เกมพันหน้า เป็นรายการเกมโชว์ที่เปลี่ยนชื่อมาจากรายการ แสบคูณสอง และเป็นรายการเกมโชว์ลำดับที่ 3 ของ บริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2544 ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และยุติการออกอากาศเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2548 มีพิธีกร คือ เกียรติ กิจเจริญ , ติ๊ก กลิ่นสี และ ไดอาน่า จงจินตนาการ (2 มกราคม พ.ศ. 2546 - เมษายน พ.ศ. 2547)

เกมพันหน้า
ประเภทเกมโชว์
พัฒนาโดยบริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด
เสนอโดยเกียรติ กิจเจริญ
ติ๊ก กลิ่นสี
ไดอาน่า จงจินตนาการ (2546-2547)
ประเทศแหล่งกำเนิดไทย ประเทศไทย
ภาษาต้นฉบับไทย
การผลิต
ผู้อำนวยการสร้างเกียรติ กิจเจริญ
ติ๊ก กลิ่นสี
ความยาวตอน60 นาที (2546-2548), 75 นาที (2544-2546)
ออกอากาศ
เครือข่ายช่อง 7 สี
(18 มกราคม พ.ศ. 254430 มกราคม พ.ศ. 2548)
ออกอากาศครั้งแรก18 มกราคม พ.ศ. 2544
ออกอากาศ18 มกราคม พ.ศ. 2544 –
30 มกราคม พ.ศ. 2548
การแสดงที่เกี่ยวข้อง
แสบคูณสอง
แฟนคลับ

ประวัติแก้ไข

รายการเกมพันหน้า เป็นรายการเกมโชว์ลำดับที่ 3 และเป็นรายการโทรทัศน์ลำดับที่ 6 ของบริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2544 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.20 - 23.45 น. เป็นเวลา 75 นาที โดยเป็นเกมโชว์ที่เกี่ยวข้องกับการตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้ในสิ่งต่างๆ เช่น ไดโนเสาร์ นก กรุงเทพฯ ในอดีต ฯลฯ และเปิดโอกาสให้ผู้ชมทางบ้านสามารถเข้ามาร่วมสนุกโดยการเขียนจดหมายมาสมัครร่วมรายการ หรือสมัครทางเว็บไซต์ได้อีกด้วย โดยมีเงินรางวัลสูงสุด 1,000,000 บาท ต่อมาตั้งแต่ 2 มกราคม พ.ศ. 2546 ทางรายการได้นำ ไดอาน่า จงจินตนาการ มาเป็นพิธีกรของรายการเพิ่มอีก 1 คน พร้อมทั้งปรับรูปแบบเกมมาเป็นการทายเรื่องราวจากญาติของดารารับเชิญ รวมถึงลดเงินรางวัลลง ต่อมาตั้งแต่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ได้ย้ายวันและเวลาการออกอากาศ พร้อมทั้งปรับรูปแบบเกมและฉากใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งลดเวลาเหลือ 60 นาที ในวันอาทิตย์ เวลา 12.15 - 13.15 น. และเวลา 12.00 - 13.00 น. ตามลำดับ และยุติการออกอากาศในปี พ.ศ. 2548 โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการมาเป็น เกมพันหน้า เอื้ออาทร เกมพันหน้า เดอะฮีโร่ เกมพันหน้า ซูเปอร์เซเว่น และเกมพันหน้า ป๋าจัดไป ตามลำดับ

พิธีกรและนักแสดงในรายการแก้ไข

พิธีกรประจำรายการแก้ไข

สมาชิก ช่วงระหว่าง หมายเหตุ
เกียรติ กิจเจริญ 18 มกราคม พ.ศ. 2544 - 30 มกราคม พ.ศ. 2548
ชาญณรงค์ ขันทีท้าว
ไดอาน่า จงจินตนาการ 2 มกราคม พ.ศ. 2546 - เมษายน พ.ศ. 2547 เนื่องจากว่า ต้องไปศึกษาต่อจนจบปริญญา ซึ่งในตอนนั้น ไดอาน่าอยู่ในช่วงกำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษา

