ดิออฟสปริง (อังกฤษ: The Offspring) เป็นวงร็อกอเมริกันที่ก่อตั้งในการ์เดนโกรฟ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1984[1] สมาชิกปัจจุบันได้แก่ เดกซ์เตอร์ ฮอลแลนด์ (ร้องนำ กีตาร์), นูเดิลส์ (กีตาร์ลีดและกีตาร์ริธึม, ร้องประสาน) และท็อด มอร์ส (เบส และร้องประสาน) วงมีการเปลี่ยนมือกลองบ่อยครั้ง มือกลองคนล่าสุดคือ แบรนดอน เพิร์ซบอร์น อดีตสมาชิกวงมาริลีนแมนสัน และซุยไซด์เทนเดนซีส์ ที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ปี 2023[6]

ดิออฟสปริง
ไฟล์:The Offspring in Sweden 2023 3.0.jpg
ดิออฟสปริงแสดงในปี 2023
ข้อมูลพื้นฐาน
รู้จักในชื่อManic Subsidal (1984-1985)
ที่เกิดการ์เดนโกรฟ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา[1]
แนวเพลงป็อปพังก์[2][3]
พังก์ร็อก[4]
สเกตพังก์[5]
อัลเทอร์เนทีฟร็อก[5]
ช่วงปี1984–ปัจจุบัน
ค่ายเพลงBlack Label, Nemesis, Epitaph, Nitro, Columbia
สมาชิกDexter Holland
Noodles
Brandon Pertzborn
Todd Morse
อดีตสมาชิกGreg K.
Doug Thompson
Jim Benton
James Lilja
Marcus Parrish
Ron Welty
Adam Willard
Pete Parada
เว็บไซต์offspring.com

วงดิออฟสปริงได้รับการยกย่องร่วมกับวงพังก์แคลิฟอร์เนียอย่างกรีนเดย์และแรนซิด ที่นำกระแสพังก์ร็อกกลับมาฟื้นฟูใหม่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างกลางคริสต์ทศวรรษ 1990[7] จนปัจจุบัน ดิออฟสปริงออกผลงานสตูดิโออัลบั้ม 10 ชุด อัลบั้มรวมเพลง 2 ชุด อีพี 4 ชุด และดีวีดี 3 ชุด[8] พวกเขามียอดขายอัลบั้มทั่วโลกกว่า 40 ล้านชุด[9] ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในวงพังก์ร็อกที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล โดยอัลบั้มตั้งแต่ปี 1994 ทุกอัลบั้มมียอดขายเกินล้านชุด[10]

ตั้งแต่ออกผลงานอัลบั้มชุด Smash ที่ถือเป็นอัลบั้มเพลงจากค่ายอิสระที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[11][12] ดิออฟสปริงประสบความสำเร็จด้านยอดขายมากกว่า 5 อัลบั้ม มีซิงเกิลดังอย่าง "Come Out and Play", และ "Self Esteem" อัลบั้มถัดมา 3 อัลบั้ม Ixnay on the Hombre, Americana และ Conspiracy of One ก็ประสบความสำเร็จ ที่ Ixnay on the Hombre และ Conspiracy of One ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาว[13][14] ต่อมาปี 2003 วงออกอัลบั้มที่ 7 ชุด Splinter ที่ได้รับยอดขายที่ดีและได้เสียงวิจารณ์ที่ดีพอควร ในปี 2005 วงออกอัลบั้มรวมฮิตและออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มรวมเพลงนี้ อัลบั้มที่ 8 ของพวกเขาชุด Rise and Fall, Rage and Grace ออกขายเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2008 มีซิงเกิลฮิตอย่าง "You're Gonna Go Far, Kid" และ "Hammerhead" พวกเขาออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 Days Go By ในปี 2012 และอัลบั้มที่ 10 Let the Bad Times Roll ในปี 2021

ผลงานอัลบั้ม แก้

 
ดิออฟสปริงแสดงคอนเสิร์ตในแชร์ลอต์ นอร์ธแคโรไลนา


อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 "The Offspring". Punknews.org. สืบค้นเมื่อ April 1, 2014.
  2. [1] เก็บถาวร 2009-12-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Rolling Stone biography.
  3. "Kerrang "The return of The Offspring"". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-30. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  4. "Rolling Stone". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-15. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  5. 5.0 5.1 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2002-11-19. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  6. "Former Suicidal Tendencies, Marilyn Manson Drummer Brandon Pertzborn Joins The Offspring". Loud Wire. May 13, 2023. สืบค้นเมื่อ August 9, 2023.
  7. DeRogatis, Jim. Milk It!: Collected Musings on the Alternative Music Explosion of the 90's. Cambridge: Da Capo, 2003. Pg. 357, ISBN 0-306-81271-1
  8. For album and single sales information, see the Offspring discography page.
  9. "The Offspring Bring Punk Rock to Stone Pony Summer Stage". longbranch.patch.com. September 7, 2012. สืบค้นเมื่อ January 31, 2013.
  10. "The History". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-12. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  11. "Rolling Stone - Smash Review". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-14. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  12. "The Independent". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-02. สืบค้นเมื่อ 2010-01-16.
  13. RIAA (type in "Offspring" in the artist box), obtained May 31, 2008.
  14. The Offspring at Rockonthenet.com, obtained January 27, 2007.

แหล่งข้อมูล แก้