มาร์เกอริตแห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Marguerite de France; ค.ศ. 1279 – 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1318)[1] เป็นพระราชินีแห่งอังกฤษในฐานะพระมเหสีคนที่สองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 พระองค์เป็นพระธิดาของพระเจ้าฟิลิปที่ 3 แห่งฝรั่งเศสกับพระราชินีมาเรียแห่งบราบงต์[2]

มาร์เกอริตแห่งฝรั่งเศส
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ
ดำรงพระยศ8 กันยายน ค.ศ. 1279 -
7 กรกฎาคม ค.ศ. 1307
ประสูติค.ศ. 1279
ปารีส, ฝรั่งเศส
สิ้นพระชนม์14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1318
ปราสาทมาร์โบโร, วิลต์เชียร์
คู่อภิเษกสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ
ราชวงศ์กาแปต์
พระบิดาพระเจ้าฟิลิปที่ 3 แห่งฝรั่งเศส
พระมารดามาเรียแห่งบราบงต์ พระราชินีแห่งฝรั่งเศส

ประวัติ

แก้

มาร์เกอริตแห่งฝรั่งเศสเสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1279 พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปที่ 3 แห่งฝรั่งเศสกับพระราชินีมาเรียแห่งบราบงต์ พระบิดาของมาร์เกอริตสิ้นพระชนม์ในตอนที่พระองค์พระชนมายุ 3 พรรษา พระองค์ถูกเลี้ยงดูโดยพระมารดากับพระราชินีโจแอนที่ 1 แห่งนาวาร์ พระมเหสีของพระเชษฐาร่วมบิดา พระเจ้าฟิลิปที่ 4

พระราชินี

แก้
 
ตราประทับของมาร์เกอริตในฐานะพระราชินี[3]

การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 พระราชินีเอเลนอร์แห่งกัสติยา ใน ค.ศ. 1290 ทิ้งให้พระองค์จมอยู่กับความเศร้า ทว่าเพื่อสร้างสันติภาพกับฝรั่งเศสที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดและทำให้พระองค์มีอิสระในการทำสงครามกับสกอตแลนด์ พระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียว เอ็ดเวิร์ดแห่งคาร์นาร์ฟอน เจ้าชายแห่งเวลส์ ยังทำให้พระองค์กังวลในความปลอดภัยของการสืบทอดบัลลังก์แห่งอังกฤษ

ในฤดูร้อนของ ค.ศ. 1291 กษัตริย์หมั้นหมายพระโอรสของพระองค์ เอ็ดเวิร์ด กับบล็องช์แห่งฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาสันติภาพกับฝรั่งเศส ต่อมาพระองค์เปลี่ยนพระทัยตัดสินใจอภิเษกสมรสกับบล็องช์เสียเองและส่งนักการทูตไปที่ราชสำนักของฝรั่งเศส พระเจ้าฟิลิปเห็นดีด้วยกับการอภิเษกสมรสโดยมีเงื่อนไขว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะยอมยกแกสโคนีให้ฝรั่งเศส พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดส่งพระอนุชา เอ็ดมุนด์หลังกางเขน เอิร์ลแห่งแลงคาสเตอร์ ไปรับตัวเจ้าสาวของพระองค์มาจากราชสำนักฝรั่งเศส พระองค์พบว่าบล็องช์ได้แต่งงานไปแล้วกับรูดอล์ฟที่ 3 แห่งฮับบวร์ก พระโอรสคนโตของพระเจ้าอัลเบิร์ตที่ 1 แห่งเยอรมนี พระเจ้าฟิลิปจึงเสนอพระขนิษฐาคนสุดท้องของพระองค์ มาร์เกอริต ที่ตอนนั้นพระชนมายุราว 11 พรรษา ให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแทน พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่โกรธเกรี้ยวประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและปฏิเสธที่จะอภิเษกสมรสกับมาร์เกอริต หลังจากนั้นห้าปี การสงบศึกชั่วคราวก็ได้รับการตกลงเมื่อเอ็ดเวิร์ดจะอภิเษกสมรสกับมาร์เกอริต ส่วนพระโอรสของพระองค์จะเสกสมรสกับอิซาเบลลาแห่งฝรั่งเศส พระราชบุตรคนสุดท้องของพระเจ้าฟิลิป ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะได้กีเยนน์คืนมาและได้รับเงิน 15,000 ปอนด์ เช่นเดียวกับการได้ที่ดินของพระราชินีเอเลนอร์แห่งกัสติยาในปงธิวและมงต์เทริลกลับคืนมา