นักแสดงประจำรายการแก้ไข

สมาชิก ชื่อในวงการ ช่วงระหว่าง หมายเหตุ
พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ เท่ง เถิดเทิง 18 มกราคม พ.ศ. 2544 - 30 มกราคม พ.ศ. 2548 เนื่องจากเข้าไปอยู่ในสังกัด เวิร์คพอยท์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ ทำให้หลังจากเกมพันหน้าเปลี่ยนรูปแบบรายการจึงไม่ได้อยู่เป็นแก๊งแมวเหมียวต่อในเกมพันหน้า เอื้ออาทร (ก่อนหน้านี้เป็นนักแสดงตลกอิสระ)
กอบโชค คล้ายสำริด เฉื่อย เถิดเทิง ปัจจุบันเสียชีวิต​แล้ว​เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
ดนัย ศรีภิญโญ แดนนี่ ศรีภิญโญ
ชูเกียรติ เอี่ยมสุข นุ้ย เชิญยิ้ม

วันและเวลาออกอากาศแก้ไข

สถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศ วัน เวลา ช่วงระหว่าง ระยะออกอากาศ
สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 พฤหัสบดี 22.20 - 23.45 น. 18 มกราคม 2544 - 29 พฤษภาคม 2546 75 นาที
อาทิตย์ 12.15 - 13.15 น. 1 มิถุนายน 2546 - ต้นปี พ.ศ. 2547 60 นาที
12.00 - 13.00 น. ต้นปี พ.ศ. 2547 - 30 มกราคม 2548

ผู้เข้าแข่งขันแก้ไข

ในเกมพันหน้ายุคแรกนั้นจะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นดารารับเชิญ 3 คนต่อสัปดาห์ และ เซียนพันหน้าจากทางบ้านอีก 5 คน โดยดารารับเชิญจะต้องเลือกเซียนพันหน้า 1 คนไปเป็นที่ปรึกษาให้ดาราในการตอบคำถาม และหา 1 ทีมเพื่อเข้ารอบ Jackpot ต่อมาในช่วงกลางปี 2546 ต่อมาเปลี่ยนเป็นดารารับเชิญ 3 คน ผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้าน 3 คน ต่อมามีผู้เข้าแข่งขันเป็นดารารับเชิญ 3 คนต่อสัปดาห์และหา 1 คนที่จะได้รับเงินรางวัลสะสมกลับไป และในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน 2546 - 30 มกราคม 2548 ได้ปรับเปลี่ยนเป็นดารารับเชิญ 1 คน และผู้เข้าแข่งขันทางบ้านอีก 50 คน ผู้เข้าแข่งขันที่ตอบผิดในแต่ละข้อรอบใดๆ จะต้องตกรอบไป และเชิญดาราในช่วงต้นรายการเพื่อเล่นเกมทายใจดารา ผู้เข้าแข่งขันที่ยังเหลืออยู่จะได้รับเงินรางวัลที่สะสมมาแบ่งกันกลับบ้านไป

ช่วงต่าง ๆ ของรายการแก้ไข

ช่วงต่าง ๆ ของรายการเกมพันหน้า จะแบ่งเป็น 4 ช่วงหลัก ๆ โดยจะเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบของรายการและปีที่ออกอากาศ ดังนี้

ชื่อช่วง ช่วงปี หมายเหตุ
ช่วงที่ 1
ละครพันหน้า 18 มกราคม พ.ศ. 2544 - 30 มกราคม พ.ศ. 2548
ช่วงที่ 2
เซียนพันหน้า (ข้อที่ 1 และ 2) 18 มกราคม 2544 - 26 ธันวาคม 2545
ตอบคำถาม (ดาราตอบ ทางบ้านเลือก) 1 มิถุนายน พ.ศ. 2546 - 30 มกราคม พ.ศ. 2548
ช่วงที่ 3
เซียนพันหน้า (ข้อที่ 3 และ 4) 18 มกราคม 2544 - 26 ธันวาคม 2545
ทายใจดารา 1 มิถุนายน พ.ศ. 2546 - 30 มกราคม พ.ศ. 2548
ช่วงที่ 4 (รอบ JACKPOT)
เปิดแผ่นป้ายเรียงตัวเลข 18 มกราคม 2544 - 26 ธันวาคม 2545
เปิดแผ่นป้ายสะสมคะแนน 2 มกราคม - 29 พฤษภาคม 2546

