บีเอ็มดับเบิลยู

BMW (เยอรมัน: เบเอ็มเว, อังกฤษ: บีเอ็มดับเบิลยู) หรือ Bayerische Motoren Werke เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมนี บริษัทก่อตั้งในปีค.ศ. 1916 เมื่อแรกก่อตั้งเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

บีเอ็มดับเบิลยู
Bayerische Motoren Werke AG
ประเภทบริษัทมหาชนจำกัด
การซื้อขาย
FWB: BMW
DAX Component
ISINDE0005190003 Edit this on Wikidata
อุตสาหกรรมยานยนต์
ก่อตั้ง7 มีนาคม 1916; 108 ปีก่อน (1916-03-07)
ผู้ก่อตั้งGustav Otto Edit this on Wikidata
สำนักงานใหญ่
พื้นที่ให้บริการทั่วโลก
ผลิตภัณฑ์รถยนต์, จักรยานยนต์
ผลผลิตเพิ่มขึ้น รถยนต์ 2,521,514 คัน (2021)
เพิ่มขึ้น จักรยานยนต์ 194,261 คัน (2021)
ตราสินค้า
รายได้เพิ่มขึ้น 10.4210 หมื่นล้านยูโร (2019)[1]
รายได้จากการดำเนินงาน
ลดลง 7.412 พันล้านยูโร (2019)[1]
รายได้สุทธิ
ลดลง 5.022 พันล้านยูโร (2019)[1]
สินทรัพย์เพิ่มขึ้น 2.28034 แสนล้านยูโร (2019)[1]
ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 5.9907 หมื่นล้านยูโร (2019)[1]
เจ้าของPublic float (50%) ;
Stefan Quandt (29%),
Susanne Klatten (21%)
พนักงาน
133,778 คน (2019)[1]
เว็บไซต์bmwgroup.com

บริษัทเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 12 ของโลก รับผิดชอบแบรนด์รถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และโรลส์-รอยซ์ รวมถึงแบรนด์รถจักรยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในนครมิวนิก รัฐบาวาเรีย และมีฐานการผลิตมากกว่า 30 แห่งทั่วโลก

ประวัติ

แก้

ค.ศ. 1916 - ต้นกำเนิดของบีเอ็มดับเบิลยู

บีเอ็มดับเบิลยูสามารถสืบย้อนประวัติกลับไปถึง Karl Rapp และ Gustav Otto ในปี ค.ศ. 1916 บริษัท Flugmaschinenfabrik Gustav Otto ได้ควบรวมกิจการกับ Bayerische Flugzeug-Werke AG (BFW) ตามคำสั่งของรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1917 บริษัท Rapp Motorenwerke ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Bayerische Motoren Werke GmbH (BMW) และถูกแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี ค.ศ. 1918 ต่อมา บีเอ็มดับเบิลยู เอจี (BMW AG) ได้โอนกิจการการผลิตเครื่องยนต์ รวมถึงชื่อบริษัทและแบรนด์ ไปยัง BFW ในปี ค.ศ. 1922 ดังนั้น วันที่ 7 มีนาคม 1916 ซึ่งเป็นวันก่อตั้ง BFW จึงถือเป็นวันก่อตั้งของ Bayerische Motoren Werke AG ในประวัติศาสตร์

ค.ศ. 1917 - สัญลักษณ์บีเอ็มดับเบิลยู

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของบริษัทต่างประดับด้วยสัญลักษณ์บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งรวมถึงสีของรัฐบาวาเรีย ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 สัญลักษณ์นี้ได้ปรากฏในการโฆษณาของบริษัทครั้งแรกในรูปแบบใบพัดหมุน ซึ่งถูกตีความใหม่หลายครั้งตั้งแต่นั้นมา

ค.ศ. 1922 - การย้ายโรงงานไปที่มิวนิก

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง บีเอ็มดับเบิลยูได้ผลิตเบรกสำหรับรถไฟและเครื่องยนต์สำหรับเรือและพาหนะอื่น เนื่องจากถูกห้ามผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน หลังจากขายบริษัทให้กับ Knorr Bremse AG ในปี ค.ศ. 1920 นักการเงินชื่อ Camillo Castiglioni ได้ซื้อกิจการผลิตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งแรงงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิต รวมถึงชื่อบริษัทและโลโก้สีฟ้าขาว จากนั้นเขาได้โอนทุกอย่างไปยัง "Bayerische Flugzeuge-Werke AG" (BFW) ในปีเดียวกันนั้น บริษัทได้ย้ายไปยังโรงงานผลิตของ BFW ที่สนามบิน Oberwiesenfeld ในมิวนิก ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นที่ตั้งของโรงงานหลักและสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (BMW Group)

ค.ศ. 1923 - ฺBMW R 32 (รถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นแรก)[2]

เรื่องราวความสำเร็จของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มต้นที่งานแสดงยานยนต์เบอร์ลินในปี ค.ศ. 1923 เมื่อผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินได้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรก BMW R 32 คุณภาพของเครื่องยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ทุกชิ้นส่วนที่คาดว่าต้องซ่อมบำรุงถูกหุ้มไว้ และเพลาไดรฟ์สามารถดูแลรักษาได้ง่ายกว่าสายพานหรือโซ่มาตรฐาน เครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ ที่มีลูกสูบติดตั้งในแนวขวางกับทิศทางการเคลื่อนที่ ยังคงเป็นลักษณะเด่นของรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูจนถึงทุกวันนี้ ควบคู่ไปกับเพลากลาง การออกแบบโดยรวมที่ประสบความสำเร็จของ R 32 ถูกสร้างขึ้นโดย Max Friz และถือเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ของรถมอเตอร์ไซค์

