารสารทางวิทยาศาสตร์ บางครั้ง นักวิจัยจะเลือกแสดงสิ่งที่พบในงานประชุมทางวิทยาศาสตร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโดยปาฐกถา หรือจะเป็นเพียงใบปิดประกาศแสดงบทคัดย่อ (abstract) แต่สิ่งที่แสดงในงานประชุมรวมทั้งบทคัดย่อ อาจจะเข้าถึงไม่ได้โดยวิธีอื่น เช่น ผ่านห้องสมุดหรือทางอินเทอร์เน็ต

บางครั้งนักวิจัยจะไม่ตีพิมพ์ผลของการศึกษาทั้งหมด ดังนั้น Declaration of Helsinki[5] และระเบียบวิธีที่ได้การยอมรับอื่น ๆ ได้ร่างโครงหน้าที่ทางจริยธรรม ที่ผู้วิจัยควรจะตีพิมพ์ผลงานวิจัยทางคลินิกทั้งหมด เพื่อให้เข้าถึงได้อย่างเป็นสาธารณะ

ความเอนเอียงโดยการรายงานเกิดขึ้น เมื่อมีการเผยแพร่ผลงานวิจัย โดยขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้[6] โดยเฉพาะงานวิจัยที่มีผลบวก

มีวิธีการที่ใช้หลายวิธีในอดีต เพื่อลดอิทธิพลของความเอนเอียง เช่นการปรับผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดยวิธีทางสถิติ[7] แต่ว่าก็ยังไม่มีวิธีที่ได้ผลดี จึงต้องยอมรับกันว่า ความเอนเอียงจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อให้ลงทะเบียนงานวิจัยล่วงหน้า (เพื่อสามารถหาผลงานวิจัยทั้งหมดที่ทำในประเด็น) และส่งเสริมให้ใช้หลักปฏิบัติเกี่ยวกับการตีพิมพ์ที่เหมาะสม ดังนั้น จนกว่าปัญหาเหล่านี้จะแก้ได้ ผลประเมินจากการรักษาพยาบาลในงานที่ตีพิมพ์อาจจะมีความเอนเอียง

กรณีศึกษา แก้

การฟ้องบริษัทไฟเซอร์ในศาล โดยผู้บริโภคและบริษัทประกันสุขภาพในปี ค.ศ. 2004 เพราะวิธีการฉ้อฉลขายยา gabapentin สำหรับรักษาโรคที่ไม่ได้รับอนุมัติ ได้เปิดโปงกลยุทธ์การตีพิมพ์ที่ใช้อย่างกว้างขวาง ที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ ของความเอนเอียงนี้[8] คือ มีการปั่นสื่อต่าง ๆ เพื่อเน้นการค้นพบแสดงผลดีของยา และเพื่ออธิบายปัดการค้นพบที่มีผลลบ กลยุทธ์ที่ใช้รวมทั้ง การเน้นผลรองเหนือผลหลักซึ่งไม่น่าชอบใจ การตั้งผลหลักขึ้นมาใหม่ การไม่แยกแยะระหว่างผลหลักและผลรอง และการไม่รายงานผลหลักดังที่กำหนดโดยกฎเกณฑ์วิธี[9]

การตัดสินใจเพื่อจะพิมพ์ผลงานในวารสารบางวารสาร ก็เป็นกลยุทธ์การตีพิมพ์อีกวิธีหนึ่ง[8] คือ การทดลองที่พบผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ มีโอกาสที่จะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ขายดีกว่า สูงกว่าการทดลองที่ไม่พบผลที่มีนัยสำคัญ แม้แต่ช่วงเวลาที่ตีพิมพ์ผลงานก็ยังได้รับอิทธิพล เพราะว่า บริษัทพยายามเลือกช่วงเวลาระหว่างการตีพิมพ์ผลงานศึกษาสองอย่างให้ได้ผลที่สุด การทดลองที่ไม่พบนัยสำคัญจะตีพิมพ์สลับกัน เพื่อไม่ให้มีผลงานทดลองที่ตีพิมพ์ต่อ ๆ กันโดยไม่พบนัยสำคัญ และนักเขียนนามแฝงก็เป็นปัญหาอีกอย่าง คือนักเขียนการแพทย์มืออาชีพที่รับร่างรายงานที่ได้ตีพิมพ์ กลับไม่ได้รับเครดิต

จนถึงปี ค.ศ. 2014 คือ 10 ปีให้หลัง บริษัทไฟเซอร์ก็ยังยุติประเด็นปัญหาในเรื่องนี้ไม่เสร็จ[10]

