พระนางปิยราชเทวี
พระนางปิยราชเทวี (พม่า: ပီယရာဇဒေဝီ, ออกเสียง: [pìja̰ jàzà dèwì]; บาลี: Piyarājadevī; ป. คริสต์ทศวรรษ 1360 – ป. เมษายน 1392) พระนามเดิม เม้ยมะนิก (มอญ: မွေ့ မနိတ်; Mwei Maneit เมฺว มะนิ แปลว่า "แม่มณี") เป็นพระอัครมเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าราชาธิราช กษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งอาณาจักรหงสาวดี ระหว่าง ค.ศ. 1384 ถึง 1392 ได้รับการสถาปนาเป็นพระอัครมเหสีเมื่อ ค.ศ. 1390 ภายหลังตะละแม่ท้าว พระอัครมเหสีพระองค์แรกปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยความน้อยพระทัย
พระนางปิยราชเทวี ပီယရာဇာဒေဝီ | |
---|---|
![]() "เม้ยมะนิก" โดยเหม เวชกร, ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) | |
อัครมเหสีแห่งหงสาวดี | |
ดำรงพระยศ | 5 มกราคม ค.ศ. 1384 – ป. เมษายน ค.ศ. 1392 |
ก่อนหน้า | นางอำเตียว |
ถัดไป | ราชเทวี |
ประสูติ | ป. คริสต์ทศวรรษ 1360 |
สวรรคต | ป. เมษายน ค.ศ. 1392 เดือนกะโซน มรันมาศักราช 754 พะโค |
คู่อภิเษก | มะจัดสุด (?–1383) พระเจ้าราชาธิราช (1383–92) |
พระราชบุตร | ไม่มีรายงาน |
ราชวงศ์ | อาณาจักรหงสาวดี |
ศาสนา | พุทธเถรวาท |
พระประวัติ
แก้พงศาวดาร ราชาธิราช ระบุว่า พระนางเคยเป็นสามัญชนนาม เม้ยมะนิก (မွေ့ မနိတ်; "แม่มณี")[note 1] พระนางเป็นคนขายดอกไม้ (หรือคนขายน้ำมันปรุงอาหาร)[note 2] พระนางสมรสกับมะจัดสุด (มีอีกนามว่า Ma Aung Sut)[1] เช้าวันหนึ่งเมื่อ ป. เดือนพฤษภาคม/มิถุนายน ค.ศ. 1383[note 3] เจ้าชายพญาน้อยผู้เริ่มก่อกบฏต่อพระยาอู่ พระราชบิดา ทอดพระเนตรเห็นพระนางที่นอกเมืองดากอน เจ้าชายลุ่มหลงในความงามของเม้ยมะนิกและจับตัวพระนางไป สามีของพระนางจึงหนีไปพะโค และรายงานข่าวแก่พระมหาเทวี พระปิตุจฉาและพระราชมารดาบุญธรรมของเจ้าชาย[2] ไม่เพียงแค่พระสวามีเท่านั้นที่ตอบสนองต่อข่าวนี้อย่างไม่สู้ดี ตะละแม่ท้าว พระมเหสีองค์แรกของเจ้าชายพญาน้อยผู้พึ่งให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรกนามพ่อลาวแก่นท้าว ก็เจ็บพระทัยอย่างมาก[2]
อย่างไรก็ตาม เม้ยมะนิกกลายเป็นพระมเหสีของเจ้าชายกบฏในต่างแดน ประมาณเจ็ดเดือนต่อมา พระนางกลายเป็นอัครมเหสีแห่งอาณาจักรหงสาวดี ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1384 พระยาอู่สวรรคต สองวันต่อมา ราชสำนักยอมรับให้พญาน้อย พระราชโอรสกบฏผู้เสด็จกลับพะโค ขึ้นเป็นกษัตริย์ สามัญชนไม่ใช่ตัวเลือกแรกในการเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าราชาธิราช พระองค์จึงร้องขอพบตะละแม่ท้าวที่มาจากเชื้อพระวงศ์ แต่พระนางปฏิเสธที่จะพบพระองค์[3] เพื่อตอบสนองต่อสิ่งนี้ พญาน้อยจัดพิธีราชาภิเษกในวันถัดไป (5 มกราคม ค.ศ. 1384)[note 4] โดยมีเม้ยมะนิกเป็นอัครมเหสี พระองค์ถือตำแหน่ง "ราชาธิราช" และพระราชทานเม้ยมะนิกด้วยตำแหน่ง "ปิยราชเทวี"[4]
