ยุทธนาวีที่โคเปนเฮเกน

ยุทธนาวีที่โคเปนเฮเกน (อังกฤษ: Battle of Copenhagen) เมื่อกองเรืออังกฤษภายใต้การบัญชาของพลเรือโท เซอร์ ไฮด์ ปาร์เกอร์ และพลเรือโทโฮราชิโอ เนลสัน เข้าต่อสู้กับกองเรืออันมหึมาของเดนมาร์กซึ่งทอดสมออยู่ที่ปากน้ำของกรุงโคเปนเฮเกน ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1801 กองเรือเดนมาร์กที่ปากน้ำนั้นได้จัดกระบวนเพื่อล้อมท่าเรือโคเปนเฮเกนไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เรือของอังกฤษเข้ามายังท่าเรือได้ ซึ่งเรือส่วนใหญ่ที่ฝ่ายเดนมาร์กใช้นั้นเป็นเรือสภาพเก่าที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อล่องในทะเลใหญ่ๆ เดนมาร์กได้ป้องกันกรุงโคเปนเฮเกนด้วยเรือเหล่านี้ตลอดจนด้วยป้อมปืนที่สองฝั่งของปากแม่น้ำ

ยุทธนาวีที่โคเปนเฮเกน
ส่วนหนึ่งของ สงครามประสานมิตรครั้งที่สอง

กระบวนเรืออังกฤษกำลังข้ามไปส่วนหน้าเป็นแนวทแยง โดยมีกรุงโคเปนเฮเกนอยู่เบื้องหลังกองเรือเดนมาร์ก
วันที่2 เมษายน ค.ศ. 1801
สถานที่
ผล อังกฤษชนะแบบไม่ขาดลอย
คู่สงคราม
 สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก-นอร์เวย์
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เซอร์ ไฮด์ ปาร์เกอร์
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ลอร์ดเนลสัน
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ทอมัส เกรฟส์
ออลเฟิร์ท ฟิสเชอร์
ชตีน บิลเลอ
กำลัง
กองเรือเนลสัน:
12 เรือในกระบวน
5 เรือฟริเกต
7 เรือระเบิด
6 เรือเสากระโดงเดี่ยว
กองเรือฟิเชอร์:
9 เรือในกระบวน
11 เรือเสากระโดงเดี่ยว
กองทหารของบิลเลอ: 17 เรือรบ, 1 ปืนใหญ่ชายฝั่ง, 2,000 ทหารราบ
ความสูญเสีย
1,200 ตายและบาดเจ็บ[1] 1,600 ตายและบาดเจ็บ[1]

มูลเหตุ แก้

เดนมาร์ก ถือเปนหนึ่งในประเทศสมาชิกสันนิบาตความเป็นกลางทางอาวุธ (League of Armed Neutrality) ร่วมกับ สวีเดน ปรัสเซีย และรัสเซีย สันนิบาตนี้ได้รับสิทธิการค้าเสรีกับฝรั่งเศส ทำให้อังกฤษมองว่าสันนิบาตนี้เป็นผลประโยชน์มหาศาลของฝรั่งเศส และความแข็งแกร่งของฝรั่งเศสย่อมนำมาซึ่งภัยคุกคามต่ออังกฤษ อังกฤษจึงได้พยายามบ่อนทำลายสันนิบาตการค้าเสรีนี้ โดยการใช้กองเรือของตนเอง ค้นหาและยึดเรือของสันนิบาตที่จะทำการค้าไปยังฝรั่งเศส[2] ยุทธการครั้งนี้ถือเป็นความพยายามครั้งที่สองของอังกฤษเพื่อข่มขู่เดนมาร์ก หลังจากที่อังกฤษได้นำกองเรือของตนฝ่าเข้าไปทอดสมอยังเมืองเออเรซุนด์แล้วในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1800 เพื่อกดดันให้เดนมาร์กยอมลงนามเป็นพันธมิตรกับตนเอง

