แซมสัน (อังกฤษ: Samson; /ˈsæmsən/; שִׁמְשׁוֹן, Shimshon, "มนุษย์สุริยะ")[1][a] เป็นชาวอิสราเอลคนสุดท้ายที่ถูกล่าวไว้ในหนังสือผู้วินิจฉัยของคัมภีร์ฮีบรู (บท 13 ถึง 16) และเป็นหนึ่งในผู้นำที่ "วินิจฉัย" ชาวอิสราเอลคนสุดท้ายก่อนที่จะมีพระมหากษัตริย์ บางครั้ง เขาถูกเทียบเป็นเอ็นคิดูโดยซูเมอร์ และเฮราคลีสของชาวกรีก[2]

แซมสัน
แซมสันสู้กับสิงโต (1525) โดย ลูคัส ครานัค
สุสานเทลโซรา, บรูกแห่งโซเรก
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนอับโดน
ผู้สืบตำแหน่งอีไล
บุพการี

ในไบเบิลกล่าวไว้ว่า แซมสันเป็นชาวนาศีร์ และมีความแข็งแกร่งที่สามารถทำลายฝ่ายศัตรูได้ และทำในสิ่งที่ดูเหนือมนุษย์[3] เช่น การสังหารสิงโตด้วยมือเปล่า และสังหารทหารชาวฟิลิสตีนด้วยกระดูกกรามของลา อย่างไรก็ตาม ถ้าผมยาวของแซมสันถูกตัด การสาบานเป็นนาศีร์จะถูกล้มเลิก และเขาจะสูญเสียความแข็งแกร่งไป[4]

แซมสันถูกทรยศโดยเดลิลาห์ คู่รักของเขา โดยเธอสั่งให้ข้ารับใช้ตัดผมในขณะที่เขาหลับและส่งเขาไปให้ชาวฟิลิสตีน โดยเขาถูกควักตาออกแล้วบังคับให้บดเมล็ดพันธุ์ในโรงสีข้าวที่กาซา ในขณะที่ผมของเขาเริ่มยาว ชาวฟิลิสตีนนำเขาไปที่วิหารดาโกน แซมสันของพักที่เสาหนึ่งของวิหาร หลังจากพักแล้ว เขาได้ขอพรต่อพระเจ้าให้นำความแข็งแกร่งคืนมา แล้วผลักเสาให้พังลงมาฆ่าทุกคนรวมถึงเขาด้วย ในบางธรรมเนียมของชาวยิว แซมสันถูกฝังที่เทลโซราในอิสราเอล

ประวัติในไบเบิล แก้

เกิด แก้

 
การบูชายัญของมาโนอาห์ (1640–50) โดย Eustache Le Sueur

รายงานจากหนังสือผู้วินิจฉัย แซมสันมีชีวิตในช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฟิลิสเตีย เมื่อพระเจ้าจะสั่งสอนวินัยแก่ชาวอิสราเอลโดยการ "มอบเขาไว้ในมือของชาวฟีลิสเตีย"[5] มาโนอาห์เป็นชาวอิสราเอลจากโซราห์ ผู้เป็นลูกหลานของดาน[6] และภรรยาของเขาไม่สามารถตั้งครรภ์ได้[7][8] ทูตสวรรค์จึงปรากฏต่อหน้าภรรยาของมาโนอาห์ และประกาศว่าพวกเขาจะมีลูกที่จะปลดปล่อยชาวอิสราเอลออกจากชาวฟิลิสตีน[9]

ทูตสวรรค์บอกกับภรรยามาโนอาห์ว่าห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และบอกลูกของเธอว่าห้ามโกนหรือตัดผมของเขาเด็ดขาด เขาต้องเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด[7][8][9]ภรรยาของมาโนอาห์เชื่อทูตสวรรค์ แต่สามีของเธอไม่อยู่ ดังนั้น เขาจึงขอพรต่อพระเจ้าให้ส่งศาสนทูตอีกครั้งเพื่อสอนเขาว่าควรเลี้ยงดูลูกชายที่จะถือกำเนิดอย่างไร

หลังจากทูตสวรรค์กลับมา มาโนอาห์ได้ถามถึงชื่อลูกชายของเขา แต่ทูตสวรรค์กล่าวว่า "เหตุใดจึงถามชื่อของเรา? ชื่อนั้นเกินความเข้าใจ"[10] มาโนอาห์จึงเตรียมของบูชายัญ แต่เทวทูตกล่าวว่าต้องขอต่อพระเจ้าเท่านั้น ในระหว่างนั้น แซมสันได้ถือกำเนิด และถูกเลี้ยงดูตามสิ่งที่ทูตสวรรค์สอนมา[8][9]