ประเภท แก้

ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ แก้

ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ (publication bias) เป็นการเลือกที่จะพิมพ์หรือไม่พิมพ์ผลงานวิจัย ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผล แม้ว่า ผู้ทำงานวิจัยจะยอมรับว่า มีปัญหาเกี่ยวกับความเอนเอียงโดยการรายงาน เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว[11] แต่ว่า ก็ไม่มีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดและขนาดของปัญหา จนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20[12]

ในสองทศวรรษที่ผ่านมา มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า การไม่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย รวมทั้งงานวิจัยทางคลินิกที่ตรวจสอบอิทธิผลของการรักษาพยาบาล เป็นปัญหาที่มีอยู่ทั่วไป[12] ปัญหาเกี่ยวกับการตีพิมพ์เกือบทั้งหมด เกิดจากผู้ทำงานวิจัยไม่ส่งผลงาน (ต่อวารสารวิชาการเป็นต้น)[13] มีเพียงแต่ส่วนน้อยที่ไม่ได้พิมพ์เพราะถูกปฏิเสธโดยวารสาร[14]

หลักฐานชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับความเอนเอียงประเภทนี้ในวงการแพทย์ มาจากงานวิจัยที่ศึกษางานวิจัยอื่น ๆ สำรวจในช่วงที่ได้ทุนหรือได้รับอนุมัติทางจริยธรรม[15] คือ พบว่า "ผลบวก" เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตีพิมพ์ผลงาน เพราะว่า นักวิจัยบอกว่า เหตุที่ตนไม่เขียนและส่งผลงานเพื่อตีพิมพ์ ปกติก็เพราะว่า ตน "ไม่สนใจ" ผลที่ได้ ซึ่งหมายความว่า การไม่พิมพ์ผลงาน โดยปกติไม่ใช่เพราะว่าถูกปฏิเสธโดยวารสาร

แม้นักวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยเบื้องต้น เป็นบทคัดย่อ (abstract) สำหรับงานประชุม ก็ยังมีโอกาสน้อยกว่าที่จะพิมพ์ผลงานที่สมบูรณ์ ถ้าผลไม่แสดงนัยสำคัญ[16] นี้เป็นเพราะว่า ข้อมูลที่แสดงในบทคัดย่อมักจะเป็นข้อมูลที่ได้ในเบื้องต้น หรือในท่ามกลาง ดังนั้น อาจจะไม่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลทั้งหมดที่ได้ในการทดลอง[17] นอกจากนั้นแล้ว บทคัดย่อไม่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ไม่ว่าจะโดยผ่าน MEDLINE (ฐานข้อมูลการแพทย์ที่เข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่มีค่าใช้จ่าย) หรือฐานข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่ายอื่น ๆ เพราะว่า บทเหล่านั้นเผยแพร่ทางเอกสารงานประชุม หรือทางแผ่นซีดี ซึ่งมีให้สำหรับผู้ร่วมงานประชุมเท่านั้น

ปัจจัยหลักของการไม่พิมพ์ผลงานก็คือ การได้ผลลบหรือว่าง (null)[18] การทดลองมีกลุ่มควบคุมที่มีข้อมูลสมบูรณ์ จะตีพิมพ์รวดเร็วกว่าถ้าแสดงผลบวก[17] ความเอนเอียงนี้ทำให้งานวิเคราะห์อภิมาน (meta-analyis) ประเมินผลของการรักษาพยาบาลเกินความจริง ซึ่งสามารถทำให้แพทย์และผู้มีอำนาจตัดสินใจอื่น ๆ เชื่อว่า การรักษาพยาบาลนั้นได้ผลเกินความจริง

เป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้วว่า ความเอนเอียงประเภทนี้สัมพันธ์กับแหล่งเงินทุนของงานศึกษานั้น[19]

ความเอนเอียงโดยเวลาล่า แก้

ความเอนเอียงโดยเวลาล่า (Time lag bias) เป็นความรวดเร็วและความชักช้าของการตีพิมพ์ผลงาน ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้ งานปริทัศน์เป็นระบบ (systematic review) ที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 2007 พบว่า โดยทั่วไปแล้ว งานทดลองที่มีผลบวก (คือมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มทดลอง) จะตีพิมพ์ประมาณ 1 ปี ก่อนงานที่ลองที่ "มีผลว่างหรือผลลบ" (คือไม่มีนัยสำคัญ หรือมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มควบคุม)[17]