เกมในเกมพันหน้าแก้ไข

ในส่วนของเกมการแข่งขันในรายการเกมพันหน้านั้น สามารถแบ่งได้เป็น 4 ยุคด้วยกัน คือ ยุคแรก (18 มกราคม 2544 - 7 กุมภาพันธ์ 2545) ยุคที่ 2 (14 กุมภาพันธ์ - 26 ธันวาคม 2545) ยุคที่ 3 (2 มกราคม - 29 พฤษภาคม 2546) และยุคสุดท้าย (1 มิถุนายน 2546 - มกราคม 2548) โดยในแต่ละยุคได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมในรายการอยู่เรื่อย ๆ รวมทั้งปรับฉากใหม่และเกมใหม่ในยุคสุดท้าย

ยุคแรก (18 มกราคม 2544 - 7 กุมภาพันธ์ 2545)แก้ไข

ช่วงที่ 1แก้ไข

ในแต่ละสัปดาห์จะมีผู้เข้าแข่งขันซึ่งเป็นดารารับเชิญ 3 คน และมีผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านที่สมัครมาร่วมเล่นเกมในรายการจำนวน 5 คน โดยทางรายการจะเรียกว่า เซียนพันหน้า หลังจากเซียนพันหน้าแนะนำตัวครบทั้ง 5 คนแล้ว ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟ เมื่อไฟติดที่ใคร ผู้เข้าแข่งขันจะได้เลือกเซียนพันหน้าก่อน ทำแบบนี้จนครบ 3 คน จากนั้นพิธีกรจะถามคำถามโดยมีคำถาม 5 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน 1 ข้อมี 4 ตัวเลือก ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟ เมื่อไฟติดที่ใคร ผู้เข้าแข่งขันและเซียนพันหน้าจะได้สิทธิในการตอบ เมื่อตอบแล้ว เกจิอาจารย์จะเป็นผู้เฉลยคำตอบ และเมื่อถึงข้อต่อไปผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 5 ข้อ และเซียนพันหน้าท่านที่เหลืออีก 2 คนจะทำหน้าที่เสนอตัวเองให้ดารารับเชิญเลือกเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการตอบ ทั้งนี้หากหากต้องการเปลี่ยนตัวเซียนพันหน้าสามารถเปลี่ยนได้ แต่สามารถเปลี่ยนได้ครั้งเดียว และไม่เสียคะแนนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าต้องการแลกตัวเซียนพันหน้ากับทีมอื่น จะต้องยกคะแนนให้ฝ่ายตรงข้ามตามที่ต้องการ เมื่อครบ 5 ข้อจะมีการเปิดป้ายเพื่อสะสมคะแนน ทีมใดได้คะแนนรวมน้อยที่สุดจะตกรอบทันที และได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท (เงินรางวัลสนับสนุนโดย สก๊อตซ์ไบรต์ 3M)