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในตอนนั้นพระชนมายุ 60 พรรษา แก่กว่าเจ้าสาวของพระองค์ไม่น้อยกว่า 40 ปี พิธีอภิเษกสมรสของทั้งคู่เกิดขึ้นที่แคนเทอร์บรี เมื่อ 8 กันยายน ค.ศ. 1299 เพื่อเป็นของขวัญวันอภิเษกสมรส พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดมอบของขวัญให้พระองค์เป็นอัญมณีที่เคยเป็นของพระปัยกีของพระราชินีมาร์เกอริต บล็องช์แห่งกัสติยา พระราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 8, มงกุฎทองคำ, รัดเกล้าทองคำ และเข็มขัดทองคำ ที่ประดับตกแต่งด้วยหินมีค่า พระองค์ยังมอบที่ดินทั้งหมดที่เคยถือครองโดยพระราชินีเอเลนอร์แห่งกัสติยาให้พระองค์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดกับพระราชินีมาร์เกอริตเป็นพระญาติลำดับที่หนึ่งที่ห่างกันหนึ่งขั้นและมีบรรพบุรุษร่วมกันคือรามอน เบเรนเกร์ เคานต์แห่งโพรว็องซ์ กับภรรยา เบียทริซแห่งซาวอย พระอัยกาทางฝั่งบิดา (ย่า) ของพระราชินีมาร์เกอริต มาร์เกอริตแห่งโพรว็องซ์ พระราชินีแห่งฝรั่งเศส เป็นพระเชษฐภคินีของพระมารดาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด พระราชินีเอเลนอร์แห่งโพรว็องซ์

กษัตริย์กลับไปสกอตแลนด์เพื่อทำการสู้รบของพระองค์ต่อ พระราชินีมาร์เกอริต ที่ตั้งครรภ์หลังอภิเษกสมรสได้ไม่นานถูกทิ้งไว้ในลอนดอนแต่ตัดสินใจไปสมทบกับพระสวามีในสกอตแลนด์ ไม่ถึงหนึ่งปีหลังการอภิเษกสมรส พระราชินีมาร์เกอริตให้กำเนิดพระโอรส โธมัสแห่งบราเธอร์ตัน เอิร์ลแห่งนอร์โฟล์ก ที่ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญโธมัส เบ็คเก็ต ที่พระองค์สวดมนต์ขอพรในช่วงที่พระองค์ประสบกับความยากลำบาก ว่ากันว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดปลื้มปิติอย่างมากกับพระโอรสและสั่งทำเปลที่งดงามสองหลังให้ทารกน้อย และจ้างหญิงอังกฤษมาพยาบาลพระองค์ พระโอรสคนต่อมา เอ็ดมุนด์แห่งวู้ดสต็อก เอิร์ลแห่งเคนต์ ประสูติในปีต่อมา บุตรสาวของเอ็ดมุนด์ โจแอน ที่รู้จักกันในชื่อ "สาวน้อยผู้งดงามแห่งเคนต์" ต่อมาเสกสมรสกับพระโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายดำ

แม้จะมีข้อแตกต่างทางด้านอายุ แต่การอภิเษกสมรสเป็นการอภิเษกสมรสที่มีความสุข พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดกล่าวถึงพระราชินีมาร์เกอริตว่าทรงเป็น "ไข่มุกที่ล้ำค่า" ใน ค.ศ. 1305 พระราชินีมาร์เกอริตให้กำเนิดเด็กหญิง เอเลนอร์ ที่ตั้งชื่อตามพระราชินีคนแรกของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังสาวใน ค.ศ. 1310 พระราชินีมาร์เกอริตกับพระโอรสเลี้ยง เอ็ดเวิร์ดแห่งคาร์นาร์ฟอน อนาคตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ยังรักใคร่กันดีอีกด้วย ทั้งคู่มีพระชนมายุใกล้เคียงกัน เอ็ดเวิร์ดอ่อนกว่าพระองค์สองปี พระองค์เคยมอบของขวัญเป็นทับทิมราคาแพงกับแหวนทองคำให้พระราชินีมาร์เกอริต ใน ค.ศ. 1305 พระราชินีสาวทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างพระโอรสเลี้ยงกับพระสวามี กล่อมให้เอ็ดเวิร์ดคืนดีกับพระบิดาที่สูงวัย และทำให้ความโกรธเคืองของพระสวามีที่ฉุนเฉียวสงบลง เอ็ดเวิร์ดผู้ลูกเขียนจดหมายถึงพระองค์เมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 1305 แสดงความขอบคุณ "เราขอบคุณในความรักที่ท่านมีให้กับเราพอ ๆ กับปวดหัวในสิ่งที่ท่านต้องอดทนเพื่อเรา และในความประสงค์ดีที่ท่านทำให้เราซาบซิ้งใจ" จดหมายของเอ็ดเวิร์ดหลายฉบับเหลือรอดอยู่ มีแปดฉบับที่เขียนถึงพระราชินีมาร์เกอริต ซึ่งเรียกพระองค์ว่าเป็น "เลดี้และมารดาผู้เป็นที่รักยิ่งของข้า"

