อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล

อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล (อาหรับ: المسيح الدجّال, Al-Masīḥ ad-Dajjāl "เมสสิยาห์ปลอม, โกหก, คนหลอกลวง"; ซีรีแอก: ܡܫܝܚܐ ܕܓܠܐ Mšiha Daggala) เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในวันโลกาวินาศของศาสนาอิสลาม มันจะปรากฏพร้อมกับอ้างตนเองว่าเป็น อัลมะซีห์ (หรือเมสสิยาห์) ก่อน เยามุลกิยามะฮ์ (วันแห่งการทำลายล้าง) เป็นตัวแทนของผู้ต่อต้านเมสสิยาห์ เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ในวันโลกาวินาศของศาสนาคริสต์ และอาร์มิลุสในวันโลกาวินาศของศาสนายูดายช่วงยุคกลาง

ชื่อ

แก้

ดัจญ์ญาล (อาหรับ: دجال) เป็นคำวิเศษณ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาซีรีแอก[1] และเป็นคำที่อยู่ในขั้นที่สุดของภาษาอาหรับ มีรากมากจากคำว่า ดัจญล์ หมายถึง "โกหก" หรือ "การหลอกลวง".[2] อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล หมายถึง "ผู้อ้างตัวเป็นเมสสิยาห์" ในช่วงวันสุดท้าย และคำว่า ดัจญ์ญาล คือสิ่งมีชีวิตที่มีความชั่วร้ายที่ต้องการแอบอ้างตนเองเป็นพระเมสสิยาห์ที่แท้จริง

ชื่อดัจญ์ญาลเป็นรากในภาษาอาหรับของคำว่า ดาญิล ซึ่งหมายถึง "แผ่นทอง" หรือ "ผ้าคลุมทอง" ซึ่งที่ได้มาจากคำหนึ่งที่มีความหมายว่า "ผสม"

ฮะดีษ

แก้

รายงานจาก ฮะดีษ ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่าอัลมะซีฮุดดัจญ์ญาลจะเป็นตัวสุดท้ายจากบรรดาดัจญ์ญาล หรือผู้อ้างตนเอง ทั้งสิบสามตน[3]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

หมายเหตุ: อ้างอิงไม่ตรงกับประโยคนี้ ตาข้างขวาของอัด-ดัจญ์ญาลบอด โดยที่ตาข้างนั้นโปนเหมือนองุ่น[4]

ตาข้างขวาของมันจะถูกทำลาย และตาข้างซ้ายของมันจะขึ้นอยู่ที่หน้าผากแล้วจะสว่างเหมือนดาว มีแต่ผู้ศรัทธาเท่านั้นที่จะอ่านคำว่า "กาฟิร [ผู้ปฏิเสธศรัทธา] ที่อยู่บนหน้าผากได้ จากนั้นจะมีควันที่สูงเท่าภูเขาที่ติดตามมันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผู้คนจะได้อาหารในภูเขาเหล่านี้ในช่วงหน้าแล้ง แม่น้ำทุกสายที่มันไปถึง จะเหือดแห้งหมด แล้วมันจะพูดกับผู้คนด้วยเสียงที่ดังว่า "โอ้เพื่อนของข้า มาหาข้าซิ! ข้าคือพระเจ้าที่สร้างขาของเจ้า และให้ปัจจัยยังชีพแก่เจ้า"[5]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

ถ้ามันมาขณะที่ฉันยังอยู่กับพวกท่าน ฉันจะเป็นคนที่จะโต้ตอบกับมันในนามของคุณ แต่ถ้ามันมาในตอนที่ฉันไม่ได้อยู่กับพวกท่านแล้ว ชายคนหนึ่งจะโต้ตอบกับมันในนามของเขาเอง...ใครก็ตามที่อยู่ในเวลานั้นให้อ่านอายะฮ์แรก [และสิบอายะฮ์สุดท้าย] ของซูเราะฮ์อัล–กะฮ์ฟี เพื่อปกป้องหายนะที่มาจากมัน. เราได้ถามว่า: มันจะอยู่บนโลกนานเท่าใด? ท่านได้กล่าวว่า: 40 วัน โดยวันแรกจะนานเป็นปี อีกวันจะนานเป็นเดือน ส่วนอีกวันจะนานเป็นสัปดาห์ และวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติ. เราได้ถามว่า: ศาสนทูตของอัลลอฮ์ การละหมาดในหนึ่งวันนี้จะอยู่เป็นปีได้หรือ? ท่านตอบว่า: ไม่ พวกท่านต้องหาเวลาละหมาดเอง. จากนั้นอีซาบุตรของมัรยัมจะลงมาที่หออะซานสีขาวทางตะวันออกของดามัสกัส ท่านจะตามมันไปที่กำแพงแห่งลุดด์แล้วฆ่ามัน[6]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