ช่วงที่ 2แก้ไข

จะมีทีมผู้เข้าแข่งขันที่เข้ามาในรอบนี้ 2 ทีม ส่วนคำถามจะมี 3 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน 1 ข้อมี 4 ตัวเลือก พิธีกรจะถามคำถามซึ่งยากกว่ารอบที่แล้ว อาจเป็นการตอบจากเสียงในห้องส่ง VTR สิ่งของหรือ ถิ่นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหมวดคำถามที่เกี่ยวกับสัตว์ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟ เมื่อไฟติดที่ใคร ผู้เข้าแข่งขันและเซียนพันหน้าจะได้สิทธิในการตอบ เมื่อตอบแล้ว เกจิอาจารย์จะเป็นผู้เฉลยคำตอบ และเมื่อถึงข้อต่อไปผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 3 ข้อ และเซียนพันหน้าท่านที่เหลืออีก 2 คนจะทำหน้าที่เสนอตัวเองให้ดารารับเชิญเลือกเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการตอบ ทั้งนี้หากหากต้องการเปลี่ยนตัวเซียนพันหน้า จะต้องเสียคะแนน 1 คะแนน และหากต้องการแลกตัวเซียนพันหน้ากับคู่อื่น จะต้องเสีย 1 คะแนนให้ฝ่ายตรงข้าม เมื่อครบ 3 ข้อจะมีการเปิดป้ายเพื่อสะสมคะแนน ทีมใดได้คะแนนรวมมากที่สุดจะเข้ารอบ Jackpot ทันที โดยมีเงินรางวัลสะสมเพื่อทบยอดกับรอบ Jackpot 40,000 บาท ส่วนทีมใดได้คะแนนรวมน้อยที่สุดจะได้รับเงินรางวัลคนละ 15,000 บาทรวมทั้งหมด 30,000 บาท (เงินรางวัลสนับสนุนโดย ร้านเครื่องประดับ Jewelic) และเซียนพันหน้าที่ยังเหลืออยู่ 2 ท่านจะได้รับเงินรางวัลคนละ 5,000 บาท

ยุคที่สอง (14 กุมภาพันธ์ - 26 ธันวาคม 2545)แก้ไข

การแข่งขันแก้ไข

ในยุคนี้ยังคงมีผู้เข้าแข่งขันเป็นดารารับเชิญ 3 คน มีผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านที่สมัครมาร่วมเล่นเกมในรายการจำนวน 5 คน โดยทางรายการจะเรียกว่า เซียนพันหน้า หลังจากเซียนพันหน้าแนะนำตัวครบทั้ง 5 คนแล้ว ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟ เมื่อไฟติดที่ใคร ผู้เข้าแข่งขันจะได้เลือกเซียนพันหน้าก่อน ทำแบบนี้จนครบ 3 คน แต่ในยุคนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนรายการโดยลดคำถามจาก 8 ข้อเหลือเพียง 4 ข้อ 1 ข้อมี 4 ตัวเลือกเช่นเดิม และเปลี่ยนกติกาโดยพิธีกรจะถามคำถาม ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแย่งกันกดปุ่มไฟ เมื่อไฟติดที่ใคร ผู้เข้าแข่งขันและเซียนพันหน้าจะได้สิทธิในการตอบเป็นคนแรก โดยดารารับเชิญจะเป็นผู้มีสิทธิตอบ ดารารับเชิญต้องวิเคราะห์คำตอบเพื่อทำคะแนนให้ตนเอง ขณะเดียวกัน เซียนพันหน้าต้องวิเคราะห์คำตอบของดาราว่า ถูก หรือ ผิด เพื่อรักษาแท่งผลึกในแท่นของตนเอง ซึ่งจะเป็นเงินรางวัลของตนเองที่จะได้ไป โดยจะมี 10 แท่งผลึกหมายถึงเงินรางวัล 20,000 บาท (แท่งผลึกละ 2,000 บาท) จากนั้นเกจิอาจารย์จะเฉลยคำตอบว่า ถูก หรือ ผิด หากทีมแรกตอบไม่ถูกจะถูกยึดแท่งผลึกไป อีก 2 ทีมยังมีสิทธิในการตอบ โดยคะแนนจะลดลงตามลำดับ หากคนแรกตอบถูกจะได้ 3 คะแนน คนที่สองตอบถูกจะได้ 2 คะแนน และคนที่สามตอบถูกจะได้ 1 คะแนน และเกจิอาจารย์จะเฉลยว่าใคร ถูก หรือ ผิด ในรอบที่ 2 มี 4 ข้อ 4 ตัวเลือก แย่งกันกดไฟถ้าตอบถูกจะได้ 2 คะแนน ตอบเป็นคนถัดมาจะได้ 1 คะแนน เมื่อจบเกมในรอบที่ 2 เซียนพันหน้าเหลือเงินเท่าไหร่ก็รับเงินกลับรางวัลไปตามจำนวนนั้น