ค.ศ. 1928 - การก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์

บีเอ็มดับเบิลยูก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในปี ค.ศ. 1928 โดยการซื้อบริษัท Fahrzeugfabrik Eisenach จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น รถบีเอ็มดับเบิลยูทุกคันถูกผลิตที่โรงงานแห่งนี้ในเขต Thuringia ของเยอรมนี รถขนาดเล็กคันแรกของบีเอ็มดับเบิลยูถูกสร้างขึ้นภายใต้สัญญาจาก Austin Motor Company ในปี ค.ศ. 1929 แต่ถูกแทนที่ด้วยการออกแบบของบริษัทเองในปี ค.ศ. 1932

ค.ศ. 1933 - บีเอ็มดับเบิลยูในยุคสงคราม

ในยุคนาซี บีเอ็มดับเบิลยูได้เปลี่ยนแปลงจากบริษัทที่ให้บริการด้านการเดินทางไปสู่การเป็นบริษัทอาวุธ และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่สำคัญที่สุดในเศรษฐกิจสงครามของเยอรมนี การผลิตรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ยังคงดำเนินต่อไป แต่สายธุรกิจเครื่องยนต์เครื่องบินมีส่วนสำคัญในยอดขายของบริษัท มีการสร้างโรงงานใหม่และเพิ่มการผลิตอย่างมากเพื่อตอบสนองความต้องการอาวุธ

ค.ศ. 1934 - จุดเริ่มต้นการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 การผลิตเครื่องบินในเยอรมนีได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างมากจากรัฐบาล ในปี ค.ศ. 1934 บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ได้แยกสายการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินไปสู่บริษัท BMW Flugmotorenbau GmbH สองปีต่อมา Flugmotorenfabrik Eisenach GmbH ได้รับการจัดตั้งขึ้นร่วมกันระหว่างบริษัทมหาชน (AG) และบริษัทเอกชน (GmbH) และตัวอักษร BMW ถูกเพิ่มเข้าไปในชื่อบริษัทในปี ค.ศ. 1939

ค.ศ. 1936 - การขยายธุรกิจผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินในระดับอุตสาหกรรม

บีเอ็มดับเบิลยู เอจี และ BMW Flugmotorenbau GmbH ได้ก่อตั้ง Flugmotorenfabrik Allach GmbH ขึ้น หนึ่งปีต่อมา ทั้งสองบริษัทได้โอนหุ้นให้กับ Luftfahrtkontor GmbH Berlin ซึ่งสนับสนุนโรงงาน บีเอ็มดับเบิลยู Allach ใกล้เมืองมิวนิกอย่างลับ ๆ ด้วยเงินทุนของรัฐบาล ภายในปี ค.ศ. 1941 โรงงานนี้ได้ขยายตัวอย่างมากเพื่อการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินในระดับอุตสาหกรรม

ค.ศ. 1945 - ธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยูหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารพันธมิตรได้ยึดและครอบครองโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู เนื่องจาก บีเอ็มดับเบิลยูถูกจัดประเภทว่าเป็นบริษัทผลิตอาวุธ เครื่องจักรและเครื่องมือถูกถอดออก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา การผลิตสินค้าทดแทนชั่วคราว ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน ได้เริ่มต้นขึ้นที่ Milbertshofen เช่นเดียวกับที่โรงงานในเบอร์ลิน

ค.ศ. 1945 - โรงงานที่เมืองมิวนิคถูกสั่งให้รื้อถอน

ในเดือนตุลาคม 1945 รัฐบาลทหารสหรัฐฯ ได้สั่งให้รื้อถอนโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูในมิวนิกและ Allach นั่นหมายความว่า บีเอ็มดับเบิลยูสูญเสียอำนาจในการควบคุมทรัพย์สินของตนจนถึงปี ค.ศ. 1949 ในกรณีของ Allach การสูญเสียอำนาจนี้คงอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1955 เครื่องจักรที่ยังคงใช้งานได้จำนวนมากจากโรงงาน Munich-Milbertshofen ถูกถอดออกและส่งออกไปทั่วโลกเป็นการชดเชยความเสียหาย

ค.ศ. 1948 - BMW R 24 (รถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูที่ประสบความสำเร็จ)

รถคันแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่ออกสู่ถนนหลังปี ค.ศ. 1945 คือรถมอเตอร์ไซค์รุ่น R 24 ซึ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคม 1948 เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงจาก R 23 ที่ผลิตก่อนเกิดสงคราม เนื่องด้วยขาดแคลนวัสดุและเครื่องจักร ทำให้การผลิตล่าช้าจนถึงเดือนธันวาคม 1948 แต่ยอดขายของ R 24 เกินความคาดหมายอย่างมาก โดยในปี ค.ศ. 1949 เพียงปีเดียวขายได้ถึง 9,144 คัน

ค.ศ. 1951 - BMW 501 (รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันแรกหลังสงคราม)

รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันแรกหลังสงครามคือรุ่น 501 ที่เริ่มผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 เป็นรถซีดานขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้ถึงหกคน โดยใช้เครื่องยนต์หกสูบที่ปรับปรุงจากรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 326 ที่ผลิตก่อนเกิดสงคราม แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่บีเอ็มดับเบิลยู 501 ก็ได้ฟื้นฟูภาพลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูในฐานะผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพสูงและน่าตื่นเต้นทางเทคนิค

