วัยรุ่น (อังกฤษ: adolescence จาก ภาษาละติน adolescere  'to mature') หรือ วัยหนุ่มสาว , วัยเจริญพันธุ์ หมายถึง ช่วงอายุระหว่าง 11-25 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในหลายด้าน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ วัยรุ่นจะเป็นวัยระหว่างวัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ (มักสอดคล้องกับนิติภาวะ)[1][2] [3][4]

เด็กวัยรุ่นสองคนฟังดนตรีด้วยหูฟัง

ได้มีการแบ่งวัยรุ่นออกเป็น 3 ช่วง คือ ตั้งแต่ อายุ 11-15 ปี จัดเป็นวัยรุ่นตอนต้น ตั้งแต่อายุ 16-20 ปี จัดเป็นวัยรุ่นตอนกลาง ตั้งแต่อายุ 21-25 ปี จัดเป็นวัยรุ่นตอนปลาย

วัยรุ่นตอนต้น (อายุ 11-15 ปี) เน้นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เห็นได้ชัดเจน เริ่มสนใจเพื่อนและเข้ากลุ่ม

วัยรุ่นตอนกลาง (อายุ 16-20 ปี) เน้นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เป็นช่วงที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูง ต้องการอิสระมากขึ้น ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกและความรักใคร่

วัยรุ่นตอนปลาย (อายุ 21-25 ปี) เน้นการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เริ่มมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มองถึงอนาคตและวางแผนชีวิต มีความรับผิดชอบมากขึ้น ให้ความสนใจต่อสังคมมากขึ้น อาจอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้นในมุมมองความคิดของตน

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของร่างกาย อวัยวะเพศพัฒนาเต็มที่ เริ่มมีลักษณะทางเพศที่ชัดเจน (เช่น การมีประจำเดือนในเพศหญิง มีหน้าอกของเพศหญิง เสียงแหลมในเพศหญิง เสียงแตกหนุ่มในเพศชาย ) และอาจมีสิวหรือขนที่เพิ่มขึ้นตามร่างกาย หรือมีกลิ่นตัวซึ่งเป็นการปล่อยฟีโรโมนเพื่อกระตุ้นความสนใจของเพศตรงข้าม

ในช่วงวัยรุ่นผู้ชายจะมีเสียงแหบห้าวขึ้น เริ่มมีขนตรงอวัยวะเพศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรักแร้ ขา และตรงลำคอเริ่มมีลูกกระเดือกและเริ่มมีความรู้สึกทางเพศโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นตอนต้นมักจะสนใจผู้หญิงที่อายุมากกว่าเนื่องจากผู้หญิงที่แก่กว่าดูเป็นสาวเต็มตัวดูแล้วสมวัยกันต่างจากผู้หญิงในวัยเดียวกันยังดูเด็ก ๆ อยู่ และบางรายมีฝันเปียกรวมถึงอาการเจ็บเต้านม

เด็กวัยรุ่นผู้หญิง หน้าอกจะผายเริ่มมีเม็ดไตที่แข็ง มีขนขึ้นตามร่างกาย หรือแม้กระทั่งอวัยวะเพศ เริ่มมีประจำเดือน เริ่มมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น เริ่มมีเสียงที่แหลม รูปร่างจะสูงขึ้น กระชับและได้สัดส่วนมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย อ่อนไหว มีความต้องการความเป็นอิสระมากขึ้น เริ่มค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง สนใจเรื่องเพศและความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ/เพศเดียวกัน ให้ความสำคัญกับกลุ่มเพื่อน

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนสูงขึ้น เริ่มเรียนรู้บทบาททางสังคมและความคาดหวังของสังคม

การเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญา มีความคิดที่เป็นนามธรรมมากขึ้น สามารถคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้มากขึ้น เริ่มวางแผนและมองถึงอนาคต