ยุคที่สาม (2 มกราคม - 29 พฤษภาคม 2546)แก้ไข

พบญาติแก้ไข

ในเกมนี้เป็นเกมที่นำเกม แสบพบญาติ จากรายการ แสบคูณสอง มาเล่นอีกครั้ง โดยทางรายการจะมีดารารับเชิญ 1 ท่าน หลังจากละครพันหน้าจบ แล้วทางรายการจะเชิญบุคคลปริศนา ซึ่งอาจเป็นญาติหรือมีความเกี่ยวข้องกับดารารับเชิญ และทายว่า บุคคลปริศนาที่พามานั้น ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม

ยุคสุดท้าย (1 มิถุนายน 2546 - 30 มกราคม 2548)แก้ไข

การแข่งขันแก้ไข

การแข่งขันในยุคนี้ต่างจากทั้ง 3 ยุคที่ผ่านมา โดยมีดารารับเชิญ (เช่นเดียวกับในยุคที่ 3) 1 คน และผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านอีก 50 คน โดยก่อนการแข่งขันจะมีการสะสมเงินรางวัล 2 รอบ จากนั้นพิธีกรจะถามคำถามโดยมีคำถาม 2 ข้อ ข้อละ 3 ตัวเลือก ดารารับเชิญจะตอบ 1 ตัวเลือก จากนั้นผู้เข้าแข่งขันทางบ้านทั้ง 50 คนจะต้องเลือกนั่งโพเดียม โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องวิเคราะห์คำตอบของดารารับเชิญว่า ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม จากนั้นเกจิอาจารย์จะเฉลย ผู้ที่ตอบถูกจะยังคงอยู่ในรายการ ส่วนผู้ที่ตอบผิดจะต้องตกรอบกลับบ้านไป

ทั้งนี้ ถ้าหากดารารับเชิญตอบถูก (เกจิอาจารย์ตอบว่า ชัวร์) ดารารับเชิญจะได้รับเงินรางวัลพิเศษข้อละ 10,000 บาทอีกด้วย (เงินรางวัลสนับสนุนโดยเกลด รีเฟรช แอร์) และช่วงนี้สนับสนุนโดยและสินเชื่อบุคคล KTC iCash อีกด้วย

ทายใจดาราแก้ไข

ก่อนเข้าสู่ช่วงนี้จะมีการสะสมเงินรางวัลอีก 1 รอบ ดารารับเชิญจะมายืนอยู่กับพิธีกร จากนั้นพิธีกรจะถามคำถามซึ่งเกี่ยวกับการทายใจดาราจำนวน 2 ข้อ ข้อละ 3 ตัวเลือก ผู้เข้าแข่งขันทางบ้านที่เหลือจะต้องเลือกนั่งที่โพเดียมที่มีหมายเลข 1 2 และ 3 ซึ่งเป็นหมายเลขตัวเลือก จากนั้นดารารับเชิญจะเฉลย ผู้ที่ตอบถูกจะยังคงอยู่ในรายการจนจบรายการ ส่วนผู้ที่ตอบผิดจะต้องตกรอบกลับบ้านไป

ทั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันทางบ้านที่ยังเหลืออยู่จนถึงข้อสุดท้าย จะได้รับเงินรางวัลที่สะสมมาทั้ง 3 รอบแบ่งกันกลับบ้านไป และช่วงนี้สนับสนุนโดย เครื่องดื่มเบียร์ช้าง ต่อมาเป็น สินเชื่อส่วนบุคคล KTC iCash

รอบสะสมเงินรางวัลแก้ไข

สำหรับรอบสะสมเงินรางวัลนั้นจะมี 3 รอบด้วยกันโดยเป็นเงินรางวัลสำหรับผู้เข้าแข่งขันทางบ้านที่เหลืออยู่จนถึงรอบสุดท้าย โดยเงินรางวัลนั้นจะนำไปทบยอดทั้ง 3 รอบ และผู้เข้าแข่งขันที่เหลือก็จะแบ่งเงินรางวัลที่สะสมได้กันไป