ค.ศ. 1959 - บีเอ็มดับเบิลยูรอดจากการถูกซื้อกิจการ

ในทศวรรษที่ 1950 สถานะการเงินของบีเอ็มดับเบิลยูเริ่มประสบปัญหาอย่างมาก ในปลายปี ค.ศ. 1959 Daimler-Benz ได้ยื่นข้อเสนอปรับโครงสร้างบีเอ็มดับเบิลยู แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยและพนักงานคัดค้านข้อเสนอนี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีวันที่ 9 ธันวาคม ความมุ่งมั่นของพวกเขาและความเชื่อมั่นในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 700 กระตุ้นให้ Herbert Quandt ขยายการถือหุ้นของตน รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนทางการเงินชั่วคราว บีเอ็มดับเบิลยูจึงได้รับการปรับโครงสร้างภายใต้การบริหารของ Quandt ในปีต่อมา[3]

ค.ศ. 1961 - BMW 1500 ที่มากับโครงสร้างใหม่ New Class

บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัวรุ่น 1500 ในงานแสดงรถยนต์แฟรงค์เฟิร์ตในปี ค.ศ. 1961 ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ฟื้นฟูบีเอ็มดับเบิลยูให้กลับมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จและทันสมัยอีกครั้ง รถซีดานขนาดกลางที่มีสี่ประตูรุ่นนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และยอดสั่งซื้อนั้นมากเกินกว่าความสามารถในการผลิต

ค.ศ. 1967 - โรงงานใหม่ที่เมือง Dingolfing

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่มิวนิกถึงขีดจำกัดความสามารถในการผลิต บีเอ็มดับเบิลยูเริ่มวางแผนสร้างโรงงานใหม่ แต่สุดท้ายก็ได้ซื้อบริษัทผลิตยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหาคือ Hans Glas GmbH พร้อมกับโรงงานใน Dingolfing และ Landshut ทั้งสองไซต์ได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ และในช่วงหลายทศวรรษถัดมา โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่ Dingolfing กลายเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู

ค.ศ. 1969 - การย้ายฐานการผลิตรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูไปที่เมือง Berlin

บีเอ็มดับเบิลยูจำเป็นต้องใช้พื้นที่มากขึ้นที่โรงงานในมิวนิก เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการผลิตรถยนต์ ในปี ค.ศ. 1969 การผลิตรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูถูกย้ายไปที่เบอร์ลิน-สปันเดา ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัวรุ่นใหม่หลายรุ่น โดยซีรีส์ 5 เป็นมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่ผลิตขึ้นอย่างสมบูรณ์ในโรงงานเบอร์ลิน-สปันเดา

ค.ศ. 1970 - การก่อตั้งมูลนิธิ Herbert Quandt

บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ได้ก่อตั้งมูลนิธิ Herbert Quandt เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปีของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มูลนิธิฯได้พัฒนาจนเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติสำหรับการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ข้ามทวีปแอตแลนติก หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น มูลนิธิฯ ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างตะวันออกและตะวันตก รวมถึงในยุโรปที่ขยายตัว

ค.ศ. 1971 - การก่อตั้ง BMW Kredit GmbH

BMW Kredit GmbH ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นบริษัทในเครือใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยูสำหรับให้บริการด้านการเงินในการทำธุรกรรมของบริษัทเอง และที่สำคัญที่สุดคือสำหรับตัวแทนจำหน่าย บริษัทใหม่นี้วางรากฐานสำหรับธุรกิจการเงินและการเช่าซื้อที่เติบโต ซึ่งยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของบริษัทจนถึงปัจจุบัน

ค.ศ. 1972 - การเปิดโรงงาน Rosslyn ในแอฟริกาใต้

โรงงาน Rosslyn ใกล้เมือง Pretoria ในแอฟริกาใต้ กลายเป็นสถานที่ผลิตแห่งแรกนอกเยอรมนีสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในยุคใหม่ ในปี ค.ศ. 1972 คณะกรรมการบริหารของบีเอ็มดับเบิลยูได้ตัดสินใจเข้าควบคุมโรงงาน Rosslyn ทั้งหมดที่สร้างขึ้นโดยผู้นำเข้าท้องถิ่น การประกอบรุ่น Glas 1800 SA เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1967 และต่อมาได้ตามมาด้วยรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 2000 SA หลังจากการลงทุนครั้งใหญ่ การผลิตรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ได้เริ่มขึ้นในโรงงาน Rosslyn ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1984

ค.ศ. 1972 - ที่มาของ BMW M GmbH

ในปี ค.ศ. 1972 บีเอ็มดับเบิลยูได้นำกิจกรรมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตทั้งหมดมารวมกันภายใต้บริษัทย่อยใหม่ที่เป็นเจ้าของทั้งหมดคือ BMW Motorsport GmbH บริษัทนี้ได้วางรากฐานสำหรับ BMW M GmbH ในช่วงหลายปีต่อมา บริษัทลูกนี้ได้สร้างความสำเร็จด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตให้กับบีเอ็มดับเบิลยูอย่างมากมาย และยังมีส่วนช่วยในการพัฒนารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่เน้นความสปอร์ตเป็นพิเศษ

ค.ศ. 1973 - ตึกสำนักงานใหญ่ใหม่และพิพิธภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยู

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 บีเอ็มดับเบิลยูได้เริ่มสร้างตึกสำนักงานใหญ่ทางตอนเหนือของมิวนิก รูปทรงที่ไม่ธรรมดาของอาคารนี้ทำให้ถูกเรียกว่า "ตึกรูปทรงสี่กระบอกสูบ" และกลายเป็นจุดเด่นสำคัญของสถาปัตยกรรมในเมืองมิวนิก พิพิธภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยูได้ถูกจัดตั้งขึ้นข้าง ๆ อาคารในรูปทรงชาม ซึ่งยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนถึงปัจจุบัน อาคารใหม่ทั้งสองนี้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1973

ค.ศ. 1973 - การขยายตลาดในต่างประเทศด้วยรูปแบบธุรกิจใหม่

ในปี ค.ศ. 1973 Bob Lutz ผู้อำนวยการฝ่ายขายของบีเอ็มดับเบิลยู ได้ริเริ่มนโยบายการรับผิดชอบด้านการขายสำหรับตลาดหลักจากผู้นำเข้า นโยบายนี้ถูกขยายไปยังบริษัทลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่บีเอ็มดับเบิลยูก่อตั้งบริษัทขายของตนเองในปี ค.ศ. 1973 และหลายประเทศอื่น ๆ ก็ได้ปฏิบัติตาม ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กลายเป็นบริษัทที่ดำเนินงานในเวทีระดับโลก

ค.ศ. 1979 - โรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่เมือง Steyr ประเทศออสเตรีย

BMW Steyr Motoren Gesellschaft ก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทร่วมทุนระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู เอจี และ Steyr-Daimler-Puch AG โดยมีการสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่เมือง Steyr ประเทศออสเตรีย ตามแผนที่บีเอ็มดับเบิลยู เอจี วางไว้ ในปี ค.ศ. 1982 บีเอ็มดับเบิลยูได้รับผิดชอบดูแลโรงงานอย่างเต็มรูปแบบ และเปลี่ยนชื่อเป็น BMW Motoren GmbH Steyr เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นแรกได้ถูกผลิตออกมาจากสายการผลิตในปีถัดมา ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้เป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดีเซลของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู

ค.ศ. 1985 - การจัดตั้ง BMW Technik GmbH

BMW Technik GmbH ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีข้อจำกัดจากการพัฒนาสำหรับสายการผลิต วิศวกร นักออกแบบ และช่างเทคนิคที่เก่งที่สุดของ BMW ทำงานที่นี่ เพื่อพัฒนาแนวคิดและไอเดียสำหรับยานพาหนะบีเอ็มดับเบิลยูแห่งอนาคต โครงการใหญ่แรกของ BMW Technik GmbH คือรถโรดสเตอร์ Z1 ที่เริ่มการผลิตในปี ค.ศ. 1988

ค.ศ. 1987 - โรงงานใหม่ที่เมือง Regensburg

ในปี ค.ศ. 1982 ได้มีการตัดสินใจสร้างโรงงานใหม่ที่เมือง Regensburg เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 และแบ่งเบาภาระประมาณการผลิตของโรงงานมิวนิก โรงงานได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในปี ค.ศ. 1984 ที่ Obertraubling และโรงงาน Regensburg ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1987 มีการขยายเพิ่มเติมในปีถัด ๆ มา

ค.ศ. 1990 - จุดเริ่มต้นของศูนย์วิจัยและนวัตกรรม

ในปี ค.ศ. 1986 บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ได้นำงานวิจัยและพัฒนาทั้งหมดมารวมกันภายใต้ศูนย์วิจัยและนวัตกรรม (Forschungs- und Innovationszentrum หรือ FIZ) ในเมืองมิวนิก ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่จัดตั้งสถาบันเช่นนี้ โดยมีนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักออกแบบ ผู้จัดการ และช่างเทคนิค ประมาณ 7,000 คนทำงานร่วมกันเป็นทีม ศูนย์แห่งนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1990 ในปี ค.ศ. 2004 FIZ ได้ขยายเพิ่มเติมด้วยการสร้างอาคาร Projekthaus ซึ่งการพัฒนานี้ครอบคลุมพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ภายในสองปี อาคารสูงเก้าชั้นนี้มีหอประชุม และด้วยพื้นที่สำนักงาน ห้องสตูดิโอ และห้องประชุม กลายเป็นหัวใจใหม่ของ FIZ ปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 9,000 คนทำงานที่ FIZ

ค.ศ. 1994 - บีเอ็มดับเบิลยูลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา

ในปี ค.ศ. 1989 บีเอ็มดับเบิลยูได้ตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อยืนยันตำแหน่งของตนในฐานะผู้เล่นระดับโลก โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ Spartanburg รัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อผลิตบีเอ็มดับเบิลยู Z3 Roadster และเริ่มเปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1994 บีเอ็มดับเบิลยู Z3 ถูกส่งออกจาก Spartanburg ไปทั่วโลก โรงงานนี้ขยายความสามารถในการผลิตในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และปัจจุบันบีเอ็มดับเบิลยู X3, X4, X5 และ X6 ผลิตขึ้นที่นี่