ความสัมพันธ์กับพระมเหสีองค์แรกไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกเลย และพระนางปิยราชเทวียังคงเป็นอัครมเหสี ตำแหน่งของพระนางได้รับการยืนยันอีกครั้งใน ค.ศ. 1390 โดยในปีนั้น พระเจ้าราชาธิราชได้จัดพิธีราชาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งเพื่อรำลึกถึงความสำเร็จของพระองค์ในการรวมภูมิภาคที่พูดภาษามอญ 3 แห่งเป็นหนึ่งอีกครั้ง พระองค์ให้พระนางปิยราชเทวีอยู่เคียงข้างในฐานะอัครมเหสีในพิธี ตะละแม่ท้าวรู้สึกเสียพระทัยอีกครั้ง การโต้เถียงระหว่างทั้งสองทวีความรุนแรงขึ้น กษัตริย์ทรงยึดมรดกตกทอดของครอบครัวจากตะละแม่ท้าว (ธำมรงค์สิบสองวงที่พระยาอู่ พระราชบิดา พระราชทานให้) และมอบให้กับพระนางปิยราชเทวี[5] ด้วยความขมขื่นและอกหัก ตะละแม่ท้าวจึงทำการอัตวินิบาตกรรม[5][6] จากนั้นพระเจ้าราชาธิราชทรงสั่งให้ประหารชีวิตพ่อลาวแก่นท้าว พระราชโอรสองค์เดียวจากพระนาง เนื่องจากพระองค์เกรงว่าพระราชโอรสในวัยหนุ่มภายหลังอาจแก้แค้นแทนพระราชมารดา[7] ตามตำนานระบุว่า พ่อลาวแก่นท้าวก่อนสวรรคตสาบานว่าจะกลับมาเกิดใหม่เป็นเจ้าชายแห่งอังวะ และกลับชาติมาเกิดเป็นมังรายกะยอฉะวาแห่งอังวะ ผู้ภายหลังกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระเจ้าราชาธิราช[8][9]
พระนางปิยราชเทวีสิ้นพระชนม์ ป. เมษายน ค.ศ. 1392 (หรือ 1393)[note 5] พงศาวดารไม่ได้รายงานว่าพระนางมีพระราชโอรสธิดาหรือไม่ ราชเทวี เม้ยโอนนอง (Mwei Ohn-Naung) ขึ้นดำรงตำแหน่งอัครมเหสีต่อจากพระนาง[10]
หมายเหตุ
แก้- ↑ (Pan Hla 2005: 103, footnote 3) : เม้ยมะนิกเป็นพระนามในภาษามอญที่แปลเป็นภาษาพม่าว่า Me Padamya (မယ် ပတ္တမြား, "Miss Ruby")
- ↑ (Pan Hla 2005: 103, footnote 3) : คนขายดอกไม้ตามราชาธิราช แต่พงศาวดารมอญฉบับปากลัด ระบุว่าขายน้ำมันปรุงอาหาร
- ↑ (Pan Hla 2005: 94) : ราชาธิราชเสด็จออกจากเมืองหลวงพะโคไปยังดากอนเพื่อก่อกบฏในวันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือนนะโยน เมียนมาศักราช 745 (วันจันทร์ ที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1383) พระองค์พบกับเม้ยมะนิกหลังเสด็จไปถึงดากอนไม่นาน
