มาสด้า ดีมิโอ (อังกฤษ: Mazda Demio) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก รุ่นหนึ่ง ผลิตโดยค่ายรถยนต์มาสด้า ในปัจจุบัน ดีมิโอ เป็นชื่อจริงของรถยนต์ มาสด้า 2 ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

มาสด้า 2
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตมาสด้า
เรียกอีกชื่อมาสด้า ดีมิโอ (ญี่ปุ่น: 2539-2562)
โตโยต้า ยาริส ไฮบริด (ยุโรป: 2564–ปัจจุบัน)
เริ่มผลิตเมื่อ2539–ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก
โครงสร้างเครื่องวางหน้า, ขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อนสี่ล้อ
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้ามาสด้า 121

แรกเริ่มนั้น ดีมิโอถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นรถมินิแวน กับ สเตชันวากอน (ยกตัวอย่างรถมินิแวนเช่น โตโยต้า อแวนซา ซึ่งคือรถตู้ย่อส่วน ซึ่งมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรถเก๋ง) แต่ต่อมา ก็ได้เปลี่ยนจากรถขนาดใหญ่กลายเป็นรถขนาดกะทัดรัด โดยแบ่งวิวัฒนาการตามช่วงเวลาของดีมิโอออกได้เป็น 3 รุ่น (Generation) ได้ดังนี้

รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2539 - 2545) แก้

 
มาสด้า ดีมิโอ รุ่นที่ 1 (มาสด้า 121)

ดีมิโอรุ่นแรก ใช้รหัสรถว่า DW การขายนอกประเทศญี่ปุ่นมักจะใช้ชื่อ มาสด้า 121 (ในช่วงนั้น มีมาสด้า 121 มาขายบ้างประปรายในประเทศไทย แต่ 121 รุ่นนั้น ไม่ได้มาจากดีมิโอ แต่มาจากรถอีกรุ่นหนึ่งในเครือมาสด้า มีชื่อจริงว่า ออโต้แซม เรวิว (Autozam Revue)) DW ถูกออกแบบให้เป็นรถแฮทช์แบ็กหลังคาสูงขนาดใหญ่ มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือก คือ 1,300 กับ 1,500 ซีซี มีความยาว 3,800 มม., กว้าง 1,670 มม., สูง 1,535 มม. และฐานล้อ 2,390 มม. ในโฆษณาโทรทัศน์ของ DW มีนักบาสเก็ตบอลชื่อดังในยุคนั้น "สก็อตตี ปิปเปน" เป็นพรีเซนเตอร์ด้วย

รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2550) แก้

 
มาสด้า ดีมิโอ รุ่นที่ 2

ดีมิโอรุ่นที่ 2 ใช้รหัสรถว่า DY การขายนอกประเทศมักจะใช้ชื่อ มาสด้า 2 ถือเป็นมาสด้า 2 รุ่นแรก แต่รุ่นนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากนัก เครื่องยนต์มีตั้งแต่ขนาด 1,250 ซีซี ถึง 1,600 ซีซี ดีมิโอรุ่นนี้ ในบางประเทศมีการทำรถเครื่องยนต์ไฮบริดด้วย (เครื่องยนต์ไฮบริด คือเครื่องยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดพิเศษช่วยในการขับเคลื่อนในบางสถานการณ์ ทำให้ประหยัดน้ำมันได้ ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีรถที่เป็นไฮบริดที่มีชื่อเสียงคือ โตโยต้า คัมรี่) มีความกว้าง 1,680 มม., ยาว 3,925 มม. , สูง 1,530 มม. ระยะฐานล้อ 2,490 มม. ในโฆษณาโทรทัศน์ของ DY มีนักแสดงชาวญี่ปุ่น มิซากิ อิโตะ (Misaki Ito) เป็นพรีเซนเตอร์

รุ่นที่ 3 (DE/DH; พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2557) แก้

 
มาสด้า ดีมิโอ รุ่นที่ 3
มาสด้า 2 รุ่น hatchback (ปรับโฉม; Mazda 2 Sports)

ดีมิโอรุ่นที่ 3 หรือ มาสด้า 2 ใหม่ ใช้รหัสรถว่า DE มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการผลิตรถซีดาน 4 ประตูด้วย (แต่ในช่วงแรกยังไม่เข้าประเทศไทย กำลังจะเข้าใน พ.ศ. 2552) รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง ภายใน 1 เดือนหลังการเปิดตัว สามารถทำยอดขายได้ถึง 15,000 คัน และในพ.ศ. 2551 ดีมิโอรุ่นที่ 3 นี้ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ระดับโลก (World Car of the Year 2008) รุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกที่เข้ามาผลิตและมีชื่อเสียงในประเทศไทย โดยมีสายการผลิตที่ จังหวัดระยอง เริ่มการขายในช่วงปลายปี พ.ศ. 2552 ด้านมิติ มีความยาว 3,885 มม., กว้าง 1,695 มม., สูง 1,475 มม. ระยะฐานล้อ 2,490 มม. ไม่กี่เดือนต่อมา มาสด้า 2 ได้รับรางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ระดับประเทศไทย (Thailand Car of the Year 2010) ประเภทรถยนต์แฮทช์แบ็ก ขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซี หลังจากนั้น ในต้นปี พ.ศ. 2553 ก็ได้มีการเปิดตัวรุ่นซีดาน (DH) ในประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จมากในวงกว้าง และได้มีการปรับโฉม (Minorchange) ในปี พ.ศ. 2554 โดยแยกออกเป็น 2 รุ่น คือ ตัวถังแฮทช์แบค 5 ประตู ใช้ชื่อว่า มาสด้า 2 สปอร์ต (อังกฤษ: Mazda 2 Sports) และตัวถังซีดาน 4 ประตู ใช้ชื่อว่า มาสด้า 2 เอลิแกนซ์ (อังกฤษ: Mazda 2 Elegance)