เหตุการณ์ แก้

ฝ่ายอังกฤษแบ่งเรือรบออกเป็นสองกอง คือกองหน้าของพลเรือโทเนลสันนำโดยเรือหลวงเอเลแฟน (HMS Elephant) เป็นเรือธง และกองหลังของพลเรือโทปาร์เกอร์นำโดยเรือหลวงลอนดอน (HMS London) เป็นเรือธง ระหว่างการรบนั้นเอง พลเรือโทปาร์เกอร์ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์รบได้ถนัดเนื่องจากควันปืนใหญ่คละคลุ้งไปหมด ทำให้ไม่รู้ว่าตอนนี้อังกฤษกำลังได้เปรียบหรือกำลังเพลี่ยงพล้ำ แต่ปาร์เกอร์ดันไปเห็นธงสัญญาณบอกว่าไม่สามารถรุดหน้าได้[3] จากเรือรบสามของกองเรือเนลสันได้ ทำให้ปาร์เกอร์คิดว่า เนลสันอาจจะอยากถอนกำลังแต่ติดที่ไม่สามารถทำได้โดยไม่มีคำสั่งจากเขา แต่ด้วยความที่ปาร์เกอร์รู้นิสัยของเนลสัน ในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ปาร์เกอร์จึงบอกให้นายธงว่า "ชั้นจะให้สัญญาณตามที่เนลสันต้องการ ถ้าเกิดเขาคิดว่าเขายังสู้ไหว เขาก็คงปล่อยผ่านเอง แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น เขาจะได้มีข้อแก้ตัวและไม่มีใครตำหนิที่เขาถอนทัพ"[4]

 
ยุทธนาวีที่โคเปนเฮเกน

เนลสันสามารถมองเห็นธงสัญญาณถอนทัพของปาร์เกอร์ได้ แต่ก็หันไปบอกกับนายธงของตัวเองว่า "นายก็รู้หนิ ฟอเลย์! ชั้นมีตาแค่ข้างเดียว — ชั้นมีสิทธิที่บางครั้งจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น" หลังจากนั้น นายพลเรือเนลสันก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องด้วยตาข้างที่บอด และบอกว่า "ให้ตายสิ ชั้นมองไม่เห็นสัญญาณเลย!" กองเรือแนวหน้าของอังกฤษจึงยังคงสู้ต่อไป มีเพียงเรือหลวงอแมซอน (HMS Amazon) เท่านั้นที่มองไม่เห็นเรือธงของเนลสัน จึงต้องยอมรับคำสั่งถอนกำลังจากเรือปาร์เกอร์ การที่เนลสันเพิกเฉยต่อคำสั่งถอนกำลัง อานุภาพหมู่ปืนใหญ่ของอังกฤษเริ่มเห็นผล การเสียงปืนใหญ่จากกองเรือเดนมาร์กทางทิศใต้เริ่มแผ่วลงจากความเสียหายที่ได้รับ เรือเดนมาร์กจำนวนมากหยุดชะงักการยิงในเวลาบ่ายสอง[5] ทำให้เรืออังกฤษพยายามฝ่าเข้าไปยังท่าเรือ ในไม่ช้า ฝ่ายเดนมาร์กก็ยกธงขาว ตลอดเหตุการณ์นี้ มกุฎราชกุมารเฟรเดริก ผู้สำเร็จราชการแห่งเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ทรงทอดพระเนตรอยู่จากหอบนกำแพงปราสาท[5]

วันต่อมาหลังสิ้นสุดการรบ เนลสันได้ขึ้นฝั่งที่โคเปนเฮเกนและเปิดการเจรจา หลังการเจรจากับมกุฎราชกุมารเฟรเดริกกว่าสองชั่วโมง พลเรือโทเนลสันก็สามารถบรรลุการสงบศึกอย่างไม่มีเงื่อนไขได้ การเจรจาที่เหลือทำผ่านจดหมาย ซึ่งเดนมาร์ก-นอร์เวย์ก็ยอมออกจากสันนิบาตความเป็นกลางทางอาวุธ เนลสันได้รับความดีความชอบที่บรรดาศักดิ์ไวเคานต์ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างอังกฤษ กับเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ความขัดแย้งได้นำไปสู่การโจมตีโคเปนเฮเกนอีกครั้งในปี 1807 เรียกว่ายุทธการที่โคเปนเฮเกน

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 William James (1837). The Naval History of Great Britain. London: Richard Bentley. Retrieved 2012-03-16
  2. Pocock, p. 229
  3. Clarke and McArthur, p. 607
  4. Pocock, p. 236
  5. 5.0 5.1 Clarke and McArthur, p. 608