แต่งงานกับชาวฟีลิสตีน แก้

ในตอนที่เขาเข้าวัยผู้ใหญ่ แซมสันได้ออกจากหุบเขาของประชาชนของเขาเพื่อดฝุเมืองของพวกฟีลิสเตีย เขาตกหลุมรักหญิงชาวฟิลิสเตียจากติมนะห์ และอยากแต่งงานกับเธอ โดยไม่สนข้อแม้ของพ่อแม่ว่าเธอไม่ใช่ชาวอิสราเอล[8][9][11] แต่ว่าการแต่งงานครั้งนั้น เป็นแผนของพระเจ้าที่จะโจมตีชาวฟิลิสตีน[9]

รายงานจากไบเบิล แซมสันถูกสถิตโดย "พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า" ที่ให้พรเขาด้วยความแข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น ในตอนที่เขาจะไปขอเธอแต่งงาน เมื่อเขาถูกสิงโตโจมตี เขาแค่จับมันแล้วฉีกเป็นชิ้น ๆ แต่เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ โดยไม่พอเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา[9][12][13] เขามาที่บ้านของชาวฟิลิสตีนและกลายเป็นคู่หมั้นกับเธอ เขากลับบ้าน แล้วกลับไปที่ติมนะห์ ในระหว่างทาง แซมสันเห็นผึ้งสร้างรังในซากสิงโต และสร้างน้ำผึ้ง[9][13] เขากินน้ำผึ้งไปกำมือหนึ่งแล้วนำมันกลับไปให้พ่อแม่[9]

ที่งานแต่งงาน แซมสันกล่าวถึงปริศนาคำทายให้กับเจ้าบ่าว 30 คน (ทั้งหมดเป็นชาวฟิลิสตีน) ถ้าพวกเจ้าตอบได้ภายในงานเลี้ยงเจ็ดวันนี้ เราก็จะให้เสื้อผ้าลินินพร้อมเครื่องนุ่งห่มสามสิบชุด แต่ถ้าตอบไม่ได้ พวกเจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายยกเสื้อผ้าลินินพร้อมเครื่องนุ่งห่มสามสิบชุดให้เรา[8][9] แซมสันจึงกล่าวปริศนาคำทายในตอนที่เขาสู้กับสิงโตว่า:[9][13]

มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง[14]

ชาวฟิลิสตีนรู้สึกโมโหกับปริศนานี้[9] เจ้าบ่าว 30 คน บอกภรรยาใหม่ของแซมสันว่า พวกเขาจะเผาเธอกับพ่อของเธอ ถ้าเธอไม่รู้คำตอบของปริศนาคำทาย และบอกคำตอบกับพวกเขา[9][13] แซมสันก็บอกคำตอบกับเธอ และเธอไปบอกแก่เจ้าบ่าว 30 คนว่า[8][9]

 
แซมสันสังหารชาย 1,000 คนด้วยกระดูกกรามของลา (ป. ค.ศ.1896–1902) โดย เจมส์ ทิสซอต

พอวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกชาวเมืองจึงบอกแซมสันว่า

"มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง? มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโต?"

แซมสันจึงบอกเขาว่า

 "ถ้าเจ้าไม่เอาแม่วัวของเราช่วยไถ เจ้าคงจะแก้ปริศนาของเราไม่ได้"[15]

แซมสันเดินทางไปที่อัชเคลอน (ห่างไปประมาณ 30 ไมล์) โดยฆ่าชาวฟิลิสตีนไป 30 คน เพื่อนำเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้กับเจ้าบ่าว 30 คน[8][13][16] ด้วยความโมโห แซมสันจึงกลับไที่บ้านพ่อของเขา[8][13][16] ในเวลาต่อมา แซมสันกลับไปที่ติมนะห์เพื่อไปเยี่ยมภรรยาของเขา โดยไม่รู้ว่าเธอแต่งงานกับหนึ่งในอดีตเจ้าบ่าวแล้ว แต่พ่อของเธอปฏิเสธไม่ให้แซมสันพบเธอ โดยขอให้แต่งงานกับน้องสาวของเธอแทน[8][16]

แซมสันออกไปข้างนอก แล้วนำสุนัขจิ้งจอก 300 ตัว มัดหางติดกันเป็นคู่ แล้วจุดไฟปล่อยให้สุนัขจิ้งจอกวิ่งพล่านไปตามทุ่งนากับมะกอกของชาวฟิลิสตีน[17] ชาวฟิลิสตีนจึงรู้ว่าทำไมแซมสันถึงเผาทุ่งนาของพวกเขา และจับตัวหญิงสาวพร้อมทั้งบิดาของนางมาเผาทั้งเป็น[8][16][18]

เพื่อการแก้แค้น แซมสันจึงฆ่าชาวฟิลิสตีนมากกว่าเดิม โดยกล่าวว่า "ข้าเพียงแต่ตอบโต้สิ่งที่เขาทำกับข้าไว้เท่านั้น"[8][16] แซมสันจึงหลบภัยที่ศิลาแห่งอีตาม[8][16][19] ทหารชาวฟิลิสเตียมาที่ชนเผ่ายูดาห์ และสั่งให้ชาย 3,000 คนจากเผ่ายูดาห์นำตัวแซมสันมา[8][19] ด้วยความยินยอมของแซมสันว่า ชาวยูดาห์จะไม่ฆ่าเขาด้วยกันเอง พวกเขาจึงผูกแซมสันด้วยเชือกใหม่สองสาย และในตอนที่กำลังเตรียมยกให้ชาวฟิลิสเตีย เชือกที่ผูกเขานั้นเกิดขาด[18][19] แล้วใช้กระดูกกรามลาฆ่าชาวฟิลิสเตียไป 1,000 คน[18][19][20]

เดลิลาห์ แก้

 
แซมสันกับเดไลลาห์ (ค.ศ.1887) โดย Jose Etxenagusia

หลังจากนั้น แซมสันเดินทางไปที่กาซา โดยอาศัยอยู่ในบ้านของโสเภณี[16][21] ศัตรูของเขารอที่ประตูของเมืองเพื่อดักโจมตีเขา แต่แซมสันดึงเสาประตูทั้งสองข้างพร้อมทั้งดาลประตูหลุดลอยจากพื้น แล้วแบกประตูไปจนถึง "ยอดเนินเขาที่หันหน้าไปทางฮีบรอน"[16][21]

เขาตกหลุมรักกับเดลิลาห์ที่หุบเขาโซเรก[16][18][21][22] ชาวฟิลิสตีนมาหาเดไลลาห์และชักจูงเธอด้วยเงิน 1,100 เหรียญเพื่อสืบหาความลับของความแข็งแกร่งของแซมสัน เพื่อที่จะจับกุมศัตรูของพวกเขาได้[16][21] แต่แซมสันไม่บอกความลับ และหลอกเธอว่า ถ้าใช้สายธนูที่หนังยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมัดตัวข้า ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนคนอื่น[16][21] เธอทำอย่างนั้นตอนที่เขาหลับ แต่ตอนที่เขาตื่น เขากลับสะบัดสายธนูขาดอย่างง่ายดาย[16][21] เธอยืนกรานถามอีกครั้ง และเขาตอบว่า ถ้าใช้เชือกใหม่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อนมัดข้าอย่างแน่นหนา ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น เธอจึงผูกด้วยเชือกใหม่ในตอนที่เขาหลับ และเขาสะบัดสายให้ขาดอีกครั้ง[16][21] เธอถามแซมสันอีกครั้ง และเขาตอบว่า หากทอเส้นผมทั้งเจ็ดปอยของข้าเข้าไปในหูกทอผ้า แล้วกระทกด้วยฟืม ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น[16][21] เธอจึงทอผมทั้งเจ็ดปอยของเขาเข้าในหูก แต่เขาทำลายหูกทั้งหมด และนำมันออกไป[16][21]

อย่างไรก็ตาม เดลิลาห์ยังคงถามอีก และแซมสันจึงบอกความจริงว่า พระเจ้าให้พลังเขาเพราะเขาถวายตัวแด่พระเจ้าในฐานะนาศีร์ และบอกว่า ถ้าหากโกนผมทิ้ง เรี่ยวแรงกำลังของข้าก็จะหมดไป ข้าจะอ่อนแอเหมือนคนอื่น ๆ[23][24][16][22] เดลิลาห์จึงให้เขา "หลับหนุนตักนาง" และเรียกบริวารมาตัดผมเขา[16] แซมสันสูญเสียความแข็งแกร่ง และถูกจับโดยชาวฟิลิสเตีย โดยถูกควักตาทั้งสองข้างของเขาออก[16] พวกเขานำแซมสันไปที่กาซา จับขังเขา และใช้ให้โม่ข้าวอยู่ในเรือนจำ [21]

เสียชีวิต แก้

ผลักหรือดึง?
รายงานจากไบเบิล แซมสันเสียชีวิตโดยการจับเสาทั้งสองของวิหารแห่งดาโกน แล้ว "ดันเสาสุดแรง" (วินิจฉัย 16:30, KJV) โดยมีการตีความว่าแซมสันอาจจะผลักเสาออกจากกัน (ซ้าย) หรือดึงมันเข้าด้วยกัน (ขวา).