ความเอนเอียงโดยการตีพิมพ์หลายรอบ แก้

ความเอนเอียงโดยการตีพิมพ์หลายรอบ (Multiple publication bias) เป็นความเอนเอียงที่เกิดขึ้นเมื่อตีพิมพ์ผลงานวิจัยรอบเดียว หรือหลายรอบ ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผล นักวิจัยอาจจะพิมพ์ผลงานเดียวกันหลายรอบ โดยใช้รูปแบบของการตีพิมพ์ซ้ำหลายอย่าง[20] การตีพิมพ์ซ้ำบ่อยครั้งทำในส่วนเพิ่มเติมของวารสาร (journal supplement) ซึ่งอาจเข้าถึงได้ยาก และเพราะว่า ผลบวกพิมพ์ซ้ำกันบ่อยครั้งกว่า ดังนั้น ค่าประเมินผลของการรักษาพยาบาลอาจจะเกินความเจริง

ความเอนเอียงโดยตำแหน่ง แก้

ความเอนเอียงโดยตำแหน่ง (Location bias) เป็นการพิมพ์ผลงานในวารสารที่มีความเข้าถึงได้ง่ายต่าง ๆ กัน หรือที่มีระดับการสร้างดัชนีในฐานข้อมูลต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้ คือมีหลักฐานที่แสดงว่า โดยเปรียบเทียบกับผลลบหรือผลว่าง ผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติมักจะตีพิมพ์ในวารสารที่มีอิทธิพล (impact factor) สูงกว่า[21] และการตีพิมพ์ในแหล่งวรรณกรรมหลัก (mainstream literature) สัมพันธ์กับผลบวก สูงกว่าการตีพิมพ์ในแหล่งวรรณกรรมอื่น ๆ (grey literature)[22]

ความเอนเอียงโดยการอ้างอิง แก้

ความเอนเอียงโดยการอ้างอิง (Citation bias) เป็นความเอนเอียงในการอ้างอิงหรือไม่อ้างอิงผลงานวิจัย ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้ ผู้วิจัยต่าง ๆ มักจะอ้างอิงผลงานที่มีผลบวก มากกว่างานที่มีผลลบหรือผลว่าง ซึ่งเป็นจริงในสายวิชาต่าง ๆ กันมากมาย[23][24][25][26][27][28] การอ้างอิงที่มีความเอนเอียงเช่นนี้ อาจนำไปสู่ความเข้าใจว่า การรักษาพยาบาลหนึ่ง ๆ มีอิทธิผลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจมีผลเป็นการใช้ข้อมูลงานที่มีผลบวกในงานปริทัศน์เป็นระบบ (systematic review) มากเกินไป โดยเฉพาะถ้างานที่ไม่มีการอ้างอิงเข้าถึงได้ยาก

การรวบรวมผลที่ไม่ทั่วถึงในงานวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) เป็นรูปแบบความเอนเอียงที่ค่อนข้างน่ากลัว ที่สามารถมีอิทธิพลสูงต่อความรู้ความเข้าใจ และเพื่อลดความเอนเอียงให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด การรวบรวมผลจากงานวิจัยที่คล้ายกันแต่ต่างกัน ต้องเกิดจากการค้นหาที่ทั่วถึงของงานวิจัยทั้งหมดที่ตรงกับประเด็น นั่นก็คือ การวิเคราะห์อภิมานต้องอาศัยข้อมูลจากการปริทัศน์ทั้งระบบ ไม่ใช่เป็นเพียงการปริทัศน์จากงานวิจัยบางพวกที่มีผลบวกเท่านั้น

ความเอนเอียงโดยภาษา แก้

ความเอนเอียงโดยภาษา (Language bias) เป็นความเอนเอียงที่จะพิมพ์ผลงานวิจัยในภาษาใดภาษาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้ คือมีคำถามมานานแล้วว่า นักวิจัยมีความเอนเอียงในการตีพิมพ์ผลลบในวารสารที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ และตีพิมพ์ผลบวกในวารสารภาษาอังกฤษหรือไม่ มีงานวิจัยที่บอกว่า การจำกัดผลงานวิจัยที่ใช้ในการปริทัศน์เป็นระบบโดยภาษา สามารถเปลี่ยนผลของงานปริทัศน์ได้[29] แต่ก็มีงานอื่นที่บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น[30]

ความเอนเอียงในการรายงานผล แก้

ความเอนเอียงในการรายงานผล (Outcome reporting bias) เป็นความเอนเอียงที่จะรายงานผลบางอย่าง แต่ไม่รายงานผล (outcome) บางอย่าง ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของผลที่ได้[31] คือแม้ว่างานวิจัยหนึ่งอาจจะตีพิมพ์ตามปกติ แต่ผลบางอย่างที่แม้กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น อาจจะไม่กล่าวถึง หรืออาจจะกล่าวถึงแบบให้เข้าใจผิด[32][9] ประสิทธิศักย์ (Efficacy) ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ มีโอกาสที่จะได้รับการตีพิมพ์สูงกว่าประสิทธิศักย์ที่ไม่มีนัยสำคัญ

