บัณฑิต เจริญวานิช และจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์

บัณฑิต เจริญวานิช (เกิด พ.ศ. 2498 – 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552) และ จิรวัฒน์ หรือ เอ้ พุ่มพฤกษ์ (เกิดประมาณ พ.ศ. 2507 – 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552) เป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตคนที่ 5 และ 6 ของประเทศไทยด้วยการฉีดสารพิษ[1] ในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่1ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นการประหารชีวิตโดยการฉีดสารพิษเป็นครั้งที่ 2 ของประเทศไทย[2] โดยหลังจากการประหารชีวิต ประเทศไทยก็ไม่ได้ประหารชีวิตใครอีกเป็นเวลา 9 ปี[3] ก่อนจะมีการประหารชีวิตธีรศักดิ์ หลงจิ ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ซึ่งถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561[4]

บัณฑิต เจริญวานิชและจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์
เกิดบัณฑิต เจริญวานิช
พ.ศ. 2498
จังหวัดธนบุรี ประเทศไทย
จิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์
ประมาณ พ.ศ. 2507
ประเทศไทย
เสียชีวิตบัณฑิต เจริญวานิช
24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 (54 ปี)
เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย
จิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์
24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 (อายุ 45 ปี)
เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย
สาเหตุเสียชีวิตการประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษ
สัญชาติไทย
มีชื่อเสียงจากการประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษครั้งที่ 2 ของประเทศไทย
สถานะทางคดีถูกประหารชีวิต
ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่1ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย
บทลงโทษประหารชีวิต
คู่หูสมจิตร พยัคฆ์เรือง
จิรวัฒน์ เจริญวานิช
สมควร พยัคฆ์เรือง
วันที่ถูกจับ
29 มีนาคม พ.ศ.2544
จำคุกที่เรือนจำกลางบางขวาง

การก่อคดี

แก้

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2544 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดได้จับกุมสมจิตร พยัคฆ์เรือง พร้อมกับยาบ้าจำนวน 20,000 เม็ด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าสมจิตรใช้รถยนต์ของบัณฑิต ซึ่งเป็นลูกเขยในการขนส่งยาเสพติด และสมจิตรได้สารภาพว่า ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2544 บัณฑิตจะให้จิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ขนยาบ้าจำนวนมากมาจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อนำมาพักเเละจำหน่ายในกรุงเทพ หลังจากสมจิตรรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเลือกด่านสลกบาตร ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลสลกบาตรเป็นสถานที่จับกุมจิรวัฒน์[5] สองวันต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้จับกุมจิรวัฒน์ อายุ 36 ปี พร้อมกับวิลาวรรณ กะแผแก้ว อายุ 25 ปี ที่ด่านสลักบาตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยจากการตรวจค้น พบยาบ้าจำนวน 100,000 เม็ดที่ด้านข้างของประตูรถยนต์[6][7]

จิรวัฒน์ได้สารภาพว่าเป็นเพียงคนรับจ้างขนยาบ้ามาจากบัณฑิต เจริญวานิช เพื่อไปส่งยังกรุงเทพ ซึ่งเขาเคยขนส่งยาเสพติดให้บัณฑิตมาแล้ว 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนจับกุมบัณฑิต โดยให้เขาโทรศัพท์บอกบัณฑิตว่าการขนส่งยาเสพติดไปได้อย่างราบรื่นและให้บัณฑิตไปรับยาเสพติดที่อาคารซีพีเอช ทาวเวอร์ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงบางแคเหนือ ส่งผลให้ภายในวันเดียวกันเจ้าหน้าตำรวจสามารถจับกุมบัณฑิตพร้อมกับปืน 1 กระบอก ในขณะขับรถมารับยาเสพติดที่อาคารซีพีเอช ทาวเวอร์ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในรถยนต์ของบัณฑิต[8] เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวเขาไปตรวจค้นที่บ้านของเขาในเขตหนองแขม โดยพบยาบ้าจำนวน 14,215 เม็ดพร้อมกับปืนหลายกระบอกที่บ้านของเขา[9][10][11][12] ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมสมควร พยัคฆ์เรือง อายุ 29 ปี ภรรยา และจิรวัฒน์ เจริญวานิช อายุ 47 ปี พี่สาวของบัณฑิตข้าราชการระดับซี 8 ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 4 [13] อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล[14]

