กินนร, กินรี หรือ กินรา เป็นสิ่งมีชีวิตนักดนตรีครึ่งมนุษย์ครึ่งนกในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ปรากฏเครื่องดนตรีโบราณของอินเดียที่เรียกว่ากินรีวีณา และปรากฏใน อาทิปรวะ ของมหาภารตะ[1] และเชื่อว่าอาศัยอยู่บนหิมาลัย

กินรีและกินนรที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพมหานคร

ในเอกสารของศาสนาพุทธ ปรากฏทั้งในชาดกและสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ในธรรมเนียมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อว่ากินนรและกินรีอาศัยอยู่ในหิมพานต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการร่ายรำ ดนตรี และกวี ส่วนในธรรมเนียมเอเชียตะวันออก นักวิชาการ เอ็ดเวิร์ด เอช. ชัฟเฟอร์ ระบุว่ากินนรมักสับสนกับการเวก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์ครึ่งนกเช่นกัน แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับกินนร[2]

ไทย แก้

ในวัฒนธรรมของไทยมักปรากฏการกล่าวถึงกินรีมากกว่ากินนร โดยกินรีได้รับมาจากตำนานของอินเดีย กินรีแบบไทยมีลักษณะสวมเครื่องแต่งกายแบบเทวดาไทย ช่วงล่างคล้ายนก และสามารถบินไปมาระหว่างโลกมนุษย์และหิมพานต์ได้ กินรีที่เป็นรูปแบบนิยมที่สุดของไทยคือรูปปั้นกินรีทองที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพมหานคร[3]

มโนราเป็นกินรีตนที่เป็นที่รู้จักมากของไทย[4] เป็นตัวละครจากปัญญาสชาดก เขียนราว ค.ศ. 1450–1470[5]

พม่า แก้

 
กินนรบนธงของรัฐกะยา

กินนรในพม่าเรียกว่า เกนนะยา (ကိန္နရာ, [kèɪ̯ɰ̃.nə.jà]) ส่วนกินรีเรียกว่า เกนนะยี (ကိန္နရီ [kèɪ̯ɰ̃.nə.jì]) ในภาษาไทใหญ่คือ กิ่งนะหร่า (ၵိင်ႇၼရႃႇ, [kìŋ.nǎ.ràː]) กับ กิ่งนะหรี่ (ၵိင်ႇၼရီႇ, [kìŋ.nǎ.rì]) ตามลำดับ ธรรมเนียมพุทธแบบพม่าเชื่อว่าในบรรดา 136 อดีตชาติของพระพุทธเจ้า มี 4 ชาติที่เคยประสูติเป็นกินนร

ในวัฒนธรรมร่วมสมัยของพม่าปรากฏรางวัลเมียนมาร์อะคาเดมีเป็นรูปปั้นของกินนร[6] คู่กินนรกับกินรีถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของชาวกะยา[7]

กัมพูชา แก้

ในกัมพูชาเรียกกินนรในภาษาเขมรว่า kenar (កិន្នរ, កិន្នរា; สัทอักษรสากล: [keˈnɑː] หรือ สัทอักษรสากล: [ken nɑ ˈraː]) ส่วนกินรีคือ kinnari (កិន្នរី; สัทอักษรสากล: [ken nɑ ˈrəj]) ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมของเขมรมากกว่ากินนร ถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงามและการร่ายรำ[8]

อินโดนีเซีย แก้

กรากฏประติมากรรมกินนรคู่กินรีที่บุโรพุทโธและปรัมบานัน ในรูปของนกที่มีศีรษะเป็นมนุษย์ มักปรากฏอยู่ปกป้องต้นกาลปาตารูหรือแม้แต่ไหสมบัติ[9] นอกจากนี้ที่บุโรพุทโธยังปรากฏกินรีในชาดก มโนราห์[10]

อ้างอิง แก้

  1. Ghosh, Subodh (2005). Love stories from the Mahabharata, transl. Pradip Bhattacharya. New Delhi: Indialog. p. 71
  2. Schafer, Edward H. (1963). The Golden Peaches of Samarkand: A Study of Tʻang Exotics. University of California Press. p. 103.
  3. Nithi Sthapitanond; Brian Mertens (2012). Architecture of Thailand: A Guide to Tradition and Contemporary Forms. Editions Didier Millet. ISBN 9789814260862.
  4. Schiefner, Anton; Ralston, William Shedden. Tibetan tales, derived from Indian sources. London, K. Paul, Trench, Trübner & co. ltd. 1906. pp. xlviii-l and 44-74.
  5. Reeja Radhakrishnan (2015). The Big Book of World Mythology. Penguin UK. ISBN 9789352140077.
  6. "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2010. สืบค้นเมื่อ 1 September 2010.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  7. "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2007. สืบค้นเมื่อ 1 September 2010.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  8. Headley, Robert K. (1997). Modern Cambodian-English Dictionary, Dunwoody Press
  9. "Pawon". National Library of Indonesia, Temples of Indonesia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-16. สืบค้นเมื่อ 2021-08-27.
  10. Miksic, John (2012). Borobudur: Golden Tales of the Buddhas. Tuttle Publishing. ISBN 9781462909100.