ยุคมืดของกัมพูชา

ยุคมืดของกัมพูชา (เขมร: យុគអន្ធកាលនៃកម្ពុជា) เริ่มขึ้นหลังจากอาณาจักรพระนครเริ่มอ่อนแอลง ประเทศราชประกาศตัวเป็นอิสระ เกิดความวุ่นวายในราชอาณาจักร จนในที่สุดเกิดการล่มสลายของอาณาจักรพระนคร โดยการยึดครองของสยาม

ราชอาณาจักรกัมพูชา
ព្រះរាជាណាចក្រកម្ពុជា

พ.ศ. 1974–พ.ศ. 2406
ธงชาติกัมพูชา
แผนที่อาณาจักรต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2083 (กัมพูชาแสดงเป็นสีเขียวอ่อน)
แผนที่อาณาจักรต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2083
(กัมพูชาแสดงเป็นสีเขียวอ่อน)
สถานะสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เมืองหลวงศรีสุนทร (1974–1977)
จตุมุข (1977–2068)
ละแวก (2068–2146)
ลวาเอม (2146–2163)
อุดงค์ลือไชย (2163–2406)
ภาษาทั่วไปภาษาเขมรยุคกลาง
ศาสนา
พระพุทธศาสนา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระมหากษัตริย์ 
• 1974–2006
พระบรมราชา (เจ้าพระยาญาติ) (อาณาจักรเขมรจตุมุข)
• 2403-2447
สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ (อาณาจักรเขมรอุดง)
ยุคประวัติศาสตร์สมัยกลางตอนต้น
• การเสียพระนคร
พ.ศ. 1974
พ.ศ. 2137
• กลายมาเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
11 สิงหาคม พ.ศ. 2406
รหัส ISO 3166KH
ก่อนหน้า
ถัดไป
อาณาจักรพระนคร
กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ กัมพูชา
 ไทย
 เวียดนาม

ยุคเสื่อมของอาณาจักรเขมร

แก้

อาณาจักรเขมร ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 (พ.ศ. 1786-1838) ความไม่มั่นคงภายในอาณาจักรเริ่มเกิดขึ้น ประเทศราชเกิดการแข็งข้อ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาว แข็งเมืองไม่ขึ้นกับพระนคร และต่อมาได้ก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น ในช่วงนี้มีการเปลี่ยนศาสนาจากศาสนาพุทธนิกายมหายานมานับถือพระศิวะเหมือนเดิม และได้ทำลายภาพจำหลักหินที่เป็นรูปพระพุทธเจ้า ทำลายภาพสลักหินที่เกี่ยวกับพุทธประวัติออกไปจากปราสาทหลายแห่ง อาทิ ปราสาทตาพรหม หลังจากสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 อาณาจักรเขมรเสื่อมอำนาจลงอย่างมาก ราชวงศ์ต่างๆเริ่มเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกัน ในช่วงนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆเกิดขึ้น หัวเมืองต่างๆเริ่มกบฏแข็งข้อและแยกตัวออก รวมไปถึงการขึ้นเป็นใหญ่ของ"อาณาจักรสุโขทัย"

การล่มสลายของอาณาจักรเขมร

แก้

พ.ศ. 1896 ในสมัยพระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรเขมรก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยานำโดยขุนหลวงพระงั่วซึ่งเป็นพี่เมียของพระเจ้าอู่ทองยกทัพโจมตียึดเป็นเมืองขึ้น กองทัพไทยจากพระนครศรีอยุธยาไปรวมกำลังที่นครโคราปุระหรือโคราชหรือนครราชสีมา แล้วแยกกองทัพลงไปโจมตีกัมพูชาเป็น 3 ทางมีทหารไทย มอญ ลาวรวมกันประมาณ 50,000 คนและสามารถทำให้อาณาจักรขอมแตกได้ อาณาจักรเขมรจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา เป็นผลให้อาณาจักรเขมรล่มสลายอย่างสิ้นเชิง จนไม่สามารถฟื้นฟูอาณาจักรให้กลับมายิ่งใหญ่ตามเดิมได้

ยุคมืดของกัมพูชา

แก้

หลังจากนั้นมาเขมรก็กลายเป็นประเทศราชของสยาม ต่อมาในปี พ.ศ. 1936 อาณาจักรเขมรแข็งเมืองจนสมเด็จพระราเมศวร กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพไปยึดเมืองพระนครเมืองหลวงของเขมรได้อีกครั้ง ประมาณว่ากองทัพไทยยกทัพไป 2 ทางมีทหารรวมกันระหว่าง 40,000 – 50,000 คน ในขณะที่กองทัพเขมรมีทหารระดมมาจากทั่วแคว้นประมาณ 100,000 คน ต่อมาในปีพ.ศ. 1974 อาณาจักรเขมรเกิดแข็งเมืองไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาธิการมายังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 โอรสของเจ้านครอินทร์หรือสมเด็จพระอินทราชายกทัพหลวงจากกรุงศรีอยุธยา คาดกันว่ามีกำลังพลประมาณ 60,000 คนไปตีเมืองพระนครของเขมร ยุทธวิธีรบของทหารไทยจากพระนครศรีอยุธยาจัดกำลังออกเป็น 2 กองทัพแรกคือกองทัพบกมีกำลัง 50,000 คนเข้าตีเขมรตรงด้านหน้ามีทั้งทหารช้าง ทหารม้า ทหารราบเครื่องทำลายกำแพงและทหารธนู กองทัพเรือมีกำลัง 10,000 คนล่องเรือไปทางแม่น้ำโขงเป็นเรือพายขนาดใหญ่จู่โจมทางด้านหลัง ฝ่ายอาณาจักรเขมรนั้นได้เกณฑ์ทหารตั้งรับจากทั่วอาณาจักรมีกำลังมากกว่าทหารไทย ประมาณกันว่ามีจำนวนระหว่าง 70,000 – 75,000 คน ประกอบด้วยพลเดินเท้าใช้ดาบยาว 2 มือและดาบยาวกับโล่หรือดั้งป้องกันตัว ทหารธนูมีกำลังพล 1 ใน 5 ของทหารทั้งหมด กองทหารม้ามีหอกยาว ทวนและโตมรพร้อมกับดาบยาวที่เอว เมืองพระนครของเขมรถูกทำลายจนต้องย้ายเมืองหลวงจากเมืองพระนครไปที่เมืองจตุรพักตร์ที่ตั้งของกรุงพนมเปญในปัจจุบัน และต่อมาย้ายไปเมืองละแวกใกล้ริมทะเลสาบเขมร และย้ายไปเมืองศรีสุนทร และเมืองอุดงมีชัย ตามลำดับ

การที่กองทัพไทยตีเมืองพระนครแตกทำให้ขอมหรือเขมรสิ้นอาณาจักร เขมรอยู่ในการปกครองของไทยเรื่อยมาตั้งแต่สมัย อยุธยา กรุงธนบุรี ถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเกิดสงครามอานามสยามยุทธในสมัยรัชกาลที่3 ทำให้กัมพูชากลายเป็นรัฐอารักขาระหว่างสยามและญวณก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา