อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ (อาหรับ: محمد حسين فضل الله‎; 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 — 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553[2]) ในเมืองนะญัฟ ประเทศอิรัก ตระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาจากนบีมุฮัมมัด บิดาของท่านได้อพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เพื่อศึกษาหาความรู้ศาสนา ในสถาบันการศึกษาต่างๆ จนได้กลายเป็นผู้รู้ท่านหนึ่ง อันเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้น อายะตุลลอหฺ ฟัฎลุลลอหฺ จึงได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาอย่างดีและเติบโตในครอบครัวที่มีเกียรติ มีนิสัยใจคอเป็นที่รักมักใคร่ของคนข้างเคียง

ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุซัยน์ ฟัฎลุลลอหฺ
السيد محمد حسين فضل الله
ชื่ออื่นอาหรับ: السيد محمد حسين فضل الله
ส่วนบุคคล
เกิด16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935(1935-11-16)
มรณภาพ4 กรกฎาคม ค.ศ. 2010(2010-07-04) (74 ปี)[1]
เบรุต, ประเทศเลบานอน
ศาสนาชีอะฮ์สิบสองอิมาม ชีอะฮ์
ชื่ออื่นอาหรับ: السيد محمد حسين فضل الله
ตำแหน่งชั้นสูง
ที่อยู่เบรุต, ประเทศเลบานอน
ช่วงที่ดำรงตำแหน่ง1989-2010
ตำแหน่งGrand Shia cleric
เว็บไซต์bayynat.org.lb (อาหรับ, ฝรั่งเศส, อังกฤษ)
bayynat.ir (เปอร์เซ๊ย, อุรดู)

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ ได้ศึกษาหาความรู้ ความอัจฉริยะของท่านได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ท่านได้เริ่มอ่านตำราไวยากรณ์ อัลอัจญ์รูมียะห์ และตำราไวยากรณ์กอฏรุ อันนะดา ตั้งแต่ยังอายุเก้าขวบ ถึงแม้ท่านจะมุ่งหน้าศึกษาทางวิชาการศาสนาในสำนักการศึกษาแบบเฮาซะห์ แต่หนังสือที่ท่านชอบอ่านก็คือหนังสือวารสารทั่วไป โดยเฉพาะที่พิมพ์ในอิยิปต์ และชอบติดตามข่าวและเหตุการณ์โลก แต่สิ่งที่ท่านทำเป็นประจำตั้งแต่อายุสิบขวบก็คือการแต่งบทกวี

อาจารย์ท่านแรกของท่านก็คือบิดาที่รักของท่านเอง คือท่านซัยยิด อับดุลร่ออูฟ ฟัฎลุลลอหฺ ท่านได้ศึกษาวิทยาการศาสนาตั้งแต่ต้น จนถึงอุดมศึกษาที่เรียกว่า สุฏูฮฺ ต่อมาก็ศึกษาวิชาไวยากรณ์ภาษาอาหรับ ภาษาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ รากฐานนิติศาสตร์ และนิติศาสตร์อิสลาม ต่อมาได้ไปศึกษากับอาจารย์ชาวอิหร่านชื่อ เชค มุจญ์ตะบา อัลนักรอนี หลังจากนั้นจึงศึกษาศาสนาระดับอุดมศึกษาชั้นสูง ซึ่งเป็นการศึกษาระดับสูงสุดที่เรียกว่า บะฮัษ อัลคอริจญ์ ซึ่งมีเหล่าอายะตุลลอหฺ และบรรดามุจตะฮิจ เป็นอาจารย์ หนึ่งในอาจารย์ของท่านก็คือ อายะตุลลอหฺ อัลคูอีย์ ผู้ลือนาม อายะตุลลอหฺ มุฮฺซิน อัลฮะกีม อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด อัชชะหัรวัรดีย์ อายะตุลลอหฺฮุเซน อัลฮิลลีย์ นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาวิชาปรัชญา จากตำรา อัลอัซฟาร อัลอัรบะอะหฺ ของท่านมุลลา ศอดรอ อัชชีรอซีย์ โดยมีท่านศอดรอ อัลบาดิกูบีย์ เป็นอาจารย์

ในช่วงที่ท่านยังศึกษาอยู่นั้น ท่านได้มีส่วนร่วมในการจัดการตีพิมพ์วารสาร อัลอัฎวาอ์ ที่ตีพิมพ์ในนะญัฟ

หลังจากที่ท่านจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2495 ท่านได้กลับไปเยี่ยมประเทศเลบานอน หนังสือพิมพ์เลบานอนได้เริ่มรู้จักท่าน เมื่อท่านได้กล่าวบทกวีไว้อาลัยที่แหวกแนวในพิธีอัรบะอีน รำลึกสี่สิบวันหลังการเสียชีวิตของอายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด มุฮฺซิน อัลอะมีน ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 ท่านได้รับเชิญให้เดินทางกลับไปอาศัยอยู่ในเลบานอน เพื่อเป็นอาจารย์สอนประชาชนในเบรูตตะวันออก

ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตใจของชาวเลบานอน และประชาชนประเทศใกล้เคียง ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อฟื้นฟูสังคม โดยเน้นเรื่องการศึกษาเป็นหลัก ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ได้เปิดโรงเรียนและสถาบันการศึกษา 22 ที่ ในท้องถิ่นต่างๆ และยังมีสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่ศาสนาอีกด้วย นอกจากนี้ ท่านยังได้ใช้เวลาที่เหลือประพันธ์หนังสือรวมแล้วประมาณ 50 เล่ม หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานซึ่งมีความหนาถึง 24 เล่ม

ท่านเป็นหนึ่งในผู้นำไม่กี่คนที่เน้นการศึกษาแบบทันสมัย สนับสนุนความสามัคคีระหว่างมุสลิมทุกมัซฮับ จึงไม่น่าแปลกใจ หากเราได้เห็นผู้ที่เข้ามาศึกษากับท่านนั้น ไม่ได้นับถือมัซฮับของท่าน ท่านเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามในอิรัก พร้อมกับอายะตุลลอหฺ บากิร อัศศอดัร ในช่วงต้นของคริสต์ทศวรรษ 1970 ท่านได้ร่วมในการปฏิวัติอิหร่าน ท่านได้เป็นหนึ่งในผู้นำการขบวนการอิสลามในเลบานอน เพื่อต่อต้านการรุกรานของอิสราเอล ผลที่ตามมาก็คือ ขบวนการซีไอเอได้พยายามลอบสังหาร (ยอมรับโดยวิลเลี่ยม เคซีย์ ประธาน ซีไอเอ) โดยการบรรจุระเบิดในรถ แล้วนำมาจอดใกล้บ้านท่าน ทำให้มีผู้คนเสียชีวิต 80 คน และบาดเจ็บสาหัสอีกประมาณ 200 คน แต่ท่านรอดพ้นจากระเบิดนี้อย่างหวุดหวิด เพราะท่านกลับมาถึงบ้านช้าเพียงไม่กี่นาที นอกจากนี้ท่านยังถูกหน่วยจารกรรมของประเทศอาหรับลอบทำร้ายอีก 3 ครั้ง แต่ท่านก็รอดพ้นไปทุกครั้ง ครั้งที่สามนั้นเป็นขีปนาวุธที่ตกลงมาในห้องนอนของท่านก่อนละหมาดซุบฮิ ส่วนหน่วยจารกรรมอิสราเอลก็ได้เข้าทำร้ายท่านในมัสยิดบิรุลอับดิ แต่ท่านก็รอดไปได้อย่างเหลือเชื่อ และอีกหลายครั้งที่อิสราเอลส่งขีปนาวุธลงมาบนบ้านของท่าน จนกระทั่งบุตรของท่านคนหนึ่งในบ้านถูกขีปนาวุธนี้

อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ ผู้อาจหาญเสี่ยงภัย เดินทางไปมาระหว่างซีเรียและเลบานอน ทุก ๆ สัปดาห์

ท่านได้เดินทางไปประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย อิหร่าน อัลจีเรีย และอื่น ๆ เพื่อพบปะและเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ท่านมีประสบการณ์กว้างขวาง ทุกคำพูดและทุกวาจาของท่านมีค่า ใครที่ได้เข้าไปพบเห็นท่านจะรู้สึกรักและชอบท่านทันที นั้นก็เพราะความสุภาพอ่อนโยนของท่าน ผู้คนที่เข้ามาเรียนกับท่าน มาพบปะท่าน มาถามปัญหาศาสนา ต่าง ๆ นานา วันละ 14 - 15 ชั่วโมง ทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลาสำหรับส่วนตัวเลย ผู้คนต่างสงสัยว่าท่านยังมีเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือพิมพ์จนทันกับเหตุการณ์โลก ดวงตาที่อ่อนเพลียทำให้เรารู้ได้ว่า บุคคลคนนี้นอนน้อย แต่ท่านก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว

อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ เป็นมัรญิอฺที่มีชื่อท่านหนึ่ง รองจาก ท่านอายะตุลลอหฺ ซีซตานีย์ อายะตุลลอหฺ อัชชีรอซีย์ และ อายะตุลลอหฺ คอเมเนอีย์

อ้างอิง แก้

  1. "Reuters". Reuters. 4 July 2010. สืบค้นเมื่อ 7 July 2010.
  2. "Reuters". Reuters. สืบค้นเมื่อ 2010-07-07.