นักนางโอด
นักนางโอด[1] หรือ โอง[2] (พ.ศ. 2302–2365) เป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง และเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี หรือนักองค์จันทร์
นักนาง โอด | |
---|---|
เกิด | ราว พ.ศ. 2302 |
เสียชีวิต | พ.ศ. 2365 (63 ปี) บันทายแก้ว อาณาจักรกัมพูชาธิบดี |
คู่สมรส | สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ |
บุตร | สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี |
บิดามารดา | มก (มารดา) |
ประวัติ
แก้ชีวิตช่วงต้น
แก้นักนางโอด มีมารดาชื่อท่านยายมก[3] และท่านยายมกน่าจะมีพื้นเพเดิมเป็นชาวเมืองกระแจะ เพราะมีการทำบุญและบรรจุกระดูกนางที่นั่น[4] เบื้องต้นนักนางโอดเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาตำแหน่งพระสนมชั้นพระแม่นางในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ เมื่อครั้งยังประทับอยู่ในวังเจ้าเขมร ตั้งแต่ยังอยู่ที่ตำบลคอกกระบือ ก่อนย้ายไปทางทิศใต้ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร นักนางโอดประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกชื่อ นักองค์จันทร์ (ต่อมาเป็นสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี) เมื่อ พ.ศ. 2334[5] ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณทรงสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ในกรุงอุดงฦๅไชย แล้วตรัสให้ออกญาวัง (สัวะซ์) และออกญาวิบุลราช (เอก) เข้าไปยังกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ขอรับสมเด็จพระเอกกระษัตรี สมเด็จพระท้าว ท้าวมหากระษัตรี (พระมารดาเลี้ยง) นักนางโอด นักนางแก นักนางรศ รวมทั้งขุนนางและข้าของพระองค์กลับเมืองเขมร ซึ่งกษัตริย์สยามก็พระราชทานให้ครอบครัวออกจากกรุงเทพฯ ในปลาย พ.ศ. 2338[6] แต่ปลาย พ.ศ. 2339 สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณก็สวรรคต[7]
พระราชชนนี
แก้หลังสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณสวรรคต นักนางโอดสร้างพระวิหารของวัดพระธรรมเกรติ์ หรือวัดพระพุทธโจลนิพเปียน เมื่อปีฉลู 1167 ตรงกับ พ.ศ. 2348 ดังปรากฏใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ความว่า "...นักนางโอด พระมารดานักองค์จันทร์ ซึ่งเป็นพระราชบุตรองค์ใหญ่ สร้างพระวิหารหลัง ๑ ที่วัดธรรมเกร์ (วัดธรรมมรฎก) อยู่ข้างตวันออกพระวิหารพระพุทธรูปองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้าทะละหะสร้างนั้น ๚"[8][9] นักองค์จันทร์ซึ่งเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่นักนางโอดเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีสืบมา ช่วงเวลานั้นทางราชสำนักญวนพยายามมีไมตรีต่อกษัตริย์เขมรพระองค์ใหม่ เบื้องต้นมีการเสนอให้กษัตริย์เขมรพร้อมครอบครัวเสด็จไปประทับที่เมืองบัญแงใน พ.ศ. 2355 เมื่อเสด็จถึงเมืองบัญแง ทางการญวนนำทอง เงิน ผ้าแพร และเงินอีแปะ 5,000 พวง มาถวายสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี สมเด็จพระอัยยิกา (นักองค์เม็ญ) และสมเด็จพระมารดา (โอด) รวมถึงขุนนาง ไพร่พลที่ตามเสด็จด้วยทุกคน[10] จักรพรรดิซา ล็อง หรือองเชียงสือ พระเจ้าเวียดนามตรัสให้ขุนนางญวนนำเงินอีแปะ 1,000 พวง มาพระราชทานขุนนางที่ตามเสด็จสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี และถวายเงินนักองค์เม็ญ พระอัยยิกา 20 แน่น และถวายเงินนักนางโอด พระราชมารดา 20 แน่น (แน่น มีน้ำหนักราว 25 บาท)[11] ต่อมาสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีพร้อมด้วยพระราชวงศ์และขุนนาง เดินทางกลับกรุงบันทายเพชรใน พ.ศ. 2356 โดยมีเล วัน เสวียต หรือองต๋ากุน จัดกระบวนแห่ให้[12] แม้จะมีสัมพันธไมตรีแนบแน่นกับญวน แต่สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดียังส่งขุนนางพร้อมเครื่องราชบรรณาการถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยตรัสให้ขุนนางนำเหรียญ 1,000 เหรียญ ข้าวเปลือก 100 เกวียน และผ้าแพรผ้าลายประทานสมเด็จพระอุไทยราชา สมเด็จพระปิตุจฉา (เภา) และสมเด็จพระมารดา (โอด) ด้วย[13]
ปัจฉิมวัย
แก้นักนางโอดมีบทบาทในการเจริญสัมพันธไมตรีกับญวน ดังในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ ฉศก 1176 ตรงกับ พ.ศ. 2357 สมเด็จพระท้าว (นักองค์เม็ญ) สมเด็จพระปิตุจฉา (พระองค์เภา) และสมเด็จพระมารดา (โอด) ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมเล วัน เสวียต หรือองต๋ากุน ที่เมืองไซ่ง่อน เป็นเวลา 25 วัน แล้วจึงเสด็จกลับบันทายแก้ว[14] และใน วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน สัปตศก ตรงกับ พ.ศ. 2358 สมเด็จพระท้าว สมเด็จพระมารดา (โอด) และสมเด็จพระปิตุจฉาจะเสด็จไปเมืองเว้ แต่เมื่อถึงน่านน้ำเมืองไซ่ง่อน สมเด็จพระมารดาและสมเด็จพระปิตุจฉาทรงพระประชวร จึงเสด็จกลับกรุงเขมร[15]
นักนางโอดถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชราใน พ.ศ. 2365 สิริอายุ 63 ปี[16] สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีปลูกพระเมรุถวายพระเพลิงศพพระมารดา และสมเด็จพระปิตุจฉา (พระองค์เภา) แล้วแห่พระอัฐิไปบรรจุบนเขาพระราชทรัพย์ใน พ.ศ. 2372[16]
อ้างอิง
แก้- เชิงอรรถ
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (83. สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีพระเจ้ากรุงกัมพูชาพิราลัย)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3, หน้า 113
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 206
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 217
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 166
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 171
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 172
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 177
- ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 53-55
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 200
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 201
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 202
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 204
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 208
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 211-212
- ↑ 16.0 16.1 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 222
- บรรณานุกรม
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2560. 360 หน้า. ISBN 978-616-514-575-6
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5
- ศานติ ภักดีคำ. เขมรสมัยหลังพระนคร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. 224 หน้า. ISBN 978-974-02-1147-1