ไอซีไอแก้ไข

ในเกมนี้จะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย ซึ่ง 4 แผ่นป้ายจะเป็นแผ่นป้ายผลิตภัณฑ์สีไอซีไอ ดูลักซ์ 4 ชนิด ส่วนอีก 8 แผ่นป้ายจะเป็นแผ่นป้ายไอซีไอ ดูลักซ์ โดยจะมีเงินรางวัลสะสมอยู่แล้ว 50,000 บาท (ผู้สนับสนุนหลักในการชิงโชค คือ สีไอซีไอ ดูลักซ์) ดารารับเชิญจะต้องเปิดแผ่นป้ายเพื่อหาผลิตภัณฑ์สีไอซีไอ ดูลักซ์ให้ครบ 4 ชนิด แต่ถ้าเปิดเจอแผ่นป้ายไอซีไอ ดูลักซ์เท่ากับเกมจะหยุดลงทันทีและยังต้องเสียเงินรางวัลแผ่นป้ายละ 5,000 บาท ดารารับเชิญจะต้องเปิดแผ่นป้ายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอผลิตภัณฑ์สีไอซีไอ ดูลักซ์ครบ 4 ชนิดเกมจึงจะจบลง โดยเงินรางวัลที่สะสมไว้ 50,000 บาทจะถูกหักจากจำนวนแผ่นป้ายไอซีไอ ดูลักซ์ที่เปิดได้ป้ายละ 5,000 บาท แต่ถ้าหากเปิดเจอผลิตภัณฑ์สีไอซีไอครบทั้ง 4 ชนิดโดยไม่เจอไอซีไอเลยจะได้รับเงินรางวัลสะสม 50,000 บาททันที เกมนี้ถูกใช้ในปี 2546 - 2548 คล้ายกับเกมตามล่าเอเลี่ยนในรอบสะสมทองคำของรายการเกมจารชน ปี 2541 - 2543

ที่สุดของความสะอาดแก้ไข

เกมนี้เป็นการสลับชนิดของผงซักฟอกเปา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักในรอบนี้ ในเกมนี้จะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย โดยในเกมนี้จะมีผงซักฟอก 3 ชนิด ชนิดละ 4 แผ่นป้าย โดยถ้าป้ายแรกเป็นผงซักฟอกชนิดอะไรจะได้รับเงินรางวัลป้ายละ 5,000 บาท แล้วป้ายต่อไปต้องสลับไปเป็นอีกชนิดเท่านั้น ถ้าสลับกับป้ายก่อนหน้านั้นจะได้รับเงินรางวัลสะสมแผ่นป้ายละ 5,000 บาท ถ้าซ้ำกับป้ายก่อนหน้านั้นเกมจะหยุดลง ทั้งนี้ถ้าหากสลับกันครบทั้ง 12 แผ่นป้ายจะได้รับเงินรางวัลสะสม 100,000 บาททันที เกมนี้ถูกใช้ในปี 2546 - 2548 คล้ายกับเกมสลับตำแหน่งในรอบสะสมเงินรางวัล 1,000,000 บาทของรายการชิงร้อยชิงล้าน ชะชะช่า ในปี 2541 - 2542

ครบ 4 สี เฮรับโชคแก้ไข

เกมนี้เป็นการเปิดแผ่นป้ายเพื่อทายสีของแผ่นป้ายคล้ายกับเกมปริศนาแฟนต้าของผึ้งน้อยสเปซเรสคิว2001และโคลนนิ่ง เอเลี่ยนของเกมจารชน ในเกมนี้จะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย ในเกมนี้จะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนหลัก (ผู้สนับสนุนหลักในการชิงโชค คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว) 4 สี (แดง, เขียว, ส้ม และน้ำเงิน) สีละ 3 แผ่นป้าย โดยจะให้ผู้เข้าแข่งขันทางบ้านทายสีของแผ่นป้าย ถ้าหากทายสีถูกจะได้รับเงินรางวัลสะสมแผ่นป้ายละ 5,000 บาท ถ้าทายผิดเกมจะหยุดลงทันที แต่ถ้าทายถูกครบ 12 แผ่นป้ายจะได้เงินรางวัลสะสม 100,000 บาท