ค.ศ. 1994 - การเข้าซื้อกิจการกลุ่ม Rover

ในต้นปี ค.ศ. 1994 คณะกรรมการบริหารของบีเอ็มดับเบิลยูได้ตัดสินใจซื้อกลุ่ม Rover ซึ่งได้รวมถึงแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Land Rover, Rover, MG, Triumph และ Mini ในสหราชอาณาจักร เพื่อขยายฐานลูกค้า บีเอ็มดับเบิลยูได้เริ่มรวมกลุ่ม Rover เข้ากับ BMW Group อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังที่ตั้งไว้ไม่สามารถทำได้ตามที่หวัง ในปี 2000 บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ตัดสินใจขายกลุ่ม Rover โดยคงไว้เพียงแบรนด์ MINI เท่านั้น[4]

ค.ศ. 1998 - การได้รับสิทธิ์ในแบรนด์ Rolls-Royce Motor Cars

ในเดือนกรกฎาคม 1998 บีเอ็มดับเบิลยูได้สร้างประวัติศาสตร์หลังจากการเจรจาเป็นเวลานาน บริษัทได้รับสิทธิ์ในแบรนด์และชื่อ Rolls-Royce motor cars จาก Rolls-Royce plc Rolls-Royce ถูกครอบครองโดย Volkswagen จนถึงสิ้นปี ค.ศ. 2002 เมื่อบีเอ็มดับเบิลยูเข้ามารับผิดชอบ Rolls-Royce Motor Cars ทั้งหมดพร้อมกับสิทธิ์ทั้งหมด โรงงานใหม่ของ Rolls-Royce และสำนักงานใหญ่ของบริษัทถูกสร้างขึ้นที่ Goodwood ทางตอนใต้ของอังกฤษ เพื่อผลิตรถยนต์ Rolls-Royce รุ่นใหม่ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2003

ค.ศ. 1999 - จุดเริ่มต้นของบีเอ็มดับเบิลยู X5 ในรูปแบบ Sports Activity Vehicle

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 1999 แนวคิดยานยนต์ใหม่ได้ถูกเปิดเผยต่อโลกเป็นครั้งแรกที่งาน Detroit Auto Show โดยบีเอ็มดับเบิลยู X5 ได้นำเสนอให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับการผสมผสานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างพลวัตอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู การขับขี่มี่คล่องแคล่ว และสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดกลุ่มนี้

ค.ศ. 2000 - การก่อตั้งมูลนิธิ Eberhard von Kuenheim

มูลนิธิ Eberhard von Kuenheim ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2000 เพื่อเป็นเกียรติแก่ Eberhard von Kuenheim ในช่วงเกือบ 30 ปีที่เขาทำงานที่บีเอ็มดับเบิลยู เอจี Eberhard von Kuenheim ได้ฝากผลงานสำคัญในการพัฒนาบริษัทฯ โดยเริ่มจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และต่อมาเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบภายใน ภายใต้การนำของเขา บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ได้พัฒนาไปจากผู้ผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แบบดั้งเดิมจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีชื่อเสียง ภารกิจของมูลนิธิฯ คือการส่งเสริมความคิดและพฤติกรรมของผู้ประกอบการนอกเหนือจากบริบททางธุรกิจ ภายใต้คำขวัญ "freude am neu" มูลนิธิ Eberhard von Kuenheim ได้พัฒนาและทดสอบแนวทางแก้ปัญหารูปแบบใหม่ ๆ สำหรับประเด็นสังคมร่วมสมัยในด้านการศึกษา การทำงาน และความยั่งยืน

ค.ศ. 2000 - การปรับกลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

การปรับกลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในปี ค.ศ. 2000 ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ และทำให้พร้อมสำหรับอนาคต ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 บริษัทฯ ได้ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียมในตลาดรถยนต์ต่างประเทศอย่างเต็มที่ ภายใต้แบรนด์ BMW, MINI และ Rolls-Royce Motor Cars มีการขยายออกไปด้วยซีรีส์และรุ่นย่อยใหม่ นอกเหนือจากรุ่น X (Sports Activity Vehicles) แล้ว บริษัทฯ ได้พัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1 ในปี ค.ศ. 2004 MINI ได้เปิดตัวในปี ค.ศ. 2001 และบีเอ็มดับเบิลยูได้เข้ามาดูแลแบรนด์ Rolls-Royce Motor Cars ในปี 2003

*หมายเหตุ MINI ที่สะกดด้วยอักษรใหญ่ทั้งหมด คือรถยนต์ที่พัฒนา ผลิต และจำหน่ายภายใต้การบริหารของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

ค.ศ. 2000 - การผลิต MINI ที่โรงงานในเมือง Oxford

ในปี ค.ศ. 2000 หลังจากการขายกลุ่ม Rover โรงงานรถยนต์ Oxford ที่ได้รับการปรับปรุงและใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ในการสร้าง MINI ยังคงอยู่ภายใต้การครอบครองของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงโรงงานผลิตเครื่องยนต์ใหม่ที่ Hams Hall และโรงงานปั๊มชิ้นส่วนที่ Swindon การคาดการณ์การผลิตในช่วงแรกที่ 100,000 คันต่อปี เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 230,000 คันในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากความต้องการที่สูงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

*หมายเหตุ MINI ที่สะกดด้วยอักษรใหญ่ทั้งหมด คือรถยนต์ที่พัฒนา ผลิต และจำหน่ายภายใต้การบริหารของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

ค.ศ. 2000 - บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เปิดโรงงานที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกในทวีปเอเชีย โดยโรงงานแห่งนี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีต่อตลาดในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ว่าเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ตั้ง ฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และพนักงานผู้เชี่ยวชาญในด้านยนตรกรรม