- ↑ พงศาวดารราชาธิราช (Pan Hla 2005: 158) ระบุว่าพระนางกลายเป็นพระมเหสีในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือนดะโบ่-ดแว เมียนมาศักราช 745 ซึ่งแปลงได้เป็น วันพฤหัสบดี ที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1383 แต่ขึ้น 1 ค่ำเป็นความผิดพลาดทางการเขียน ตามพงศาวดารฉบับภาษาพม่า (Pan Hla 2005: 356, footnote 1) ราชาธิราชขึ้นครองราชย์ในวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือนดะโบ่-ดแว เมียนมาศักราช 745 (วันจันทร์ที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1384) นั่นหมายความว่าพระนางกลายเป็นพระมเหสีในวันอังคาร ขึ้น 13 ค่ำ เดือนดะโบ่-ดแว เมียนมาศักราช 745 (5 มกราคม ค.ศ. 1384)
- ↑ พงศาวดารราชาธิราช เสนอแนะว่าพระนางสิ้นพระชนม์ ป. เมษายน ค.ศ. 1393 (เดือนกะโซน, เมียนมาศักราช 755) แต่วันที่นั้นขัดแย้งกับรายงานในราชพงศาวดารมาตรฐาน ราชาธิราช (Pan Hla 2005: 203) ระบุว่าพระนางสิ้นพระชนม์หลังกองทัพอังวะถอยกลับจากชายแดนสารวดี และพระเจ้าราชาธิราชยก เม้ยโอนนอง (မွေ့ အုန်နောင်) เป็นอัครมเหสีในเดือนกะโซนปีนั้น โดยไม่ได้ระบุปีเป็นการเจาะจง ปีที่ผ่านมาในพงศาวดารมีการกล่าวถึงใน (Pan Hla 2005: 197) ซึ่งระบุว่ากองทัพอังวะเดินทัพลงใต้เพื่อยึดคืน Gu-Htut (ဂူထွတ်) ในปีเมียนมาศักราช 754 (29 มีนาคม ค.ศ. 1392 ถึง 28 มีนาคม ค.ศ. 1393) และหลังการทัพฤดูแล้ง กองทัพจึงล่าถอยจากสารวดี บันทึกรายงาน (Pan Hla 2005: 197–203) เสนอแนะว่าเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ ก็เข้าปีใหม่แล้ว (เนื่องจากพระองค์ยกมเหสีองค์ถัดไปในเดือนกะโซน) แต่เส้นเวลาของการเล่าเรื่องนั้นไม่สอดคล้องกับพงศาวดารมาตรฐาน รายงานจาก (Maha Yazawin Vol. 1 2006: 301–303) และ (Hmannan Vol. 1 2003: 429–432) กองทัพอังวะเดินทัพลงใต้เพื่อเข้ายึด Gu Htut คืนในปีเมียนมาศักราช 752 (1390/91) และไปที่สารวดีในฤดูแล้งของปีเมียนมาศักราช 753 (1391/92) และออกจากชายแดนในหรือก่อนปีเมียนมาศักราช 754 พงศาวดารมาตรฐานรายงานว่า ในฤดูแล้งของปีเมียนมาศักราช 754 (1392–93) อังวะทำสงครามกับโม่ญี่นตอนเหนือ ไม่ใช่ทางใต้ นั่นหมายความว่า ถ้าพระนางปิยราชเทวีสิ้นพระชนม์หลังกองทัพอังวะถอยทัพตามที่ราชาธิราช เสนอแนะไว้ พระนางน่าจะสิ้นพระชนม์ในก่อนหน้า นั่นคือในหรือก่อนเดือนกะโซน เมียนมาศักราช 754 (23 มีนาคม ถึง 21 เมษายน ค.ศ. 1392)
อ้างอิง
แก้บรรณานุกรม
แก้- Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Pan Hla, Nai (2005) [1968]. Razadarit Ayedawbon (ภาษาพม่า) (8th printing ed.). Yangon: Armanthit Sarpay.