รอบเปิดป้ายคะแนนแก้ไข

ในเกมนี้เป็นการตัดสินหาผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบในรอบที่ 1 และผู้เข้ารอบ Jackpot ในรอบที่ 2 โดยจะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย โดยในรอบที่ 1 จะมีคะแนน 1 2 และ 3 คะแนนอย่างละ 4 แผ่นป้าย ส่วนในรอบที่ 2 จะเพิ่ม 0 4 และ 5 คะแนนอย่างละ 2 แผ่นป้าย (ผู้สนับสนุนหลักในรอบนี้ คือ เครื่องดื่มลิโพ (ในช่วงปลายปี 2544 ผู้สนับสนุนหลักในรอบที่ 2 คือ สบู่พฤกษานกแก้ว ต่อมาเป็น ยูบีซี) แต่ละทีมจะได้เลือกเปิดแผ่นป้าย 1 แผ่นป้ายเพื่อสะสมคะแนน โดยนำคะแนนที่ได้ไปรวมกับคะแนนที่มีอยู่ สำหรับในรอบที่ 1 ผู้ที่เปิดได้คะแนนรวมต่ำสุดจะตกรอบทันทีและได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท ส่วนในรอบที่ 2 ผู้ที่เปิดได้คะแนนรวมมากที่สุดจะเข้ารอบ Jackpot ทันที ส่วนผู้ที่เปิดได้คะแนนรวมต่ำสุดจะตกรอบทันทีและได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท แต่ถ้าหากมีคะแนนเท่ากัน พิธีกรจะให้เปิดอีกทีมละ 1 แผ่นป้าย หรือจนกว่าจะมีผู้ที่มีคะแนนสูงสุด

ต่อมาเปลี่ยนเป็นมีคะแนน 0 - 5 ในรอบที่ 1 อย่างละ 2 แผ่นป้าย ผู้เข้าแข่งขันเลือก 1 แผ่นป้ายเพื่อสะสมคะแนน โดยคะแนนที่ได้ไปรวมกับคะแนนที่มีอยู่ ผู้ที่มีคะแนนน้อยที่สุดตกรอบ ถ้าคะแนนเท่ากัน พิธีกรจะให้เปิดอีกคนละ 1 แผ่นป้าย หรือจนกว่าจะได้ผู้ที่มีคะแนนสูงสุด ผู้ทีมีตกรอบแรกจะได้เงินรางวัล 10,000 บาท ส่วนในรอบที่ 2 เหมือนรอบแรก ผู้ที่ตกรอบที่สองจะได้เงินรางวัล 15,000 บาท ในรอบที่ต่อมาในช่วงก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2546 ยุคที่มีไดอาน่า จงจินตนาการเป็นพิธีกรได้เปลี่ยนรอบเปิดป้ายคะแนนเป็นการตัดสินหาผู้เข้าแข่งขันเดี่ยวที่จะได้รับเงินรางวัลที่สะสมมาจากรอบสะสมเงินรางวัล โดยมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย โดยจะมีคะแนนตั้งแต่ - (คะแนนที่สะสมมาจะติดลบ) จนถึง 20 (ผู้สนับสนุนหลักในรอบนี้ คือ วัน-ทู-คอล) แล้วแต่แต่ละสัปดาห์ว่าจะมีหมายเลขใด โดยผู้ที่มีคะแนนสะสมมากที่สุดจะได้เปิด 2 แผ่นป้าย ส่วนที่เหลือจะได้เปิดคนละ 1 แผ่นป้าย ในรอบนี้ผู้ที่เปิดได้คะแนนมากที่สุดจะได้รับเงินรางวัลที่สะสมมาทั้งหมดทันที ส่วนอีก 2 ท่านจะได้รับเงินรางวัลคนละ 10,000 บาทจากผู้สนับสนุนรายการ (เงินรางวัลสนับสนุนโดยถุงยางอนามัยไลฟ์สไตล์ สตัดด์)