ความเจริญของเยรูซาเลมจะเกิดขึ้นเมื่อเมืองยัษริบถูกทิ้งร้าง เมืองยัษริบจะถูกทิ้งร้างเมื่อมีสงครามครั้งใหญ่ สงครามครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการยึดคอนสแตนติโนเปิล และการยึดคอนสแตนติโนเปิลจะเกิดขึ้นเมื่อดัจญ์ญาล (ศัตรูของพระคริสต์) ปรากฏตัว ท่าน (ศาสดา) ได้ตีขาหรือไหล่ของเขาด้วยมือของเขาและกล่าวว่า: นี่คือความจริงเหมือนตอนที่คุณอยู่ตรงนี้หรือกำลังนั่งอยู่ (หมายถึงมุอาซ อิบน์ ญะบัล)[7]

สัญญาณการมาของอัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล

แก้

ในฮะดีษได้บันทึกว่า ศาสดามุฮัมมัดได้บอกสัญญาณการมาของ ดัจญ์ญาล ที่จะเข้าเมืองทั่วโลกยกเว้นมักกะฮ์ และมะดีนะฮ์ และบอกให้ผู้คนติดตามศาสนาปลอมของมัน[8][9] ศาสดามุฮัมมัดได้กำชับทุกคนอ่านอายะฮ์แรก และสิบอายะฮ์สุดท้ายของซูเราะฮ์อัล-กะฮ์ฟี (ตอนที่ 18 ในอัลกุรอาน) เพื่อปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายที่มาจาก ดัจญ์ญาล.[5][10] สัญญาณที่อยู่ด้านล่างนี้ถูกกล่าวโดยอะลี:[5]

  • ผู้คนจะเลิกละหมาด
  • ความไม่ซื่อสัตย์จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
  • ความเท็จจะกลายเป็นคุณธรรม
  • ผู้คนจะขายศาสนาตนเองเพื่อความสุขของโลกนี้
  • ดอกเบื้ย และสินบนจะถูกกฎหมาย
  • จะมีทุกขภิกขภัยที่ร้ายแรงในเวลานั้น
  • จะไม่มีความอัปยศในหมู่คน
  • ผู้คนจะเริ่มบูชาซาตาน
  • จะไม่มีการให้เกียรติกับผู้ที่มีอายุมากกว่า
  • ผู้คนจะเริ่มฆ่ากันเองโดยไม่มีเหตุผล

สัญญาณการปรากฏตัว

แก้

สัญญาณที่อยู่ตรงนี้คือสัญญาณการปรากฏตัวของดัจญ์ญาลที่ปรากฏในฮะดีษส่วนใหญ่

  • ทะเลกาลิลีเริ่มเหือดแห้ง
  • เมื่อต้นปาล์ม-อินทผาลัมแห่งบัยซันหยุดออกผล[11]
  • การสักการะซาตานถือเป็นเรื่องปกติ
  • การยึดครองคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคืออิสตันบูล ประเทศตุรกี)[7]

สัญญาณหลังจากการปรากฏตัว

แก้
  • มันจะสร้างปาฏิหาริย์และสร้างทรัพยากรที่ให้ผลผลิต (วัตถุดิบ, อาหาร) จากพลังของมัน
  • มันจะเดินทางไปทั่วโลกยกเว้นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม (มักกะฮ์และมะดีนะฮ์)
  • มันจะบังคับกระแสน้ำไปตามคำสั่งของมัน และนำลมอ่อนๆ ผ่านทะเลแดง
  • มันจะเป็นที่รู้จักโดยผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม (มุสลิม)

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. The Continuum History of Apocalypticism, edited by Bernard McGinn et al, The Continuum International publishing group Inc., 15 East 26th Street, New York, NY 10010, Published 2003, ISBN 0-8264-1520-2, 677 pages, page 387.
  2. Wahiduddin Khan (2011). The Alarm of Doomsday. Goodword Books. p. 18.
  3. Hughes, Patrick T. (1996). A Dictionary of Islam. Laurier Books. p. 64. ISBN 9788120606722. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 พฤษภาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2012.
  4. Sahih al-Bukhari, 3:30:105
  5. 5.0 5.1 5.2 Bilgrami, Sayed Tahir (2005). "6". Essence of Life, A translation of Ain al-Hayat by Allama Mohammad Baqir Majlisi. Qum: Ansarian Publications. p. 104.
  6. Sunan Abi Dawud 4321, In-book reference: Book 39, Hadith 31, English translation: Book 38, Hadith 4307
  7. 7.0 7.1 Sunan Abi Dawud 4294, In-book reference: Book 39, Hadith 4, English translation: Book 38, Hadith 4281, Hasan
  8. Hamid, F.A. (2008). 'The Futuristic Thought of Ustaz Ashaari Muhammad of Malaysia', p. 209, in I. Abu-Rabi' (ed.) The Blackwell Companion to Contemporary Islamic Thought. Malden: Blackwell Publishing, pp.195-212
  9. "Book 29, Hadith - Book of Virtues of Madinah - Sahih al-Bukhari - Sunnah.com - Sayings and Teachings of Prophet Muhammad (صلى الله عليه و سلم)". sunnah.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กันยายน 2017. สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2017.
  10. Collected by Muslim ibn al-Hajjaj Nishapuri Sahih Muslim Sahih Muslim, 41:7007
  11. Sahih Muslim English reference: Book 41, Hadith 7028; Arabic reference: Book 55, Hadith 7573, "Archived copy". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 กรกฎาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2015.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้