การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. (อังกฤษ: Electricity Generating Authority of Thailand ย่อว่า EGAT) เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงพลังงาน มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าใช้ภายในประเทศไทย

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
Electricity Generating Authority of Thailand
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ภาพรวมหน่วยงาน
ก่อตั้ง1 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 (54 ปี)[1]
หน่วยงานก่อนหน้า
  • การไฟฟ้ายันฮี
  • การลิกไนท์
  • การไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ
เขตอำนาจทั่วราชอาณาจักร
สำนักงานใหญ่เลขที่ 53 หมู่ที่ 2 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130
ฝ่ายบริหารหน่วยงาน
  • กุลิศ สมบัติศิริ, ประธานกรรมการ
  • บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร, ผู้ว่าการ
  • ณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง, รองผู้ว่าการอาวุโส
ต้นสังกัดกระทรวงพลังงาน
หน่วยงานลูกสังกัด
เว็บไซต์http://www.egat.co.th

ในปี 2564 กฟผ. มีรายได้ 556,331 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 59,000 ล้านบาท มีกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร 374,525 ล้านบาท[2]

ประวัติ แก้ไข

 
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริเวณบางกรวย

จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 โดยการรวมหน่วยงาน ด้านการผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า 3 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้ายันฮี การลิกไนท์ และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าเป็นหน่วยงานเดียวกัน[3] มีฐานะเป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2512

พระราชบัญญัติฉบับนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ

  • ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า หรือร่วมทุนกับบุคคลอื่นเพื่อดำเนินธุรกิจดังกล่าว และให้มีอำนาจใช้สอยและครอบครองอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสำรวจหาแหล่งพลังงาน ตลอดจนสถานที่สำหรับใช้ในการผลิตหรือพัฒนาพลังงานไฟฟ้า โดยชดใช้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
  • ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขที่เกี่ยวกับคุณภาพไฟฟ้า เทคนิคทางวิศวกรรม และความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า ในกรณีที่เอกชน ประสงค์จะเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
  • กฟผ. มีสิทธิเพิ่มวงเงินในการกู้ยืมและในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ คณะกรรมการมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินออกจากบัญชีได้ทุกกรณี โดยไม่จำกัดวงเงินโดยสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ

ส่วนสาระสำคัญที่ยังคงเดิม คือ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานคณะกรรมการกับกรรมการ (ซึ่งต้องไม่มีตำแหน่งทางการเมือง) และคณะกรรมการเหล่านี้เป็นผู้แต่งตั้งผู้ว่าการ กฟผ. จึงเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีคอยกำกับดูแลให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2537 ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ กฟผ. เข้าโครงการรัฐวิสาหกิจที่ดี ซึ่งทำให้ กฟผ. มีความคล่องตัวในการบริหารงานได้มากขึ้น

ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 มีมติคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งให้นาย เทพรัตน์ เทพพิทักษ์ เป็นผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโดยให้มีผลในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)ไม่อนุมัติ

หน้าที่ แก้ไข

 
กังหันลม กฟผ. ภูเก็ต

กฟผ. มีหน้าที่ในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชน โดยผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ใช้พลังงานไฟฟ้ารายอื่นตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งประเทศใกล้เคียง และดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนงานอื่น ๆ ที่ส่งเสริมกิจการของ กฟผ. โดยมีนโยบายหลักคือการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน มีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงเชื่อถือได้ และราคาเหมาะสม

กฟผ. ยังทำหน้าที่บริหารกิจการและวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 ที่กำหนดให้ปรับปรุงโครงสร้างองค์การและการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2535 เรื่องแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. เริ่มจากปี พ.ศ. 2535 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2539 มีเป้าหมายการดำเนินงาน คือ เปลี่ยนแปลง กฟผ. เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) และกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรัฐยังคงถือหุ้นใหญ่

กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีมาเป็นลำดับ ได้แก่ การจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) การออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กและโรงไฟฟ้าเอกชน การเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ สำหรับการเปลี่ยน กฟผ. เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) เป็นให้ กฟผ. จัดตั้งบริษัทย่อยทยอยจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เมื่อมีความพร้อมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้น ไป

กิจการในสังกัด แก้ไข

ข้อวิจารณ์ แก้ไข

ในปี 2565 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ตีพิมพ์บทความวิจารณ์ว่า กฟฝ. เป็นผู้ผูกขาดธุรกิจไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่สุดของประเทศและยังเป็นนายหน้าค้าไฟฟ้า ทำให้มีกำไรสูงกว่าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนอันดับรองลงมา 12 รายรวมกัน โดย กฟฝ. เป็นผู้ผูกขาดสายส่งไฟฟ้า จึงมีอำนาจรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนมาขายต่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1 ใน 3 ของกำลังผลิต 42,000 เมกะวัตต์ อีกทั้งมีการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่อีก 2 รายจากทั้งหมด 7 ราย[2]

อ้างอิง แก้ไข

  1. "ประวัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-05-13. สืบค้นเมื่อ 2011-02-26.
  2. 2.0 2.1 "กังขา กฟผ. นายหน้าค้าไฟฟ้า ฟันกำไรอื้อ". ฐานเศรษฐกิจ. 14 December 2022. สืบค้นเมื่อ 19 December 2022.
  3. พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511
  4. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-16. สืบค้นเมื่อ 2011-11-19.

ดูเพิ่ม แก้ไข

แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข