ซินเดอเรลล่า (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2558)
ซินเดอเรลล่า (อังกฤษ: Cinderella) เป็นภาพยนตร์อเมริกัน-บริติชแนวโรแมนติก แฟนตาซี ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2015 กำกับโดย เคนเนธ บรานาห์ เขียนบทโดย คริส ไวทซ์ ร่วมอำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์, คินเบิร์กชานเร, แอลิสันเชียร์เมอร์โปรดักชันส์ และบีกเกิลพักฟิล์มส เป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดงที่สร้างจากภาพยนตร์แอนิเมชันในชื่อเดียวกันของวอลต์ ดิสนีย์ ในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเทพนิยายในชื่อเดียวกันของชาร์ล แปโร ในปี ค.ศ. 1697[1] แสดงนำโดย ลิลี เจมส์ และ เคต แบลนเชตต์ เป็นตัวละครหลักและแม่เลี้ยงใจร้าย เลดีเทรเมน ตามลำดับ ร่วมด้วย ริชาร์ด แมดเดน, สเต็ลลัน สกอชกวด, ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์, โซฟี แมคชีรา, น็อนโซ่ อะโซนี, เดเร็ค จาโคบี และ เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ เป็นบทบาทสมทบ ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ เอลล่า หรือ ซินเดอเรลล่า เด็กสาวที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อมาภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
ซินเดอเรลล่า | |
---|---|
ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | เคนเนธ บรานาห์ |
บทภาพยนตร์ | คริส ไวทส์ |
สร้างจาก |
|
อำนวยการสร้าง |
|
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | แฮริส แซมบาคลูโก |
ตัดต่อ | มาร์ติน วอลช์ |
ดนตรีประกอบ | แพทริก ดอยล์ |
บริษัทผู้สร้าง |
|
ผู้จัดจำหน่าย | วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์ โมชันพิกเชอส์ |
วันฉาย |
|
ความยาว | 106 นาที[2] |
ประเทศ | |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 90 ล้านดอลลาห์สหรัฐ[5][6] |
ทำเงิน | 540.5 ล้านดอลลาห์สหรัฐ[5] |
ซินเดอเรลล่า เริ่มต้นการพัฒนาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 โดยมีผู้อำนวยการสร้างไซมอน คินเบิร์ก และผู้เขียนบท อลีน บรอช แม็คเคนนามาร่วมโครงงานนี้ มาร์ก โรมาเน็คมีกำหนดการกำกับครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 แต่ออกจากโครงงานในเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 เนื่องจากความแตกต่างเชิงสร้างสรรค์กับดิสนีย์ และถูกแทนที่โดยบรานาห์ ในขณะที่ไวทซ์รับหน้าที่แก้ไขบทของแม็คเคนนา การคัดเลือกนักแสดงเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 โดยแบลนเชตต์เป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับการคัดเลือก เจมส์เซ็นสัญญาเพื่อแสดงบทนำในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 และนักแสดงที่เหลือเข้าร่วมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ค.ศ. 2013 การถ่ายภาพยนตร์ฉากสำคัญเกิดขึ้นที่ไพน์วูดสตูดิโอส์ (Pinewood Studios) ในบักกิงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงธันวาคม ค.ศ. 2013
ซินเดอเรลล่า เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 65 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 และเข้าฉายในสหรัฐเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ในรูปแบบมาตรฐานและไอแมกซ์ จัดจำหน่ายโดยวอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์โมชันพิกเชอส์ ทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 542 ล้านดอลลาห์สหรัฐ และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของบรานาห์ ในฐานะผู้กำกับจนถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์ในแง่บวกจากนักวิจารณ์ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงชิงรางวัลออสการ์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 88, รางวัลคริติกส์ชอยส์มูฟวี่อวอร์ด ครั้งที่ 21 และรางวัลสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์บริติช ครั้งที่ 69
เนื้อเรื่อง
แก้เอลล่า เป็นบุตรสาวของพ่อค้าผู้มั่งมี มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก เป็นเหตุให้บิดาของเอลล่าจำใจแต่งงานใหม่กับ เลดีเทรเมน ซึ่งเป็นม่ายและมีลูกสาวติดมาสองคน คือ ดริเซลลา และ อนาสตาเซีย ไม่นานนักหลังจากนั้น พ่อค้าผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิต ทำให้แม่เลี้ยงใช้งานเอลล่าราวกับเป็นสาวใช้ และบังคับให้เธอไปนอนในห้องใต้หลังคา นางและลูกสาวยังเปลี่ยนชื่อของเอลล่า เป็น "ซินเดอเรลล่า" ที่แปลว่า "สาวน้อยในเถ้าถ่าน" อีกด้วย เพราะใบหน้าเธอเปรอะไปด้วยเถ้าถ่านฟืน
เอลล่ายอมทนลำบากทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดมากกับการถูกใช้งานอย่างหนัก จึงแอบหนีไปจากบ้าน ระหว่างทาง เอลล่าพบเจ้าชายรูปงามพระนามว่า คิท ทั้งสองผูกมิตรภาพกัน ก่อนจะจากลาโดยที่เจ้าชายคิทไม่ทรงทราบชื่อเสียงเรียงนามของเธอเลย เมื่อกลับมาที่พระราชวัง เจ้าชายคิทพบว่า พระราชบิดาทรงออกจดหมายเรียนเชิญหญิงสาวทั่วอาณาจักรให้มาที่พระราชวังเพื่อร่วมงานเต้นรำ เพราะพระองค์ต้องการหาคู่ครองให้กับคิทซึ่งเป็นพระโอรสองค์เดียว จึงใช้งานเต้นรำบังหน้า โดยเจ้าชายคิททรงคาดว่า อาจเป็นโอกาสที่จะได้พบเอลล่าอีกครั้ง
เมื่อรู้ข่าว เอลล่าก็อยากที่จะพบเจ้าชายคิทอีกครั้ง และเธอก็ใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในท้องพระโรงที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ เอลล่าสวมชุดกระโปรงเก่าของแม่เพื่อไปงานเต้นรำ เช่นกันกับเลดีเทรเมน ซึ่งดีใจที่บางทีลูกสาวคนหนึ่งของนางอาจมีโอกาสได้เต้นรำและได้แต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นไปได้ นางและลูกสาวทั้งสองจึงกลั่นแกล้งเอลล่าต่าง ๆ นานาจนเธอไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ เอลล่าเสียใจหนัก จึงหนีไปร้องไห้เพียงลำพัง ทันใดนั้นนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอก็ปรากฏตัวขึ้น และเปลี่ยนฟักทองเป็นรถม้า เปลี่ยนหนูให้เป็นม้า เปลี่ยนกิ้งก่าเป็นทหารรับใช้ และเปลี่ยนห่านให้เป็นคนขับรถ รวมทั้งบันดาลชุดราตรีที่สวยงามที่สุดให้เอลล่า พร้อมกับบอกให้เด็กสาวไปงานเต้นรำ ก่อนจะไปนางฟ้าได้ลบความทรงจำเกี่ยวกับเอลล่าออกจากหัวครอบครัวบุญธรรม แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์จะเสื่อมลงไปในทันที
ภายในงานเต้นรำบังหน้า เจ้าชายคิททรงยินดีที่ได้พบเอลล่า และทรงขอเธอเป็นคู่เต้นรำ ภายในงาน แกรนด์ดยุก คนสนิทของพระราชา พูดคุยนินทาเอลล่ากับเหล่าองครักษ์ เพราะต้องการให้เจ้าชายอภิเษกกับเจ้าหญิงเชลีนาจากต่างเมืองเท่านั้น จนกระทั่งเลดีเทรเมนได้ยินเข้า ส่วนเอลล่าเมื่อได้เต้นรำและพูดคุยกับคิท ทั้งสองก็เริ่มตกหลุมรักกัน ขณะที่เอลล่ากำลังจะสารภาพรักและแนะนำตัวเองกับคิทนั้น ก็ถึงเวลาเที่ยงคืน เอลล่าจึงรีบหนีไปเสียก่อนโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ข้างหนึ่ง เจ้าชายคิทเก็บรองเท้าไว้ได้ จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้น ส่วนเอลล่าเมื่อกลับถึงบ้าน ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เธอซ่อนรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งไว้ในห้องใต้หลังคาเพื่อกันมิให้เลดีเทรเมนพบ
ขณะเดียวกัน พระราชา พระราชบิดาของคิท ก็ทรงประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ ก่อนสิ้นพระชนม์ได้ทรงบอกให้พระโอรสแต่งงานกับหญิงสาวที่เต้นรำด้วยกันครั้งนั้น คิทในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ ทรงออกประกาศให้ "หญิงสาวปริศนา" คนนั้นแสดงตัว เอลล่าเมื่อรู้ข่าวก็รีบไปนำรองเท้าแก้วมาเพื่อยืนยันว่า เธอคือหญิงสาวคนดังกล่าว ทว่า เลดีเทรเมนเข้ามาขวางพร้อมทำลายรองเท้าแก้วนั้นแตกละเอียด เลดีเทรเมนบอกกับเอลล่าว่า หากเธอจะแต่งงานกับคิท เธอต้องยอมแต่งตั้งนางเป็นเคาน์เตส และให้ลูกสาวทั้งสองของนางแต่งงานกับขุนนางสูงศักดิ์ และนางจะลอบปลงพระชนม์คิทเสีย เอลล่าปฏิเสธ เลดีเทรเมนจึงขังเอลล่าไว้ในห้องใต้หลังคา และไปบอกกับแกรนด์ดยุกถึงตัวตนที่แท้จริงของเอลล่า ว่าเป็นเพียงสาวใช้ในบ้านของนาง แกรนด์ดยุกตกลงที่จะแต่งตั้งนางเป็นเคาน์เตส และอนุญาตให้ลูกสาวทั้งสองของนางแต่งงานกับขุนนางมีตระกูล และยังบอกให้นางขังเอลล่าไว้ตลอดไป
ขณะเดียวกัน พระราชาคิทยังทรงไม่ละความพยายามที่จะตามหา "หญิงสาวปริศนา" คนนั้น โดยมอบหมายให้แกรนด์ดยุกและร้อยเอกนำรองเท้าแก้วที่เก็บได้ไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านเลดีเทรเมน เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงสาวปริศนาของพระราชาคิทพบ แต่สุดท้าย พระราชาคิทก็ได้ยินเสียงเอลล่าที่ร้องเพลงอยู่ในห้องใต้หลังคา พระราชาคิททรงให้ร้อยเอกเข้าไปสอบสวนและช่วยเอลล่าออกมา เอลล่าสวมรองเท้าแก้วคู่นั้นได้พอดี พระราชาคิทเมื่อทรงเห็นก็ทรงรู้แล้วว่า หญิงสาวที่พระองค์เต้นรำกันคืนนั้น มิได้เป็นเจ้าหญิงแต่อย่างใด หากแต่เป็นสาวใช้ธรรมดาที่รักพระองค์จริง หลังจากนั้น ก่อนที่เอลล่าจะจากไปพร้อมกับคิท เธอก็ให้อภัยเลดีเทรเมนโดยดี อย่างไรก็ตาม เลดีเทรเมน ลูกสาวของนาง และแกรนด์ดยุกก็ถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรไปตลอดกาล ส่วนเอลล่าได้แต่งงานกับพระราชาคิท ปกครองร่วมกันด้วยความกล้าหาญและเมตตา และมีความสุขตราบนานเท่านาน
นักแสดง
แก้หน้านี้มีเนื้อหาเป็นภาษาต่างประเทศ คุณสามารถช่วยพัฒนาหน้านี้ได้ด้วยการแปล ยกเว้นหากเนื้อหาเกือบทั้งหมดไม่ใช่ภาษาไทย ให้แจ้งลบแทน |
- เคต แบลนเชตต์ แสดงเป็น เลดีเทรเมน, แม่เลี้ยงขี้อิจฉาของเอลล่า ผู้ไม่พอใจลูกเลี้ยงของเธอเพราะจิตวิญญาณและความมีน้ำใจที่ไม่มีวันแตกสลายของเธอ เคทบรรยายตัวละครของเธอว่าเป็น "ผู้หญิงที่พยายามจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง และรู้สึกอิจฉาอย่างมากต่อความรักอันลึกซึ้งที่สามีใหม่ของเธอมีต่อซินเดอเรลล่า ลูกสาวของเขา เธอไม่สวยและไม่ใจดีเท่าซินเดอเรลล่า เมื่อพ่อของซินเดอเรลล่าเสียชีวิต แรงกดดันทางการเงิน ความตื่นตระหนก และความริษยาก็เพิ่มมากขึ้น...นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอชั่วร้าย"[7]
- ลิลี เจมส์ แสดงเป็น เอลล่า/ซินเดอเรลล่า, หญิงสาวผู้เข้มแข็งและจิตใจดีที่ถูกแม่เลี้ยงบังคับให้มาเป็นสาวใช้ในบ้านของเธอเอง James described her character as a "kind, good person that is able to be happy in a cruel environment, and that is her superpower… I think we have to, to get through life, which can throw us off. I think what's amazing about Ella is that she's the best version of herself, at all times."[8]
- เอลัวอิส เวบบ์ แสดงเป็น เอลล่าตอน 10 ขวบ
- ริชาร์ด แมดเดน แสดงเป็น เจ้าชายคิท, a humble and noble soon-to-be king who falls in love with Ella, despite his duty to marry the princess for the good of his kingdom. Madden described his character as "someone who had a sense of humor and who is aware of his own privilege and who has compassion for everyone around him."[9]
- เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ แสดงเป็น นางฟ้าแม่ทูนหัว, a ditzy yet caring sorceress who helps Ella get to the ball. She also serves as the film's narrator.