วัยรุ่นในทางวิทยาศาสตร์ จะตัดสินจากกระบวนการพัฒนาการของสมอง ที่จะเกิดขึ้นสองครั้ง คือช่วงอายุ 10 ปี และช่วงอายุ 25 ปี ของมนุษย์[4][5]เมื่อมนุษย์มีอายุได้ 10 ปี สมองจะเริ่มกระบวนการพัฒนาการให้สมองและร่างกายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มสนใจเพศตรงข้าม ใส่ใจความคิดเห็นของผู้อื่น ดังนั้นในทางวิทยาศาสตร์จะถือว่าอายุน้อยกว่า 10 ปีลงไป จะถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ [6] และเมื่อมนุษย์มีอายุถึง 25 ปี สมองจะเริ่มกระบวนการพัฒนาการของสมองอีกครั้ง ดังนั้นในทางวิทยาศาสตร์ จะถือว่ามนุษย์ที่อายุ 26 ขึ้นไป จัดว่าเป็นผู้ใหญ่[7]

จากการศึกษาสันนิษฐานว่าการพัฒนาการของสมองครั้งแรกตอนอายุ 10 ปี เพื่อให้มนุษย์เปลี่ยนจากวัยเด็ก สู่วัยรุ่นเพื่อให้มนุษย์ผสมพันธุ์กันเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ให้แก่มนุษยชาติ สมองของวัยรุ่นจึงมีลักษณะห่วงฝูงรักฝูง เพื่อให้ติดฝูงไม่ทิ้งฝูงหนีไป การพัฒนาการของสมองครั้งที่สองตอนอายุ 25 ปี ก็เพื่อให้มนุษย์เปลี่ยนจากวัยรุ่น สู่วัยผู้ใหญ่ เพื่อให้มนุษย์ที่โตเต็มที่สามารถเลือกได้ว่าจะแยกฝูงหรืออยู่กับฝูงต่อไป ซึ่งมีผลต่อการรอดชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะถ้าฝูงมีขนาดเล็กเกินไปพลังในการป้องกันตัวก็จะน้อยตาม แต่ถ้าฝูงมีขนาดใหญ่เกินไป จะหากินลำบากเพราะทรัพยากรอาจขาดแคลน การที่มนุษย์ผู้ใหญ่สามารถแยกฝูงได้ ย่อมเพิ่มขีดความสามารถในการหาทรัพยากรและแบ่งพื้นที่หากินได้กว้างขวางขึ้น ทำให้เพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้มากขึ้นไปอีก

การสิ้นสุดของการเป็นวัยรุ่นและเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มักจะสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของเสรีภาพที่ได้รับจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง หรือความสามารถในการตัดสินใจในบางเรื่องโดยไม่ต้องขอความยินยอม ซึ่งเกณฑ์อายุของวัยรุ่นไปสู่ผู้ใหญ่ในแต่ล่ะวัฒนธรรมค่อนข้างมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศหรือตามกลุ่มสังคม เช่น สังคมไทยจะถือว่าอายุ 20 ปีเป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้ว มีสิทธิเพิ่มขึ้นตามกฎหมาย เช่น สิทธิในการจดทะเบียนสมรส เป็นต้น เพราะศาสนาพุทธนิกายเถรวาทที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือที่กำหนดไว้ว่าคนอายุ 20 จึงจะบวชพระภิกษุได้นั่นเอง ซึ่งมีผลต่อการที่ผู้ชายสัญชาติไทยต้องเกณฑ์ทหารเมื่อมีอายุครบ 20 ปีอีกด้วย

ในทางกฎหมายจะกำหนดไว้ว่าอายุ 18 ปี พ้นจากการเป็นเด็กหรือเยาวชน ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดกฎหมายตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ ที่ให้กำหนดเกณฑ์อายุว่าการพ้นจากเด็กหรือเยาวชนต้องมีอายุถึง 18 ปี เพื่อเพิ่มสิทธิทางกฎหมายให้กับเด็กหรือเยาวชนให้นานที่สุด ดังนั้น เกณฑ์ทางกฎหมายในประเทศไทย คือ เมื่ออายุ 18 ปี คือพ้นจากเด็กเป็นวัยรุ่น และ อายุ 20 ปี จะพ้นจากวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่

วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการวางรากฐานสำหรับการเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การสนับสนุนและเข้าใจจากครอบครัว โรงเรียน และสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้วัยรุ่นสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ พัฒนาศักยภาพของตนเอง และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ

ปัญหาของวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน

แก้

1.แรงกดดันทางสังคมที่สูงขึ้น

โลกปัจจุบันเชื่อมต่อกันมากขึ้นผ่านเทคโนโลยี ทำให้วัยรุ่นได้รับรู้เรื่องราวและความสำเร็จของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในโรงเรียน อินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่คนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์ การเห็นเพื่อนโพสต์ภาพชีวิตหรูหรา การได้รับชมคลิปวิดีโอความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หรือการถูกสังคมตัดสินจากยอดผู้ติดตามและจำนวนไลก์ในโซเชียลมีเดีย สิ่งเหล่านี้สร้างความรู้สึกกดดันให้วัยรุ่นต้อง "เก่ง" "ดี" "ดูดี" และ "ประสบความสำเร็จ" อย่างรวดเร็ว ความกดดันนี้อาจนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นจนรู้สึกด้อยค่า และอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อพยายามให้ได้รับการยอมรับ เช่น การกลั่นแกล้ง การสร้างภาพที่ไม่ตรงกับความจริง หรือการหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก

2.ความไม่แน่นอนในอนาคต

สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นในปัจจุบันเติบโตมาในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนต่อ การทำงาน หรือแม้แต่ความมั่นคงในชีวิต การแข่งขันในตลาดแรงงานที่สูงขึ้น เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอย่างรวดเร็ว ปัญหาโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้วัยรุ่นรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง ความไม่แน่นอนนี้อาจนำไปสู่ความรู้สึกเคว้งคว้าง ขาดแรงจูงใจในการวางแผนอนาคต ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ และอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

3.ความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และโลกจริง

เทคโนโลยีและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของวัยรุ่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่การขาดความเข้าใจและการจัดการที่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ได้ การใช้เวลามากเกินไปบนโลกออนไลน์จนละเลยกิจกรรมในโลกจริง การเสพติดโซเชียลมีเดีย การเผชิญกับการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Cyberbullying) การถูกหลอกลวง หรือการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสังคม อารมณ์ และสติปัญญาของวัยรุ่น ปัญหาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง การขาดทักษะทางสังคมในโลกจริง ปัญหาด้านสุขภาพ เช่น สายตาเสีย สมาธิสั้น ปัญหาการนอนหลับ และความเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์ออนไลน์

4.การเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและวัฒนธรรม

สังคมมีการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและวัฒนธรรมอยู่เสมอ วัยรุ่นในปัจจุบันเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตมากขึ้น การเปิดกว้างทางเพศ การให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเท่าเทียม การตั้งคำถามต่อขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม หรือการให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิดกับคนรุ่นก่อน หรือความสับสนในการกำหนดอัตลักษณ์ของตนเอง ความรู้สึกไม่เข้าใจหรือไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับสังคม และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน

5.ปัญหาด้านสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร

ปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจังภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล โรคสมาธิสั้น ปัญหาการกิน หรือการใช้สารเสพติด ปัญหาเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ปัญหาสุขภาพจิตอาจส่งผลกระทบรุนแรงในระยะยาว

ปัญหาของวัยรุ่นในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อน ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายด้านที่เชื่อมโยงกัน การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของปัญหาเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้สามารถหาแนวทางในการสนับสนุนและช่วยเหลือวัยรุ่นให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีความสุขได้

อ้างอิง

แก้
  1. Stehlik, Thomas (2018). Educational Philosophy for 21st Century Teachers. Springer. p. 131. ISBN 978-3319759692.
  2. Hu, Julie Xuemei; Nash, Shondrah Tarrezz (2019). Marriage and the Family: Mirror of a Diverse Global Society. Routledge. p. 302. ISBN 978-1317279846.
  3. "Puberty and adolescence". MedlinePlus. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 3, 2013. สืบค้นเมื่อ July 22, 2014.
  4. 4.0 4.1 "Adolescence". Psychology Today. สืบค้นเมื่อ April 7, 2012.
  5. Dorn L. D.; Biro F. M. (2011). "Puberty and Its Measurement: A Decade in Review. [Review]". Journal of Research on Adolescence. 21 (1): 180–195. doi:10.1111/j.1532-7795.2010.00722.x.
  6. Jaworska, Natalia; MacQueen, Glenda (September 2015). "Adolescence as a unique developmental period". Journal of Psychiatry & Neuroscience. 40 (5): 291–293. doi:10.1503/jpn.150268. PMC 4543091. PMID 26290063.
  7. "Adolescent health". www.who.int (ภาษาอังกฤษ).

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้