*หมายเหตุ ข้อมูล ณ เดือนกันยายน ค.ศ. 2024 โรงงานที่จังหวัดระยองสามารถประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นต่าง ๆ ทั้งหมด 18 รุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู X1, บีเอ็มดับเบิลยู X3, บีเอ็มดับเบิลยู X5, บีเอ็มดับเบิลยู X6, และบีเอ็มดับเบิลยูู X7 สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R, บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR, บีเอ็มดับเบิลยู F750 GS, บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS, บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure, บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS, บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure, บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R และบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR นอกจากนี้ โรงงานที่จังหวัดระยองยังขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด 5 รุ่นในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 330e, บีเอ็มดับเบิลยู 530e, บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e, บีเอ็มดับเบิลยู 750e xDrive M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู M760e xDrive

ค.ศ. 2001 - MINI ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถยนต์พรีเมียมรุ่นแรกในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก

MINI ใหม่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถยนต์ต้นแบบในปี 1997 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในปี ค.ศ.  2001 ซึ่งเป็นรถยนต์พรีเมียมรุ่นแรกในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก การออกแบบที่ล้ำสมัยของ MINI ผสมผสานกับความคล่องแคล่วและลักษณะท่าทางที่ซุกซนได้แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ทั้งหมด MINI Hatch เป็นรุ่นแรกในปี 2001 และตามมาด้วยรุ่นย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย

*หมายเหตุ MINI ที่สะกดด้วยอักษรใหญ่ทั้งหมด คือรถยนต์ที่พัฒนา ผลิต และจำหน่ายภายใต้การบริหารของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

ค.ศ. 2003 - โรงงาน Goodwood สำหรับz]b9รถยนต์ Rolls-Royce

ใกล้ ๆ Goodwood House ที่ West Sussex ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่สำหรับรถยนต์ Rolls-Royce ในปี ค.ศ. 2003 โดยรุ่นแรกที่ออกจากสายการผลิตคือ Rolls-Royce Phantom ใหม่ ทุกคันได้รับการผลิตอย่างพิถีพิถันตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน

ค.ศ. 2003 - Rolls-Royce ได้เผยโฉม Phantom สู่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก

หลังจากผ่านช่วงพัฒนาการอย่างเข้มข้น Rolls-Royce ได้เปิดตัว Phantom รุ่นใหม่ในปี ค.ศ. 2003 โดยรถยนต์คันนี้นำเสนอรูปแบบใหม่ของการออกแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce เช่น สัดส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ กระจังหน้าขนาดใหญ่ และประตูด้านหลังแบบโค้ชคาร์ พร้อมทั้งผสมผสานวัสดุคุณภาพสูงและเทคโนโลยีที่ทันสมัย Phantom เป็นตัวแทนที่สมบูรณ์ตามแบบฉบับของ Rolls-Royce และในขณะเดียวกันก็สื่อถึงการกลับมาเปิดตัวแบรนด์ได้อย่างสำเร็จ ในเดือนกันยายน 2009 Rolls-Royce Ghost รุ่นใหม่ได้แสดงถึงการมาถึงของครอบครัวรุ่นที่สอง ซึ่ง Ghost นำเสนอความเรียบง่ายตามแบบฉบับของ Rolls-Royce ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับการขยายเพิ่มเติมด้วยรุ่น Wraith ซึ่งเป็น Rolls-Royce ที่ทรงพลังที่สุดและมีความสปอร์ตที่สุดที่เคยสร้างขึ้น

ค.ศ. 2004 - บีเอ็มดับเบิลยูเปิดตัวซีรีส์ 1 สำหรับตลาดรถยนต์พรีเมียมขนาดเล็ก

ในฝั่งของบีเอ็มดับเบิลยู ก็ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1 ที่มีความคล่องตัวในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม และคุณภาพระดับพรีเมียม มาสู่ตลาดรถยนต์ขนาดเล็กเป็นครั้งแรก

ค.ศ. 2004 - บีเอ็มดับเบิลยูลงทุนตั้งโรงงาน Dadong ที่ประเทศจีน

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2003 บีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่ประเทศจีนเพื่อจัดตั้ง BMW Brilliance Automotive Ltd เพื่อดูแลการผลิต การขาย และการสนับสนุนลูกค้าสำหรับรถยนต์ BMW ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โรงงาน Dadong ในเมืองเสิ่นหยางเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมปีถัดมา ผลิตรถยนต์เฉพาะสำหรับตลาดท้องถิ่น ในปี ค.ศ. 2012 โรงงานแห่งที่สอง Plant Tiexi ก็ได้เปิดตัวขึ้นในเสิ่นหยางเช่นกัน

ค.ศ. 2005 - บีเอ็มดับเบิลยูเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่เมือง Leipzig

ในเดือนพฤษภาคม 2005 โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูในเมือง Leipzig ได้เฉลิมฉลองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โรงงานนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการผลิตรถยนต์ 750 คันต่อวันในระยะกลาง พร้อมด้วยการสร้างงาน 5,500 ตำแหน่งเมื่อโรงงานทำงานเต็มกำลังการผลิต รูปทรงทางสถาปัตยกรรมของโรงงานนี้ถูกนิยามโดยอาคารศูนย์กลางที่ออกแบบโดย Zaha Hadid ซึ่งได้รับรางวัล German Architecture Prize ในปี 2005 รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1, ซีรีส์ 2 แบบเปิดประทุนและคูเป้ และ ซีรีส์ 2 Series Active Tourer ผลิตขึ้นที่โรงงานนี้ ในปี ค.ศ. 2013 โรงงานได้ผลิตบีเอ็มดับเบิลยู i3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และตามมาด้วยบีเอ็มดับเบิลยู i8 ในปี ค.ศ. 2014

