เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม

พระราชินีนาถแห่งเยรูซาเลม

เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม (ฝรั่งเศส: Mélisende de Jérusalem; อังกฤษ: Melisende of Jerusalem) เป็นพระธิดาของพระเจ้าโบดวงที่ 2 กษัตริย์นักรบครูเสดแห่งเยรูซาเลม เมลีแซงด์ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระบิดาเป็นกษัตริยาปกครองเยรูซาเลมยาวนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1131 ถึง ค.ศ. 1153

เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม
พระมหากษัตริยาแห่งเยรูซาเลม
ครองราชย์ค.ศ. 1131–1152
ราชาภิเษก14 กันยายน ค.ศ. 1131
ก่อนหน้าพระเจ้าโบดวงที่ 2
ถัดไปพระเจ้าโบดวงที่ 3
ผู้ครองราชสมบัติร่วม
ประสูติป. ค.ศ. 1110
สวรรคต11 กันยายน ค.ศ. 1161 (51–52 ปี)
ฝังพระศพอารามพระแม่มารีย์แห่งหุบเขาเยโฮชาฟัท
คู่อภิเษกพระเจ้าฟูลค์แห่งเยรูซาเลม
พระราชบุตร
ราชวงศ์เรอแตล
พระราชบิดาพระเจ้าโบดวงที่ 2
พระราชมารดามอร์เฟียแห่งเมลีแตง
ศาสนาโรมันคาทอลิก

วัยเยาว์

แก้

เมลีแซงด์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ ค.ศ. 1105 ในเคาน์ตีอิเดสซา รัฐครูเสดที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1098 โดยทรงเป็นพระราชธิดาของโบดวงที่ 2 เคานต์แห่งเอดเดสสากับมอร์เฟียแห่งเมลีแตง ธิดาเจ้าชายอาร์เมเนียผู้ปกครองมาลัตยา

มอร์เฟียเป็นเพื่อนคู่คิดทางการเมืองของโบดวง ทั้งคู่มีพระราชธิดาด้วยกัน 4 พระองค์ ได้แก่ เมลีแซงด์, อาลิกซ์แห่งแอนติออก, ฮอดิเอร์นา เคาน์เตสแห่งตริโปลี และ โยเวตา (พระอธิการิณีแห่งบีตาเนีย)

ใน ค.ศ. 1118 โบดวงขึ้นเป็นพระเจ้าโบดวงที่ 2 แห่งเยรูซาเลม เหล่าขุนนางแนะนำให้พระองค์ทิ้งมอร์เฟียเนื่องจากนางมีแต่พระราชธิดา พระองค์เป็นกษัตริย์ ควรอภิเษกสมรสเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองและควรมีพระราชโอรส ทว่าพระเจ้าโบดวงที่ 2 ไม่ยอมทิ้งพระมเหสีและได้เลี้ยงดูเมลีแซงด์ พระราชธิดาองค์โตมาอย่างทายาท พระนางถูกเรียกว่า “พระราชธิดาของกษัตริย์และรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรเยรูซาเลม” ใน ค.ศ. 1128 เมลีแซงด์ถูกประกาศเป็นผู้ราชบังลังก์อย่างเป็นทางการ

ฟูลค์แห่งอ็องฌู

แก้
 
ภาพพิธีบรมราชาภิเษกของเมลีแซงด์และพระเจ้าฟูลค์ วาดในคริสต์ศตวรรษที่ 13

พระเจ้าโบดวงหันไปผูกมิตรกับฝรั่งเศส พระองค์มองหาพระสวามีที่เหมาะสม ผู้ที่จะช่วยค้ำจุนตำแหน่งกษัตริยาให้พระราชธิดา พระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสได้แนะนำฟูลค์ที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌูและเมนให้ พระเจ้าโบดวงทรงให้พระราชธิดาสมรสกับฟูลค์แห่งอ็องฌูใน ค.ศ. 1129 ฟูลค์มีอายุมากกว่าเมลีแซงด์ถึง 16 ปีและมีลูกติด คือ จูฟเฟรย์แห่งอ็องฌู ฟูลค์ได้ยกอ็องฌูให้แก่บุตรชาย เพื่อให้จูฟเฟรย์มีหน้ามีตาพอที่จะสมรสกับมาทิลดาแห่งอังกฤษ พระราชธิดาและทายาทของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษ

หลังสมรสฟูลค์แสดงออกว่าต้องการยึดตำแหน่งกษัตริยาในอนาคตของเมลีแซงด์และให้พระนางได้เป็นเพียงพระราชินีคู่สมรส ใน ค.ศ. 1130 เมลีแซงด์ให้กำเนิดพระโอรสซึ่งใช้ชื่อเดียวกับพระอัยกา คือ โบดวง พระเจ้าโบดวงที่ 2 ได้ทำพิธีราชาภิเษกให้พระธิดา, พระชามาดา และพระนัดดาได้ปกครองเยรูซาเลมร่วมกัน โดยให้สิทธิขาดในการเลี้ยงดูพระโอรสแก่เมลีแซงด์ ซึ่งเป็นการลดทอนอิทธิพลของฟูลค์

