อาร์. แอล. สไตน์

นักเขียนนวนิยายชาวอเมริกัน

โรเบิร์ต ลอว์เรนส์ สไตน์ (อังกฤษ: Robert Lawrence Stine; 8 ตุลาคม พ.ศ. 2486 –) บางครั้งเป็นที่รู้จักในนาม โจเวียล บ็อบ สไตน์, อิริค อาฟาบี และ อาร์. แอล. สไตน์ เป็นนักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น ผู้จัดรายการโทรทัศน์ และนักเขียนบทชาวอเมริกัน เขาได้รับสมญานามว่า "สตีเวน คิงแห่งแวดวงวรรณกรรมเยาวชน"[1] เขามีชื่อเสียงในฐานะนักเขียนนวนิยายแนวสยองขวัญหลายเรื่อง อาทิ เฟียร์สตรีท, ชมรมขนหัวลุก, รอทเทินสคูล และ ดิไนท์แมร์รูม และผลงานอื่นๆ ของเขา อาทิ สเปซคาเดจ, หนังสือเกม ฮาคส์ และบันเทิงคดีแนวตลกขบขันนับสิบเรื่อง ใน พ.ศ. 2551 ผลงานของสไตน์มียอดขายมากถึงสี่ร้อยล้านเล่ม

อาร์. แอล. สไตน์
R. L. Stine at the 2008 Texas Book Festival
สไตน์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เกิดโรเบิร์ต ลอว์เรนส์ สไตน์
8 ตุลาคม พ.ศ. 2486 (80 ปี)
โอไฮโอ, สหรัฐ
นามปากกาโจเวียล บ็อบ สไตน์
อิริค อาฟาบี
อาร์. แอล. สไตน์
อาชีพ
แนววรรณกรรมเยาวชน, สยองขวัญ, ไซไฟ, นวนิยายแฟนตาซี, ตลก
ผลงานที่สำคัญชมรมขนหัวลุก
คู่สมรสเจน เวลด์ฮอน
บุตร1 คน

ลายมือชื่อลายมือชื่อของสไตน์
เว็บไซต์
www.rlstine.com

เกิดที่รัฐโอไฮโอ ในครอบครัวชาวยิวที่ยากจน บิดาของเขาประกอบอาชีพพนักงานส่งของ เขาเริ่มหลงไหลในการเขียนหนังสือเมื่ออายุได้ 9 ปี จากการไปพบเครื่องพิมพ์ดีดที่ห้องใต้หลังคาบ้านเขา เขาจึงเริ่มตีพิมพ์บันเทิงคดีแนวตลก ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนมาจากการอ่านหนังสือการ์ตูน เรื่องเล่าจากหลุมศพ และ สุสานปีศาจ เขาสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอใน พ.ศ. 2503 เคยทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสารของมหาวิทยาลัยถึง 3 ปีก่อนที่จะย้ายไปอาศัยอยู่รัฐนิวยอร์กและเริ่มต้นอาชีพนักเขียนอย่างจริงจัง เขาเริ่มเขียนนวนิยายแนวสยองขวัญเรื่องแรกคือ ไบลน์เดธ ต่อมาใน พ.ศ. 2532 เขาได้เขียนนวนิยายเรื่อง เฟียร์สตรีท และต่อมาเขาได้ประสบความสำเร็จในนวนิยายเรื่อง ชมรมขนหัวลุก โดยนวนิยายของเขาถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง และเขายังติดอันดับผู้ให้ความบันเทิงที่มีรายได้มากที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 36 จาก 40 อันดับ ด้วยรายได้สุทธิ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เขาสมรสกับเจน เวลด์ฮอน ใน พ.ศ. 2512 และมีบุตรด้วยกัน 1 คน

ชีวิตช่วงต้น แก้

สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2486[2] ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ[3][4][5] ในครอบครัวที่ยากจน[6] เป็นบุตรของลูอิสและแอน ไฟน์สไตน์ เขาเริ่มหลงไหลในการเขียนตั้งแต่อายุได้ 9 ปี จกการที่เขาไปพบเครื่องพิมพ์ดีดในห้องใต้หลังคา ต่อมาเขาก็ตีพิมพ์เรื่องสั้นและบันเทิงคดีแนวตลก[7] เขากล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง เรื่องเล่าจากหลุมศพ และ สุสานปีศาจ ใน พ.ศ. 2503 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ จากคณะศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ[8] ระหว่างที่เขาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอเขาได้เป็นบรรณาธิการนิตยาสารแนวอารมณ์ขันของมหาวิทยาลัยเป็นเวลาสามปี ก่อนที่เขาจะย้ายไปยังนิวยอร์กเพื่อเริ่มต้นเส้นทางนักเขียนในเวลาต่อมา

เส้นทางนักเขียน แก้

สไตน์ใน พ.ศ. 2550 (ซ้าย) แจ็ก แบล็ก (ขวา) นักแสดงหลักในภาพยนตร์คืนอัศจรรย์ขนหัวลุกซึ่งได้รับบทเป็นสไตน์

สไตน์เริ่มเขียนวรรณกรรมแนวขบขันสำหรับเด็กหลายสิบเรื่องในนามปากกา "โจเวียล บ็อบ สไตน์" และยังเป็นเจ้าของนิตยสารแนวตลกขบขันสำหรับวัยรุ่นคือ บานานา ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สโกลาติค เพรส และเขาก็ทำงานเป็นนักเขียนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งใน พ.ศ. 2529 เขาได้เขียนนวนิยายแนวสยองขวัญเรื่องแรกในชื่อ ไบลน์เดธ[9] และนิยายในประเภทเดียวกันอีกมากอาทิ เดอะเบบีซิทเทอ, ฮิตแอนด์รัน และ เดอะเกิร์ลเฟรนด์ ต่อมาใน พ.ศ. 2532 เขาได้เขียนนวนิยายเรื่อง เฟียร์สตรีท[10] ก่อนเปิดตัวนวนิยายที่สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่าง ชมรมขนหัวลุก นอกจากนี้เขายังเขียนนวนิยายแนวไซไฟเรื่อง สเปซคาเดท, บอซอซออนพาตอล และใน พ.ศ. 2535 นวนิยายของเขาเรื่องชมรมขนหัวลุก ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการซึ่งถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์พาราชูเต[11]

นวนิยายเรื่อง ชมรมขนหัวลุก ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และออกอากาศใน พ.ศ. 2538-2541[12] ทั้งยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ คืนอัศจรรย์ขนหัวลุก[13] ซึ่งฉายใน พ.ศ. 2558 และ คืนอัศจรรย์ขนหัวลุก หุ่นฝังแค้น ซึ่งฉายใน พ.ศ. 2561 ซึ่งผู้ที่แสดงเป็นตัวเขาในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องคือแจ็ก แบล็ก[14] ส่วนเขาเป็นนักแสดงรับเชิญในฐานะอาจารย์ชื่อ มิสเตอร์แบล็ค ในคืนอัศจรรย์ขนหัวลุก และได้รับบทเป็น อาจารย์แฮร์ริสัน ในคืนอัศจรรย์ขนหัวลุก หุ่นฝังแค้น นอกจากนี้นวนิยายของเขาเรื่อง ชั่วโมงไล่ล่า ยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ดีวีดีเรื่อง ชั่วโมงไล่ล่า แผ่นที่หนึ่ง : อย่าคิดมาก ผลิตและวางจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซลเอนเตอร์เทนเมนท์ ใน พ.ศ. 2550[15]

ใน พ.ศ. 2562 เขาได้พากย์เป็น "บ็อบ แบ็กซ์เตอร์" ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งในภาพยนตร์ชุดเรื่อง อาเธอร์ ในตอน Fright Night ซึ่งออกอากาศในซีซันที่ 23 ซึ่งเขาแสดงตัวตนของเขาออกมาในฐานะนักเขียนนวนิยายสยองขวัญจากภาพยนตร์ชุดเรื่องดังกล่าว[16]

รางวัลและเกียรติยศ แก้

ตามการจัดอันดับ 40 ผู้ที่ให้ความบันเทิงที่มีรายได้มากที่สุดในโลกใน พ.ศ. 2539 - 2540 โดยนิตยสารฟอบส์ เขาอยู่ในอันดับที่ 36 ด้วยรายได้สุทธิ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (หรือราว 1,363 ล้านบาทไทย) และผลงานของเขายังสามารถขายได้ถึงสี่ร้อยล้านเล่มใน พ.ศ. 2551[17] และในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ยกย่องให้เขาเป็นนักเขียนที่หนังสือขายดีเป็นอันดับต้นในสหรัฐ[18]

เขายังได้รับรางวัลในฐานะนักเขียนเป็นจำนวนมาก อาทิ แชมป์เปียนออฟรีดดิงอวอร์ดส์ จากห้องสมุดสาธารณะฟิลาเดเฟีย เมื่อ พ.ศ. 2545, รางวัลดิสนีย์แอดเวนเจอร์คิดส์ชอยส์อวอรดส์จากดิสนีย์ สาขาหนังสือสยองขวัญยอดเยี่ยม (ได้รับรางวัลนี้ถึงสามครั้ง), นิเกลโลดิออนคิดส์ชอยส์อวอร์ด (ได้รับรางวัลนี้ถึงสามครั้ง)[18], รางวัลนักเขียนแนวทริลเลอร์แห่งอเมริกา ใน พ.ศ. 2550, รางวัลไลฟ์ไทม์อาร์ชิฟิเมนอวอร์ด จากสมาคมนักเขยีนสยองขวัญในสหรัฐ ใน พ.ศ. 2557[19] และรางวัลอิงค์พอร์ตอวร์ดส์ ใน พ.ศ. 2560[20] นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2546 กินเนสบุ๊คได้ยกให้เขาเป็นนักเขียนหนังสือแนววรรณกรรมเยาวชนที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

ชีวิตส่วนตัว แก้

ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2512 เขาสมรสกับเจน เวลด์ฮอน ซึ่งเป็นนักเขียนเช่นเดียวกันกับเขา และต่อมาพวกเขาก็ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์พาราชูเตใน พ.ศ. 2526[21] ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันเพียงคนเดียวคือแมทธิว สไตน์ เป็นนักดนตรี[22]

อ้างอิง แก้

  1. "Emily Osment stars in 'R.L. Stine's "The Haunting Hour"". Cape Cod Times. ตุลาคม 26, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 8, 2011. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 24, 2011.
  2. "R.L. Stine". Ohio Reading Road Trip. สืบค้นเมื่อ February 27, 2011.
  3. "The Nightmare Room by R.L. Stine". KidsReads.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-07. สืบค้นเมื่อ May 11, 2011.
  4. "Stine, R. L. 1943–". encyclopedia.com.
  5. Gordon, Ken (December 9, 2013). "R.L. Stine still scaring up kids' stories". The Columbus Dispatch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-30. สืบค้นเมื่อ November 22, 2014.
  6. ‘อาร์.แอล. สไตน์’ คุณลุงนักเขียน ผู้มีความสุขที่ได้แกล้งเด็กให้กลัวด้วยเรื่องเขย่าขวัญ
  7. MacPherson, Karen (April 8, 2008). "Venture into R.L. Stine's 'HorrorLand' – if you dare!". Pittsburgh Post-Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-13. สืบค้นเมื่อ February 27, 2011.
  8. "2011 Thrillermaster: R.L. Stine". ThrillerFest. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 17, 2011. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 25, 2011.
  9. Rosenberg, Joyce M. (October 27, 1996). "Success gives bookstores Goosebumps". The Albany Herald. สืบค้นเมื่อ February 27, 2011.
  10. Meister, Cari (2001). R.L. Stine. ABDO Publishing Company. p. 17. ISBN 1-57765-484-6. สืบค้นเมื่อ May 15, 2011.
  11. "About R.L. – For book and school reports". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 27, 2013. สืบค้นเมื่อ February 27, 2011.
  12. Gunelius, Susan (2008). Harry Potter: The Story of a Global Business Phenomenon. Palgrave Macmillan. p. 58. ISBN 978-0-230-20323-5.
  13. “โมโนแมกซ์” ชวนจับปีศาจสุดป่วนกลับคืนสู่หนังสือ ในภาพยนตร์ “Goosebumps คืนอัศจรรย์ขนหัวลุก”
  14. Stine, R. L. (May 20, 2014). ".@mdroush Jack Black plays me in the GB movie, now filming in GA. I'm going down to do a cameo next month". Twitter. สืบค้นเมื่อ May 24, 2014.
  15. "Cartoon Network – it's not ..." The Washington Post. August 31, 2007. สืบค้นเมื่อ November 11, 2012.[ลิงก์เสีย]
  16. Smith, Meghan (October 30, 2020). "'Goosebumps' Author R.L. Stine On Frightening Generations And Voicing A Creepy Character For 'Arthur'". GBH. สืบค้นเมื่อ October 30, 2020.
  17. "Venture into R.L. Stine's 'HorrorLand' – if you dare!". post-gazette.com. April 8, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-13. สืบค้นเมื่อ May 14, 2011.
  18. 18.0 18.1 "R.L. Stine". Parachute Publishing. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 4, 2011. สืบค้นเมื่อ February 27, 2011.
  19. "Stine, Jones Win Horror Writers Association's Lifetime Achievement Award". Publishers Weekly. February 25, 2014. สืบค้นเมื่อ March 13, 2014.
  20. Inkpot Award
  21. "Books and entertainment kids choose for themselves". Parachute Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กุมภาพันธ์ 4, 2011. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 25, 2011.
  22. "Elisabeth Weinberg, Matthew Stine". The New York Times. July 2, 2010. สืบค้นเมื่อ February 25, 2011.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้