การพิจารณาคดี

แก้

วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ศาลชั้นต้นได้ตัดสินประหารชีวิตบัณฑิต, จิรวัฒน์ และสมควร ในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่1ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยให้เหตุผลว่าจำนวนของยาบ้าที่จับกุมมีจำนวนมาก ซึ่งสภาพและลักษณะของความผิดเป็นมหันตภัยต่อมวลมนุษยชาติ อีกทั้งสามารถทำลายทรัพยากรมนุษย์ บั่นทอนความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างสุดคณานับ ถึงแม้จะรับสารภาพแต่ไม่เป็นเหตุให้ลดโทษ ส่วนวิลาวรรณกับจิรวัฒน์ เจริญวานิชถูกยกฟ้อง ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ศาลอุทธรณ์ แก้คำพิพากษาให้ลดโทษสมควรเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนบัณฑิตและจิรวัฒน์พิพาษายืนประหารชีวิต และจิรวัฒน์ เจริญวานิชถูกตัดสินจำคุก 8 เดือนในความผิดฐานปลอมแปลงบัตรเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ศาลฎีกาได้แก้คำพิพากษาสมควรจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิต ส่วนบัณฑิตและจิรวัฒน์พิพาษายืนประหารชีวิต ซึ่งพวกเขาได้ถวายฎีกาทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาของบัณฑิตและจิรวัฒน์มีพระราชกระแสรับสั่งให้ยกฎีกาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ส่วนสมควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต[15]

การประหารชีวิต

แก้

ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 15.30 น. หลังจากนำนักโทษทุกคนเข้าเรือนนอน เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงของเรือนจำได้เบิกตัวพวกเขาออกจากแดนที่คุมขังภายในเรือนจำกลางบางขวางไปยังศาลาเย็นใจเพื่อเเจ้งผลฎีกาทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ หลังจากนั้นได้ให้บัณฑิตและจิรวัฒน์เขียนพินัยกรรมแล้วให้โทรศัพท์หาญาติเพื่อสั่งเสียเป็นเวลา 5 นาที ซึ่งจิรวัฒน์ได้คุยโทรศัพท์กับญาติด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนบัณฑิตน้ำตาไหลและใช้มือปาดน้ำตาตลอดการคุยโทรศัพท์ เมื่อบัณฑิตใช้เวลาในการคุยโทรศัพท์เกินเวลาที่กำหนด เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงจึงเข้าไปปลอบใจบัณฑิตเเละบอกกับบัณฑิตว่าหมดเวลาในการคุยโทรศัพท์ ถัดจากนั้นผู้อำนวยการส่วนควบคุมส่วนที่2 ได้อ่านคำสั่งยกฎีกา จิรวัฒน์ได้ขอคุยโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อคุยกับลูก แต่ก็ถูกปฎิเสธ เขาจึงขอร้องและได้รับความช่วยเหลือให้คุยโทรศัพท์ได้อีกครั้ง หลังจากอ่านคำสั่งยกฎีกาเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาให้ทั้งสอง โดยให้หันหน้าไปยังโบสถ์พระประธานของวัดบางแพรกใต้ แล้วพาเข้าไปยังอาคารประหารชีวิต โดยได้จัดอาหารมื้อสุดท้ายไว้ในห้อง ประกอบด้วย แกงฉู่ฉี่ ข้าวเปล่า แอปเปิ้ล และน้ำดื่ม แต่ทั้งสองไม่ได้รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย[16]