กษัตริยาแห่งเยรูซาเลม

แก้

การปกครองร่วมกับพระเจ้าฟูลค์

แก้

หลังพระเจ้าโบดวงที่ 2 สวรรคตไปในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1131 พระราชินีเมลีแซงด์ได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติร่วมกับพระเจ้าฟูลค์ พระสวามีผู้คอยงัดอำนาจทางการเมืองกับพระนาง พระเจ้าฟูลค์พยายามทำลายอำนาจชื่อเสียงด้วยการกล่าวหาว่าพระนางคบชู้กับอูก เลอ พวีเซ พระราชภาดาของพระนาง เพื่อบั่นทอนอำนาจทางการเมืองของพระราชินีเมลีแซงด์ แต่ไม่มีใครเชื่อ อูเตอคูร์หรือสภาศักดินาแห่งราชอาณาจักรเยรูซาเลมเลือกสนับสนุนพระราชินี

ความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับกษัตริยาตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสงครามใน ค.ศ. 1134 พระราชินีเมลีแซงด์ปราบฝ่ายพระสวามีได้ในปี ค.ศ. 1135 ต่อมาทั้งคู่คืนดีกันและมีพระโอรสด้วยกันอีกคน คือ อามอรี ใน ค.ศ. 1136  พระราชินีเมลีแซงด์กับพระเจ้าฟูลค์ปกครองบ้านเมืองร่วมกันต่อไปจนกระทั่งใน ค.ศ. 1143 พระเจ้าฟูลค์ทรงประสบอุบัติเหตุระหว่างล่าสัตว์จนสวรรคต พระโอรสองค์โต คือ พระเจ้าโบดวงที่ 3 จึงได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติร่วมกับพระราชมารดา แต่เนื่องจากพระโอรสยังทรงพระเยาว์ พระราชินีเมลีแซงด์จึงควบตำแหน่งเป็นทั้งกษัตริย์ร่วมและผู้สำเร็จราชการในพระโอรส พระนางจึงมีอำนาจสิทธิขาดในการบริหารบ้านเมืองแต่เพียงผู้เดียว

การปกครองร่วมกับพระเจ้าโบดวงที่ 3

แก้

พระราชินีเมลีแซงด์กับพระเจ้าโบดวงที่ 3 มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน พระนางสนิทกับพระราชโอรสทั้งสอง แต่ไม่ยอมให้อำนาจสิทธิขาดใดๆ แก่พระราชโอรส พระนางบริหารบ้านเมืองแต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่ ค.ศ. 1131 จนถึง ค.ศ. 1153 โดยมีฐานอำนาจอยู่ในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ ระหว่างนั้นพระเจ้าโบดวงที่ 3 เติบโตเป็นผู้บัญชาการทหารมากฝีมือ แต่พระราชินีเมลีแซงด์ยังไม่ยอมแบ่งอำนาจใดๆ ให้ ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างพระมารดากับพระโอรส

ใน ค.ศ. 1150 พระเจ้าโบดวงที่ 3 ต้องการบริหารบ้านเมืองอย่างเต็มตัว อูเตอคูร์จึงแก้ไขปัญหาอย่างประนีประนอมด้วยการแบ่งราชอาณาจักรออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนเหนือและส่วนใต้ พระเจ้าโบดวงได้ปกครองราชอาณาจักรส่วนเหนือซึ่งมีนครเอเคอร์และนครไทร์ ส่วนพระราชินีเมลีแซงด์ได้ปกครองเป็นกษัตริยาของราชอาณาจักรส่วนใต้ซึ่งมีเมืองนาบลัสและนครเยรูซาเลม

พระเจ้าโบดวงทรงไม่พอพระทัยกับข้อสรุปนี้ พระองค์จึงนำทัพบุกเยรูซาเลมใน ค.ศ. 1152 สุดท้ายคริสตจักรเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายสงบศึกกันได้ พระราชินีเมลีแซงด์เหลือเพียงนครนาบลัสและถูกลดอำนาจเป็นเพียงขุนนางท้องถิ่น แม้โดยภาพรวมจะพ่ายแพ้แต่พระนางยังคงมีอิทธิพล สองแม่ลูกคืนดีกัน พระเจ้าโบดวงที่ 3 วางใจให้พระราชมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการในยามที่พระองค์ออกทำศึกแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์

สวรรคต

แก้

ใน ค.ศ. 1161 พระนางเมลีแซงด์หลอดพระโลหิตในพระมัตถลุงค์แตกจนทำให้ความจำบกพร่อง พระนางเสด็จสวรรคตในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1161 วิลเลียมแห่งไทร์ผู้อยู่ร่วมยุคเดียวกันกล่าวถึงพระนางว่าเป็นหญิงฉลาด เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการบริหารกิจการบ้านเมือง อยู่เหนือข้อจำกัดทางเพศ และทำหน้าที่สำคัญได้อย่างไร้ข้อกังขา

พระเจ้าโบดวงที่ 3 พระโอรสของพระองค์สวรรคตในอีกสองปีต่อมา อามอรี พระราชโอรสองค์เล็กได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อ

อ้างอิง

แก้