ค.ศ. 2007 - การเปิดใช้อาคาร BMW Welt

ในเดือนตุลาคม 2007 BMW Welt ได้เปิดตัวในพื้นที่ทางตะวันตกของอาคารสำนักงานใหญ่ อาคารที่ทันสมัยนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเวียนนา Coop Himmelb(l)au เพื่อเป็นศูนย์ส่งมอบรถยนต์ BMW รวมถึงจัดแสดงประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน และอนาคตของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงการเข้าเยี่ยมชมโรงงานและพิพิธภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยู

ค.ศ. 2007 - บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ภายใต้กลยุทธ์ Strategy Number ONE

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2007 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ใช้กลยุทธ์ใหม่ที่ชื่อว่า Strategy Number ONE ซึ่งมีสี่เสาหลักคือ "การเติบโต", "การสร้างอนาคต", "ความสามารถในการทำกำไร", และ "การเข้าถึงเทคโนโลยีและลูกค้า" ภายใต้กลยุทธ์นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสองประการคือการสร้างความสามารถในการทำกำไร และการเพิ่มมูลค่าในระยะยาวในช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป คำแถลงพันธกิจจนถึงปี 2020 นั้นชัดเจน: การเป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการพรีเมียมสำหรับการขับเคลื่อนชั้นนำของโลก

ค.ศ. 2011 - การเปิดโครงการ DriveNow

บีเอ็มดับเบิลยูยังได้ร่วมมือกับ Sixt AG เพื่อเปิดตัวโครงการ DriveNow ซึ่งเป็นแนวคิดการเดินทางแบบใหม่ โครงการแชร์รถนี้เริ่มต้นที่เมืองมิวนิก และขยายไปยังเมืองอื่น ๆ เช่น เบอร์ลิน, ฮัมบูร์ก, และซานฟรานซิสโก DriveNow ได้ถูกนำเสนอภายใต้แบรนด์ย่อยใหม่ BMW i

ค.ศ. 2013 - การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i3

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเคลื่อนที่ด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i3 ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ BMW i ที่ผลิตเชิงพาณิชย์จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป รถยนต์คันนี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสีย และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ใหม่ทั้งหมดที่น่าตื่นเต้น ด้วยความคล่องตัวและความสนุกในการขับขี่ การเคลื่อนที่อย่างยั่งยืนนี้ไม่เคยมีความเร้าใจขนาดนี้มาก่อน

ค.ศ. 2015 - บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เปิดโรงงานผลิตที่ประเทศอินเดีย

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด (BMW Motorrad) ได้ร่วมมือกับบริษัท TVS Motor Company ในเมืองเจนไน ประเทศอินเดีย เพื่อเข้าสู่ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาเข้าถึงได้และมีการแข่งขันสูงในกลุ่มต่ำกว่า 500 ซีซี บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ได้รวบรวมคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด เช่น ความคล่องตัว ความสะดวกสบาย การยศาสตร์ที่ดีเยี่ยม และความง่ายในการขับขี่ เครื่องยนต์สูบเดี่ยวที่มีความจุ 313 ซีซี ให้กำลัง 34 แรงม้า และได้รับการพัฒนาใหม่ในขณะนั้น การออกแบบของรถมอเตอร์ไซค์คันนี้สื่อถึงการอ้างอิงถึงบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R และรถมอเตอร์ไซค์นี้สอดคล้องกับมาตรฐานทางเทคนิคระดับสากลทุกประการ รถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีเป้าหมายไปที่ตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและอเมริกาใต้

ค.ศ. 2015 - การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R

การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ได้นำเสนอความจุเครื่องยนต์ใหม่สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดย Roadster รุ่นนี้มีลักษณะเด่นที่เครื่องยนต์สูบเดี่ยวสี่จังหวะ น้ำหนักเบา และมีไดนามิกที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นแก่นของรถมอเตอร์ไซค์แนวโรดสเตอร์ บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดและปรับให้เหมาะสมสำหรับตลาดโลก: มันสามารถรองรับเชื้อเพลิงคุณภาพต่าง ๆ และเป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยไอเสียทุกข้อ ด้วยอัตราการใช้น้ำมันที่ต่ำและท่านั่งที่สะดวกสบาย ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ในระยะทางที่ยาวนาน

ค.ศ. 2016 - บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ภายใต้กลยุทธ์ NUMBER ONE > NEXT

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ให้ความสำคัญในเรื่องพลังขับเคลื่อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนแบบพรีเมียม กลยุทธ์ "NUMBER ONE > NEXT" ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับบริษัทฯ โดยให้ความสำคัญกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมายนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมุ่งเน้นการขยายศักยภาพทางเทคโนโลยี การเชื่อมต่อดิจิทัลระหว่างผู้คน ยานพาหนะ และบริการ รวมถึงการเสริมสร้างการเคลื่อนที่ที่ยั่งยืน

ค.ศ. 2016 - บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ฉลองครบรอบ 100 ปี ด้วยรถยนต์ต้นแบบภายใต้แนวคิด THE NEXT 100 YEARS