- น็อนโซ่ อะโซนี แสดงเป็น ร้อยเอก, Kit's sarcastic yet loyal best friend and confidant. Anozie described his character as "somebody who's a bit of a role model and somebody who's rooting for him [Kit] to get what he wants."[10]
- สเต็ลลัน สกอชกวด แสดงเป็น แกรนด์ดยุก, a shady and calculating royal functionary who seeks the prosperity of the kingdom by questionable actions. Unlike his animated counterpart, this version of the character is portrayed in a more antagonistic light. Skarsgård described his character as someone who "runs the show, is very pragmatic, and doesn't approve of the absolutely silly idea that anyone should marry out of love, the Prince included."[1]
- โซฟี แมคชีรา แสดงเป็น ดริเซลลา เทรเมน, Lady Tremaine's vain and shallow biological daughters and Ella's stepsisters. McShera described their characters as "pretty vile, but we look ridiculous, so you can't help but feel a bit sorry for us sometimes"
- ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์ แสดงเป็น อนาสตาเซีย เทรเมน, Lady Tremaine's vain and shallow biological daughters and Ella's stepsisters. Grainger elaborated that "they are both so needy and look up to their mother so much that they have no self-esteem, which manifests itself through jealousy and selfishness directed toward Cinderella."[1]
- เดเร็ค จาโคบี แสดงเป็น พระราชา, Kit's strict yet loving father who wants him to marry both for his own good and for the good of the kingdom. Jacobi described his character as "very traditional in that he wants his son to inherit a safe and secure kingdom, which means he needs to enter into a mutually-advantageous marriage."[1]
The film also features Ben Chaplin and Hayley Atwell as Ella's biological parents. Additionally, Rob Brydon plays Master Phineus, the royal painter. Jana Pérez portrays Princess Chelina of Zaragoza, Kit's unwanted suitor, whom the Grand Duke wants him to marry. Alex Macqueen appears as the Royal Crier. Tom Edden and Gareth Mason play Lizard Footman and Goose Coachman, the human forms of Ella's animal friends. Paul Hunter portrays John, a farmer who works for Ella's family. Joshua McGuire appears as the Palace Official.
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 "Cinderella: Press Release" (PDF). The Walt Disney Company. The Walt Disney Studios. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ July 25, 2018. สืบค้นเมื่อ February 13, 2015.
- ↑ "Cinderella (U)". British Board of Film Classification. สืบค้นเมื่อ March 21, 2015.
- ↑ "Cinderella (2015) | BFI". BFI (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 21, 2017. สืบค้นเมื่อ June 24, 2018.
- ↑ "LUMIERE : Film: Cinderella". Lumiere. สืบค้นเมื่อ June 24, 2018.
- ↑ 5.0 5.1 "Cinderella (2015)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ May 22, 2016.
- ↑ "2015 Feature Film Study" (PDF). FilmL.A. p. 21. สืบค้นเมื่อ May 12, 2018.
- ↑ "Cate Blanchett talks fairytales, evil characters and Cinderella". Now to Love. March 2, 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2023. สืบค้นเมื่อ March 2, 2023.
- ↑ Radish, Christina (March 10, 2015). "CINDERELLA Interview: Lily James". Collider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2023. สืบค้นเมื่อ March 2, 2023.
- ↑ Radish, Christina (March 14, 2015). "CINDERELLA Interview: Richard Madden". Collider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 29, 2023. สืบค้นเมื่อ May 29, 2023.
- ↑ "Nonso Anozie Cinderella Interview". Flicks And The City. February 28, 2015. สืบค้นเมื่อ July 29, 2023 – โดยทาง YouTube.