รอบสุดท้ายแก้ไข

รอบสุดท้าย (Jackpot) ของรายการเกมพันหน้า เดือนมกราคม 2544 - กุมภาพันธ์ 2546 คล้ายกับรอบ Jackpot ของรายการเวทีทอง เกมจารชน และครัวตัวเอ้ โดยจะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย ในแต่ละแผ่นป้ายจะมีเลข 1-12 อย่างละ 1 แผ่นป้าย ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกเปิดแผ่นป้ายเรียงตัวเลขจากน้อยไปมาก โดยจะมีเงินรางวัลสะสมอยู่แล้ว 40,000 บาท ต่อมาเมื่อมีการใช้แท่งผลึก จะมีเงินรางวัลสะสมสูงสุด 20,000 บาท (ผู้สนับสนุนหลักในการชิงโชค คือ ผลิตภัณฑ์น่ารัก ต่อมาเป็นสบู่นกแก้วและกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้) เมื่อผู้เข้าแข่งขันเปิดแผ่นป้ายแรกได้จำนวนตัวเลขเท่าใดจะได้รับเงินรางวัลแผ่นป้ายละ 20,000 บาท ป้ายต่อไปต้องมากกว่าป้ายก่อนหน้านี้เท่านั้น (เช่นหากเปิดได้ป้ายแรกเป็น 7 ป้ายต่อไปต้องเท่ากับ 8 หรือมากกว่า) ถ้าหากมากกว่าแผ่นป้ายก่อนหน้าจะได้รับเงินรางวัลครั้งละ 20,000 บาท แต่ถ้าหากน้อยกว่าก่อนหน้านี้ เกมจะหยุดลงทันทีและได้เงินรางวัลตามที่สะสมไว้ ทั้งนี้บางครั้งพิธีกรก็จะเปิดแผ่นป้ายแถมเพื่อมอบเงินรางวัลเพิ่มให้อีก 20,000 บาทหรือแล้วแต่ความประสงค์ของผู้เข้าแข่งขัน ทั้งนี้หากผู้เข้าแข่งขันสามารถเปิดแผ่นป้ายเรียงตัวเลขจากน้อยไปหามากได้ครบ 6 แผ่นป้าย จะได้รับเงินรางวัล 2,000,000 บาทโดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 1,000,000 บาทกับผู้เข้าแข่งขันและผู้โชคดีจากทางบ้านที่มาจากการจับฉลากราคาของผู้สนับสนุนรายการที่ผู้ชมทางบ้านส่งมาร่วมสนุกนั่นเอง[1] นอกจากนี้ผู้โชคดีทางบ้านจะได้รับผลิตภัณฑ์ของผู้สนับสนุนรายการเป็นจำนวนมาก และทุกๆ 3 เดือนจะมีการแจกรางวัลเป็นตู้เย็นจำนวน 10 เครื่อง แต่ถ้า 6 เดือนแจ็คพอตไม่แตกจะมีการจับฉลากราคาของผู้สนับสนุนหลักของผู้ชมทางบ้านขึ้นมา 1 ชิ้นส่วนโดยจะได้รับรางวัลเป็นทองคำหนัก 1 กิโลกรัม และต่อมาในปลายปี 2544 เงินรางวัลลดเหลือ 1,000,000 บาท และยุติการจับชิ้นส่วนของผู้ชมทางบ้าน ในยุคนี้มีผู้ทำ Jackpot แตกคนเดียว คือ กรรชัย กำเนิดพลอย ในปี พ.ศ. 2544

การผลิตวีซีดีแก้ไข

ในรายการ เกมพันหน้า ได้มีการผลิตวีซีดี โดยจะใช้ชื่อชุดว่า "ละครตลก.. ฮา สนั่นเมือง" ซึ่งจะรวมละครพันหน้า ตั้งแต่ปี 2544 - 2547 ชุดละ 3 ตอน (เช่นเดียวกับรายการ แสบคูณสอง ที่มีการรวมละครแสบมาผลิตเป็นวีซีดี) โดยผู้ผลิตและผู้ถือลิขสิทธิ์คือ บริษัท อีวีเอส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เช่นเดียวกับรายการ ชิงร้อยชิงล้าน ชะชะช่า

อ้างอิงแก้ไข

  1. https://web.archive.org/web/20021204112632/http://www.kiktik.com/1000face/2001-01-25/recomment1000.htm
ก่อนหน้า เกมพันหน้า ถัดไป
ยังไม่มี   เกมพันหน้า
(18 มกราคม 2544 - 30 มกราคม 2548)
  เกมพันหน้า เอื้ออาทร
(6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560)