การรายงานแบบเลือกของอาการที่ไม่พึงประสงค์จากการรักษาพยาบาล ที่สงสัยก็ดี ที่มีหลักฐานยืนยันก็ดี เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะสามารถทำอันตรายต่อคนไข้ ในงานวิจัยที่ศึกษาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากยา ที่แจ้งต่อองค์การยาของประเทศสแกนดิเนเวีย พบว่า งานวิจัยที่ตีพิมพ์มีโอกาสน้อยกว่าที่จะแจ้งอาการที่ไม่พึงประสงค์จากยา เทียบกับงานวิจัยที่ไม่ตีพิมพ์ (เช่น 56% เทียบกับ 77% ในการทดลองเกี่ยวกับยาที่ทำงานในระบบประสาท)[33] ความสนใจที่เพิ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้ทั้งในสื่อวิทยาศาสตร์และสื่อทั่วไป เกี่ยวกับการไม่แจ้งอาการที่ไม่พึงประสงค์จากยาอย่างถูกต้อง (เช่นจากยา selective serotonin uptake inhibitor, rosiglitazone, และโรฟีคอกซิบ) มีผลให้เกิดงานวิจัยอีกหลายงาน ที่แสดงว่า มีการเลือกที่จะไม่รายงานอาการที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งอาการที่รู้อยู่แล้ว และอาการที่สงสัย