วันหนึ่ง ผู้นำชาวฟิลิสตีนได้รวมผู้คนที่วิหารเพื่อทำพิธีถวายบูชายัญแก่ดาโกน หนึ่งในเทพสำคัญของพวกเขา สำหรับการนำแซมสันตกอยู่ในมือของพวกเขา[21][25] พวกเขาเรียกแซมสันมาให้ผู้คนดูตัวเขา ตัววิหารแน่นมาก จนผู้คนต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาวิหาร—และผู้นำจากฟิลิสเตียทุกคนมาที่นั่นด้วย รวมแล้วมีประมาณ 3,000 คน[22][25][26] แซมสันถูกนำตัวไปที่วิหาร และถามผู้จับกุมให้เขาพิงเสาเพื่อพักผ่อน แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อยู่ในคุก ผมของเขาเริ่มงอกอีกครั้ง[27] เขาขอความแข็งแกร่ง และพระเจ้าให้ความแข็งแกร่งเพื่อทำลายเสา ทำให้วิหารพังทลายลง ฆ่าเขาและผู้คนที่อยู่ข้างในนั้นด้วย[28]

หลังจากเสียชีวิต ครอบครัวของแซมสันนำร่างของเขาไปฝังใกล้ ๆ สุสานของมาโนอาห์ ผู้เป็นพ่อ[25] โดยอยู่บนยอดเขาในเทลโซรา[29] ในบทสรุปของบทวินิจฉัย 16 กล่าวว่า แซมสันได้ "วินิจฉัย" ชาวอิสราเอลไป 20 ปี[19] ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงชะตาของเดลิลาห์ว่าเป็นอย่างไร[22]

ดูเพิ่ม แก้

หมายเหตุ แก้

  1. กรีก: Σαμψών

อ้างอิง แก้

  1. Van der Toorn, Karel; Pecking, Tom; van der Horst, Peter Willem (1999). Dictionary of Deities and Demons in the Bible. Grand Rapids, MC: William B. Eerdmans. p. 404. ISBN 978-0-80282491-2.
  2. Margalith, Othniel (January 1987). "The Legends of Samson/Heracles". Vetus Testamentum. 37: 63–70.
  3. แม่แบบ:Wwbible
  4. Judges 16:17
  5. Judges 13
  6. Judges 13:2
  7. 7.0 7.1 Rogerson, John W. (1999). Chronicle of the Old Testament Kings: the Reign-By-Reign Record of the Rulers of Ancient Israel. London: Thames & Hudson. p. 58. ISBN 0-500-05095-3.
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12   บทความนี้นำข้อความมาจากสิ่งพิมพ์ที่ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติข้อผิดพลาด Lua: expandTemplate: template "cite Jewish Encyclopedia" does not exist
  9. 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 แม่แบบ:Wwbible
  10. Judges 13:18
  11. Judges 14
  12. Judges 14:6, Bible hub.
  13. 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 Rogerson, John W. (1999). Chronicle of the Old Testament Kings: the Reign-By-Reign Record of the Rulers of Ancient Israel. London: Thames & Hudson. p. 59. ISBN 0-500-05095-3.
  14. Judges 14:14
  15. Judges 14:18
  16. 16.00 16.01 16.02 16.03 16.04 16.05 16.06 16.07 16.08 16.09 16.10 16.11 16.12 16.13 16.14 16.15 16.16 16.17 แม่แบบ:Wwbible
  17. Judges 15
  18. 18.0 18.1 18.2 18.3 Rogerson, John W. (1999). Chronicle of the Old Testament Kings: The Reign-By-Reign Record of the Rulers of Ancient Israel. London: Thames & Hudson. p. 61. ISBN 0-500-05095-3.
  19. 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 Judges 16
  20. Porter, J. R. (2000). The Illustrated Guide to the Bible. New York: Barnes & Noble Books. p. 75. ISBN 0-7607-2278-1.
  21. 21.00 21.01 21.02 21.03 21.04 21.05 21.06 21.07 21.08 21.09 21.10 Judges 16
  22. 22.0 22.1 22.2 22.3 Rogerson, John W. (1999). Chronicle of the Old Testament Kings: The Reign-By-Reign Record of the Rulers of Ancient Israel. London: Thames & Hudson. p. 62. ISBN 0-500-05095-3.
  23. ผู้วินิจฉัย 16:17
  24. ผู้วินิจฉัย 16:16 (ESV)
  25. 25.0 25.1 25.2 แม่แบบ:Wwbible
  26. Judges 16:27
  27. Judges 16:22
  28. Judges 16:28–30, JPS (1917)
  29. Levinger, I. M.; Neuman, Kalman (2008). IsraGuide 2007/2008 (pb). Feldheim Publishers. p. 266. ISBN 978-1-59826-154-7.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้