พระราชินีม่าย

แก้
 
ตราประจำพระองค์ของมาร์เกอริตแห่งฝรั่งเศสในฐานะพระราชินีแห่งอังกฤษ

ขณะกำลังขึ้นเหนือไปจัดการกับชาวสกอตอีกครั้ง พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ผู้ยิ่งใหญ่สิ้นพระชนม์ที่เบิร์กออนแซนด์, คัมเบอร์แลนด์ ด้วยพระชนมายุ 68 พรรษา เมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1307 พระราชินีมาร์เกอริตไม่เคยแต่งงานใหม่ แม้จะพระชนมายุเพียง 26 พรรษาในตอนที่เป็นม่าย พระราชินีมาร์เกอริตเข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 กับพระนัดดาของพระองค์ พระราชินีอิซาเบลลาแห่งฝรั่งเศส ในบูโลญ เมื่อ 25 มกราคม ค.ศ. 1308 ที่ซึ่งพระมารดาของพระองค์กับพระเชษฐาร่วมบิดา กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน พระองค์เกษียณตัวไปอยู่ที่ปราสาทมาร์โบโร บ้านที่เป็นมรดกตกทอดจากพระสวามีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่พระองค์ยังคงติดต่อกับพระราชินีและพระเชษฐาร่วมบิดา พระเจ้าฟิลิป เป็นที่รู้กันว่าพระองค์ได้ให้ความช่วยเหลือในตอนที่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อนาคตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ประสูติ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1312

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 มอบที่ดินที่เป็นมรดกตกทอดจากพระสวามีที่สิ้นพระชนม์ไปของพระองค์ให้เพียซ กาเวสตันหลายแห่ง รวมถึงปราสาทเบอร์เคมสเต็ด ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1308 ผู้แจ้งข่าวนิรนามรายงานว่าพระราชินีมาร์เกอริตจัดหาเงิน 40,000 ปอนด์พร้อมกับขอพระเชษฐา พระเจ้าฟิลิปที่ 4 ให้สนับสนุนเหล่าบารอนอังกฤษในการต่อสู้กับกาเวสตัน ผลลัพธ์คือกาเวสตันถูกเนรเทศเป็นเวลาสั้น ๆ

พระราชินีมาร์เกอริตสิ้นพระชนม์ที่ปราสาทมาร์โบโรในวิลต์เชียร์ เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1318 แต่งตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติของแม่ชีนิกายฟรานซิสกัน พระองค์ถูกฝังที่โบสถ์คริสต์เกรย์ไฟรยาร์สในลอนดอน หลุมฝังศพของพระองค์ถูกทำลายในช่วงการปฏิรูป

พระโอรสธิดา

แก้

พะราชินีมาร์เกอริตได้ให้กำเนิดพระโอรสธิดาสามคน[4]

  1. โธมัสแห่งบราเธอร์ตัน เอิร์ลที่ 1 แห่งนอร์โฟล์ก (1 มิถุนายน ค.ศ. 1300 - 4 สิงหาคม ค.ศ. 1338)[4]
  2. เอ็ดมุนด์แห่งวู้ดสต็อก เอิร์ลที่ 1 แห่งเคนต์ (5 สิงหาคม ค.ศ. 1301 - 19 มีนาคม ค.ศ. 1330)[4]
  3. เอเลนอร์แห่งอังกฤษ (4 พฤษภาคม ค.ศ. 1306 - ค.ศ. 1311)[4] สิ้นพระชนม์ที่แอมสบรีแอบบีย์ ถูกฝังที่บิวลีแอบบีย์

อ้างอิง

แก้
  1. Parsons 2004, p. ?.
  2. Stanton 2001, p. 219.
  3. Boutell 1863, p. 275.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 Prestwich 1988, p. 131.

แหล่งข้อมูล

แก้
  • Boutell, Charles (1863), A Manual of Heraldry, Historical and Popular, Winsor & Newton
  • Bradbury, Jim (2007). The Capetians, Kings of France 987–1328. Hambledon Continuum.
  • Crawford, Anne (2003). "Margaret of France (c.1277–1318)". ใน Hartley, Cathy (บ.ก.). A Historical Dictionary of British Women. Europa Publications.
  • Dodd, Gwilym; Musson, Anthony, บ.ก. (2006). The Reign of Edward II: New Perspectives. York Medieval Press.200
  • Parsons, John Carmi (2004). "Margaret (1279?–1318)". Oxford Dictionary of National Biography (Online ed.). Oxford, UK: Oxford University Press. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  • Prestwich, Michael (1988). Edward I. University of California Press.
  • Stanton, Anne Rudloff (2001). The Queen Mary Psalter: A Study of Affect and Audience. Vol. 91 Part 6. American Philosophical Society.
  • Williamson, David (1986). Kings and Queens of Britain. Topsfield, MA: Salem House Publ. ISBN 0-88162-213-3.