ภายใต้คำขวัญ "THE NEXT 100 YEARS" บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ฉลองครบรอบ 100 ปี ด้วยการมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ความสำเร็จ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการมองไปข้างหน้า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป สะท้อนยานพาหนะในอนาคตผ่านรถยนต์ต้นแบบ BMW VISION NEXT 100, MINI VISION NEXT 100, Rolls-Royce VISION NEXT 100 และมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad VISION NEXT 100

ค.ศ. 2019 - การเปิดโรงงานใหม่ที่ประเทศเม็กซิโก

ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่โรงงานใน San Luis Potosí บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ได้เริ่มต้นสายการผลิตรถยนต์ที่นี่ และประสบความสำเร็จมาก รถบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 คูเป้ และ บีเอ็มดับเบิลยู M2 ก็ถูกผลิตจากที่นี่เช่นเดียวกัน ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ลงทุนไปประมาณหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ และสร้างงานใหม่ถึง 2,500 ตำแหน่ง

ค.ศ. 2020 - บีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ภายใต้รูปแบบ X

ในปี ค.ศ. 2020 บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัวรุ่น iX3 ซึ่งเป็นรุ่นแรกของตระกูล X ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งหมด และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมด ด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู eDrive ที่พัฒนาขึ้นใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู iX3 มีกำลังมากกว่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูไฟฟ้ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 30% การขับขี่แบบไม่มีมลพิษในท้องถิ่นถูกเติมเต็มด้วยการออกแบบภายในที่สะดวกสบายและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ

ค.ศ. 2020 – บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด บุกตลาดกลุ่มคลาสสิกด้วยการเปิดตัว BMW R 18

ทางด้านรถมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 เปิดตัวในปี ค.ศ. 2020 ได้สานต่อประวัติศาสตร์ของรถมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยูแบบคลาสสิกในแง่ของคุณสมบัติทางเทคนิคและการออกแบบ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นก่อนที่มีชื่อเสียง เช่น บีเอ็มดับเบิลยู R 5 รถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีและเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือความเพลิดเพลินในการขับขี่ที่แท้จริง

ค.ศ. 2020 – การขับเคลื่อนที่สำคัญในงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ ณ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรม (FIZ)

สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศเยอรมนียังคงเป็นสถานที่พัฒนาที่สำคัญ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรม (FIZ) ในเมืองมิวนิกซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร ผู้เชี่ยวชาญทำการพัฒนาทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

ค.ศ. 2021 – การเปิดตัวรถบีเอ็มดับเบิลยู iX

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย โดยภายในปี ค.ศ. 2030 รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดจะต้องมีสัดส่วนถึง 50% ของยอดขายทั้งหมด รถบีเอ็มดับเบิลยู iX เป็นก้าวสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงนี้: รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นเรือธงเทคโนโลยีใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดยผสมผสานความเพลิดเพลินในการขับขี่แบบไร้มลพิษเข้ากับระยะการขับขี่ที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ยังมอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับนวัตกรรมในด้านการขับขี่อัตโนมัติ การดำเนินการ การเชื่อมต่อ และบริการดิจิทัล

ค.ศ. 2021 – การหมุนเวียนวัสดุ (Circularity) กับรถยนต์ต้นแบบ BMW i Vision Circular

แนวคิดเรื่องการหมุนเวียนวัสดุ (Circularity) เป็นเสาหลักสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ด้วยแนวคิดนี้ BMW i Vision Circular ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดกะทัดรัด ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการหมุนเวียนของวัสดุแบบปิด โดยรถยนต์นี้ประกอบด้วยวัสดุรีไซเคิล 100% และสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด 100% ด้วยเช่นกัน รถยนต์ไฟฟ้าสี่ที่นั่งคันนี้เป็นตัวแทนของโครงการที่ทะเยอทะยานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการเป็นผู้ผลิตยานยนต์พรีเมียมที่ยั่งยืนที่สุด

ค.ศ. 2022 – จุดเริ่มต้น The Neue Klasse

ปี ค.ศ. 2022 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ประกาศเริ่มต้นการผลิต "Neue Klasse" ในปี ค.ศ. 2025 โดย "Neue Klasse" ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อโครงสร้างตัวถังใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ใหม่ ซึ่งบริษัทฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมหลายด้าน รถยนต์รุ่นใหม่นี้จะใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด สามารถขับขี่ได้ไกลกว่าเดิม แบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองจะช่วยเร่งการเติบโตของการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว

ค.ศ. 2022 – ยอดจำหน่ายรถไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันกับระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร

นับตั้งแต่การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i3 ในปี ค.ศ. 2013 รถยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 2022 ลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ 11 แบบ ใน 8 รุ่น ทำให้เป็นบริษัทฯ ที่มียานยนต์ไฟฟ้าให้ลูกค้าเลือกมากที่สุดในกลุ่มพรีเมียม ความพิเศษของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็คือระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร เครื่องยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แรงดันสูงของ BMW นั้นสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับที่เครื่องยนต์สันดาปภายในเคยทำมา BMW โดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ลดการใช้โลหะหายาก ประสิทธิภาพสูง และก้าวล้ำในการลด CO2 รวมถึงความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 "Annual Report 2018" (PDF). BMW Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-03-21. สืบค้นเมื่อ 7 April 2019.
  2. "BMW History". www.bmwgroup.com (ภาษาอังกฤษ).
  3. "BMW History". www.bmwgroup.com (ภาษาอังกฤษ).
  4. "BMW History". www.bmwgroup.com (ภาษาอังกฤษ).