ดูเพิ่ม แก้

เชิงอรรถและอ้างอิง แก้

  1. Porta, Miquel, บ.ก. (2008-06-05). A Dictionary of Epidemiology. Oxford University Press. p. 275. ISBN 978-0-19-157844-1. สืบค้นเมื่อ 2013-03-27.
  2. Green, S; Higgins, S (บ.ก.). "Cochrane Handbook for Systematic Reviews of Interventions 4.2.5". องค์กรความร่วมมือคอเครน. Glossary. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-09. สืบค้นเมื่อ 2015-05-06.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: editors list (ลิงก์)
  3. doi:10.1186/1745-6215-11-37
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand บทความเต็มPDF
  4. Doob, C. B. (2013). Social inequality and social stratification in US society. Upper Saddle River, NJ: Pearson.
  5. "Declaration of Helsinki". World Medical Association. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-11-29. สืบค้นเมื่อ 2015-05-06. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadlink= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  6. Higgins, JPT; Green, S (2008). "Cochrane Handbook for Systematic Review of Interventions". สืบค้นเมื่อ 2015-01-02.
  7. Rosenthal, R (1979). "The file drawer problem and tolerance for null results". Psychological Bulletin. 86 (3).
  8. 8.0 8.1 Vedula, SS; Goldman, PS; Rona, IJ; Greene, TM; Dickersin, K (2012). "Implementation of a publication strategy in the context of reporting biases. A case study based on new documents from Neurontin litigation". Trials. 13 (136). doi:10.1186/1745-6215-13-136. PMID 22888801.
  9. 9.0 9.1 Vedula, SS; Bero, L; Scherer, RW; Dickersin, K (2009). "Outcome reporting in industry-sponsored trials for gabapentin for off-label use". N Eng J Med. 361 (120): 1963–1971. doi:10.1056/NEJMsa0906126. PMID 19907043.
  10. Stempel, Jonathan (2014-06-02). "Pfizer to pay $325 million in Neurontin settlement". Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-26. สืบค้นเมื่อ 2014-08-24.
  11. Editorial (1909). "The reporting of unsuccessful cases". Boston Medical and Surgical Journal. 161: 263–264. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-13. สืบค้นเมื่อ 2015-05-06.
  12. 12.0 12.1 Dickersin, K. (2005). "Publication bias: Recognizing the problem, understanding its origins and scope, and preventing harm". ใน Rothstein, H.R.; Sutton, A.J.; Borenstein, M. (บ.ก.). Publication bias in meta-analysis: prevention, assessment, and adjustments. London: Wiley. pp. 11–13. ISBN 0470870141.
  13. Godlee, F.; Dickersin, K. (2003). "Bias, subjectivity, chance, and conflict of interest in editorial decisions". ใน Godlee, F.; Jefferson, T. (บ.ก.). Peer review in health sciences (2nd ed.). London: BMJ Books. ISBN 978-0727916853.
  14. Olson, CM; Rennie, D; Cook, D; Dickersin, K; Flanagin, A; Hogan, JW; Zhu, Q; Reiling, J; Pace, B (2002). "Publication bias in editorial decision making". JAMA. 287 (21): 2825–2828. PMID 12038924.
  15. Song, F; Parekh, S; Hooper, L; Loke, YK; Ryder, J; Sutton, AJ; Hing, C; Kwok, CS; Pang, C; Harvey, I (2010). "Dissemination and publication of research findings: an updated review of related biases". Health Technol Assess. 14 (8): iii, ix–xi. PMID 20181324.
  16. Scherer, RW; Langenberg, P; von Elm, E (2007). "Full publication of results initially presented in abstracts". Cochrane Database Syst Rev. 2: MR000005. doi:10.1002/14651858.MR000005.pub3. PMID 17443628.
  17. 17.0 17.1 17.2 Hopewell, S; Clarke, MJ; Stewart, L; Tierney, J (2007). "Time to publication for results of clinical trials". Cochrane Database Syst Rev. 2: MR000011. doi:10.1002/14651858.MR000011.pub2. PMID 17443632.
  18. Hopewell, S; Loudon, K; Clarke, MJ; Oxman, AD; Dickersin, K (2009). "Publication bias in clinical trials due to statistical significance or direction of trial results". Cochrane Database Syst Rev. 1: MR000006. doi:10.1002/14651858.MR000006.pub3. PMID 19160345.
  19. Lundh, A; Sismondo, S; Lexchin, J; Busuioc, OA; Bero, L (2012). "Industry sponsorship and research outcome". Cochrane Database Syst Rev. 12: M R000033. doi:10.1002/14651858.MR000033.pub2.
  20. Von Elm, M; Poglia, G; Walder, B; Tramer, MR (2004). "Different patterns of duplicate publication. An analysis of articles used in systematic reviews". JAMA. 291 (8): 974–980. PMID 14982913.
  21. Easterbrook, PJ; Berlin, JA; Gopalan, R; Matthews, DR (1991). "Publication bias in clinical research". Lancet. 337 (8746): 867–872.
  22. Hopewell, S; McDonald, S; Clarke, MJ; Egger, M (2007). "Grey literature in meta-analyses of randomized trials of health care interventions". Cochrane Database Syst Rev. 2: MR000010. doi:10.1002/14651858.MR000010.pub3. PMID 17443631.
  23. Gøtzsche, PC (1987). "Reference bias in reports of drug trials". BMJ. 295 (65998): 654–656. PMID 3117277.
  24. Ravnskov, U (1992). "Frequency of citation and outcome of cholesterol lowering trials". BMJ. 305 (6855): 717.
  25. Ravnskov, U (1995). "Quotation bias in reviews of the diet-heart idea". J Clin Epidemiol. 48 (5): 713–719. PMID 7730926.
  26. Kjaergard, LL; Gluud, C (2002). "Citation bias of hepato-biliary randomized clinical trials". J Clin Epidemiol. 55 (4): 407–410. PMID 11927219.
  27. Schmidt, LM; Gøtzsche, PC (2005). "Of mites and men: reference bias in narrative review articles: a systematic review". J Fam Pract. 54 (4): 334–338. PMID 15833223.
  28. Nieminen, P; Rucker, G; Miettunen, J; Carpenter, J; Schumacher, M (2007). "Statistically significant papers in psychiatry were cited more often than others". J Clin Epidemiol. 60 (9): 939–946. PMID 17689810.
  29. Pham, B; Klassen, TP; Lawson, ML; Moher, D (2005). "Language of publication restrictions in systematic reviews gave different results depending on whether the intervention was conventional or complementary". J Clin Epidemiol. 58 (8): 769–776. PMID 16086467.
  30. Juni, P; Holenstein, F; Sterne, J; Bartlett, C; Egger, M (2002). "Direction and impact of language bias of controlled trials: An empirical study". Int J Epidemiol. 31 (1): 115–123.
  31. Sterne, J.; Egger, M.; Moher, D. (2008). "Addressing reporting biases". ใน Higgins, J. P. T.; Green, S. (บ.ก.). Cochrane handbook for systematic reviews of interventions. Chichester: Wiley. pp. 297–334. ISBN 978-0-470-69951-5.
  32. Chan, AW; Krleža-Jerić, K; Schmid, I; Altman, D (2004). "Outcome reporting bias in randomized trials funded by the Canadian Institutes of Health Research". CMAJ. 171 (7): 735–740. PMID 15451835.
  33. Hemminki, E (1980). "Study of information submitted by drug companies to licensing authorities". BMJ. 280 (6217): 833–836. PMID 7370687.