จิรวัฒน์ได้ถามอรรถยุทธ พวงสุวรรณ (ยุทธบางขวาง) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหารว่า"หัวหน้าครับ ผมกินอะไรไม่ลงหรอกครับ ผมอยากรู้ว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าใครควรประหารใครควรลดโทษ ผมเป็นแค่ผู้ร่วม เฮียบัณฑิตกับเจ้เป็นเจ้าของยา ไม่น่าต้องมาประหารผมเลย" อรรถยุทธจึงตอบกลับไปว่า "ผมเองก็ไม่รู้นะว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน แต่ถ้าใครโดนก็ต้องถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของคนนั้นไป ทำใจเถอะนะ" จิรวัฒน์จึงพูดว่า "ครับผมทำใจแล้วครับ หัวหน้าครับ ก่อนตายผมขอลาเฮียบัณฑิตและขออโหสิกรรมกับเขาก่อนได้ไหม ตายไปผมกับเขาจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีก" หลังจากนั้นพระครูศรีนนทวัฒน์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดบางแพรกใต้ได้เทศนาธรรมเรื่องบาปบุญคุณโทษ ระหว่างการเทศน์บัณฑิตน้ำตาไหลตลอดการเทศน์และมีอากาศเศร้า ส่วนจิรวัฒน์สงบและนิ่งเงียบก่อนขอจับชายผ้าเหลืองโดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นสื่อนำไปสู่ภพอื่น[17][18]แล้วนำบัณฑิตและจิรวัฒน์ไปในห้องฉีดสารพิษ โดยจิรวัฒน์ได้กล่าวกับบัณฑิตเป็นครั้งสุดท้ายว่า"เฮียครับ ผมลาก่อน ผมขออโหสิกรรมให้เฮีย และขอให้เฮียอโหสิกรรมให้ผมด้วย เราจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีกต่อไปนะเฮีย"แล้วบัณฑิตได้พยักหน้า[19]

เมื่อเริ่มการประหารชีวิต เจ้าหน้าที่ฉีดยาได้ปล่อยยาเข็มที่ 1 คือโซเดียมไทโอเพนทอล เพื่อให้หลับ แต่สายน้ำเกลือได้หลุดจากข้อมือของบัณฑิตจึงเข้าไปแก้ไขแล้วใส่ใหม่ แล้วตามด้วยเข็มที่ 2 คือแพนคูโรเนียมโบรไมด์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ แต่สายน้ำเกลือก็หลุดออกจากข้อมือของบัณฑิตอีกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงไปคลายสายรัดข้อมือขวา ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่ฉีดยาได้ปล่อยเข็มที่ 3 คือโพแทสเซียมคลอไรด์ซึ่งหัวใจหยุดเต้น[20] หลังจากที่จิรวัฒน์เสียชีวิตแล้ว สายน้ำเกลือได้หลุดออกจากเข็มของบัณฑิตอีกครั้ง เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงจึงปลดสายรัดที่แขนทั้งสองข้างแล้วฉีดยาอีกครั้ง ซึ่งบัณฑิตเสียชีวิตในอีก 5 นาทีต่อมา[21] จากนั้นเเพทย์เเละกรรมการได้มาตรวจสอบร่างของพวกเขาเเละยืนยันว่าเสียชีวิต[22][23][24][25]

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เจ้าหน้าที่ได้นำกุญเเจมาเปิดประตูเเดงของวัดบางแพรกใต้เพื่อนำศพของออกจากเรือนจำ แต่ไม่สามารถเปิดประตูได้เนื่องจากประตูเเละดอกกุญเเจเต็มไปด้วยสนิม ทำให้ต้องเลื่อนการนำศพทั้งออกจากเรือนจำ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้ไขกุญเเจตรวนที่เท้าของนักโทษเเล้วนำใส่โลงศพซึ่งได้รับบริจาคมา หลังจากเสร็จสิ้นเเล้วเจ้าหน้าที่ได้นำสเปรย์ยี่ห้อโซแนกซ์มาฉีดที่ขอบประตูและดอกกุญเเจแต่ก็ยังไม่สามารถเปิดประตูได้[26] เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ชะเเลงกระทุ้งประตูจึงเปิดได้ แล้วนำศพของจิรวัฒน์ออกมาก่อนโดยศพของจิรวัฒน์ถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลทวิธานถุกูลภายในวัดบางแพรกใต้ แล้วตามด้วยศพของบัณฑิตซึ่งศพของบัณฑิตถูกนำขึ้นรถตู้เพื่อนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ฝั่งธนบุรี[27]

อ้างอิง

แก้
  1. เปิดขั้นตอนการประหารชีวิตด้วยวิธี “ฉีดสารพิษ”
  2. "เมื่อความตายอยู่ตรงหน้า"ภารกิจ...ส่งวิญญาณนักโทษ
  3. no unity on death penalty
  4. เปิดแฟ้ม 7 คดีดัง “โทษประหาร” บ้างตาย บ้างรอชดใช้กรรม
  5. "เข็มฉีดยา"..จุดจบนักค้ายา
  6. เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้เทศน์เตือนสตินักโทษ
  7. เดลินิวส์ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่ 18
  8. Rethink drugs death sentence
  9. มารู้จัก.. "โทษประหารชีวิต "
  10. "เมื่อความตายอยู่ตรงหน้า"ภารกิจ...ส่งวิญญาณนักโทษ
  11. Rethink drugs death sentence
  12. เปิดขั้นตอนการประหารชีวิตด้วยวิธี “ฉีดสารพิษ”
  13. เรื่อง การลงโทษข้าราชการผู้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงบางกรณี
  14. คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร, p. 509-527
  15. เปิดแฟ้ม 7 คดีดัง “โทษประหาร” บ้างตาย บ้างรอชดใช้กรรม
  16. Thailand carries out first executions in six years
  17. "เข็มฉีดยา"..จุดจบนักค้ายา
  18. Bangkok, trafficanti di droga giustiziati con una iniezione letale
  19. เพชฌฆาตตกงาน โทษประหารมีไว้ขู่!? มองย้อน 8 ปี นาทีประหารนักโทษคนสุดท้าย
  20. เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้เทศน์เตือนสตินักโทษ
  21. EU and rights activists condemn Thai executions
  22. บางขวางฉีดยาประหาร 2 นักโทษค้ายา!
  23. เปิดขั้นตอนการประหารชีวิตด้วยวิธี “ฉีดสารพิษ”
  24. คุกบางขวางฉีดยา ประหาร2นักโทษ
  25. คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร, p. 509-527
  26. เปิดตำนาน ประตูแดง-วัดบางแพรกใต้ ที่สุดท้ายส่งวิญญาณ "ซีอุย"
  27. พระสลด! นาทีฉีดยา 2 นักโทษประหาร “เศร้าน้ำตาอาบแก้ม-ขอจับชายผ้าเหลืองส่งดวงวิญญาณ

บรรณานุกรม

แก้
  • อรรถยุทธ พวงสุวรรณ (2546). คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร. กรุงเทพ: มติชน. ISBN 9743229752.
  • 'เชาวเรศน์ จารุบุณย์ (2553). บันทึก.....แดนประหาร คุกบางขวาง. กรุงเทพ: ดอกหญ้า 2000. ISBN 9789746907576.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

ดูเพิ่ม

แก้
ก่อนหน้า
บุญลือ นาคประสิทธิ์ ,พันพงษ์ สินธุสังข์ , วิบูลย์ ปานะสุทธะและพนม ทองช่างเหล็ก
12 ธันวาคม 2546
บุคคลที่ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษในประเทศไทย
บัณฑิต เจริญวานิชและจิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์
24 สิงหาคม 2552
ถัดไป
ธีรศักดิ์ หลงจิ
18 มิถุนายน 2561