รุ่นที่ 4 (DJ/DL; พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน) แก้

 
Mazda 2 รุ่นที่ 4

มาสด้า ดีมิโอ หรือ มาสด้า 2 รุ่นที่ 4 มีรหัสว่า DJ ได้ถูกเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม 2558 ต่อจาก มาสด้า CX-5 และ มาสด้า 3 ภายใต้โครงการอีโคคาร์ เฟส 2

ในปี 2559 มาสด้า 2 ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2016 (Thailand Car of The Year 2016) ประเภทรถอีโคคาร์ประเภทดีเซล

มาสด้า 2 มีเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 1.3 ลิตร อัตราส่วนการอัด 12.0:1 กำลังสูงสุด 93 แรงม้า ซึ่งมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 1.5 ลิตร อัตราส่วนการอัด 14.8:1 กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ซึ่งมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่องมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 100 กรัม/กม. ผ่านมาตรฐาน Euro 5 ทั้งคู่ และเป็นครั้งแรกของมาสด้าที่นำเครื่องยนต์ดีเซลมาใส่ในกลุ่มรถยนต์นั่ง

ในต้นปี พ.ศ. 2560 มาสด้า 2 ได้มีการปรับอุปกรณ์ให้กับตัวรถโดยเพิ่มระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยเข้ามา ได้แก่ ระบบ i-Activesense และ ระบบ G-Vectoring Control (GVC) อีกทั้งยังมีระะบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ (Cruise Control) และเกียร์ Paddle Shift ส่วนภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เพิ่มคิ้วของโคมไฟหน้าด้วยกรอบโครเมียม ส่วนภายในมีการตกแต่งด้วยวัสดุใหม่ๆ เช่น เบาะผ้าสีดำหรือหนังแท้สีดำ แผงแดชบอร์ดเปียโนแบล็ค และมีการเดินตะเข็บที่แผงประตู แต่การตกแต่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นย่อย ส่วนสีของตัวถังภายนอก ได้มีการเพิ่มสีมา 3 สี ได้แก่ สีดำ เจ็ทแบล็ค, สีเงิน เมทิออร์ เกรย์ และสีน้ำเงิน อีเทอนอล บลู

รุ่นปรับโฉม แก้

Mazda2 (รุ่นปรับโฉม 2562)

ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 มาสด้า 2 ได้มีการปรับปรุงใหม่และเพิ่มอุปกรณ์ให้กับตัวรถโดยเพิ่มระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยเข้ามาทั้ง เปลี่ยนไฟหน้า, กันชนหน้า, ไฟท้าย, กันชนท้าย และ ล้ออัลลอย 16 นิ้ว (เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล) ดีไซน์ใหม่ เพิ่ม ระบบปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ อัตโนมัติ, เครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay / Android Auto, กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา และ เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 ตำแหน่ง ส่วนภายในมีการตกแต่งด้วยวัสดุใหม่ๆ เช่น เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สีเทา สลับหนังกลับ Grand Luxe Suede เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า สีน้ำตาล และ เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า สีน้ำเงิน ส่วนสีของตัวถังภายนอก ได้มีการเพิ่มสีมา 2 สี ได้แก่ เทานม Polymetal Grey และ ขาว Ceremic Metallic และอัพเกรด ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง G-Vectoring Control PLUS อีกทั้งยัง ปรับรุ่นย่อยใหม่ 7 รุ่น จากนั้นมีการปรับอุปกรณ์รายปี MY2021 ตามออกมาในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2021 และ เดือนนี้จะเป็นอีกครั้งที่ Mazda ประเทศไทย จะมีการปรับอุปกรณ์ MY2022 พร้อมสีตัวถังภายนอกใหม่ ตามประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือ สีเบจ Sunlight Citrus และ ตามประเทศไทย นั่นก็คือ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz) อีกทั้งยังยุติการจำหน่ายรุ่น 1.3 S (High) และ 1.5 XD

อุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลง

  • 1.3 E (Entry)
    • เปลี่ยน เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า สีดำ/สีเทา
  • 1.5 XDL
    • เปลี่ยน ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว เป็น สีดำ
  • เฉพาะรุ่น 1.3 S Leather (High Leather), SP (High Plus) และ 1.5 XDL
    • เปลี่ยน เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง เป็น สีดำ
    • เพิ่ม เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง / ระบบบันทึกความจำตำแหน่ง เบาะนั่งคนขับ Memory Seat 2 ตำแหน่ง
    • อัพเกรด ระบบ Apple CarPlay / Androiod เป็นแบบ Wireless
    • เพิ่ม ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger
  • ทุกรุ่น
    • เพิ่ม ไฟเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย เบาะนั่งด้านหลัง
  • สีใหม่
    • สีตัวถังภายนอก สีเบจ Platinum Quartz (ทั้งรุ่น Sedan / Hatchback) และ สีเทานม Polymetal Grey (ในรุ่น Sedan 4 ประตู)
  • ราคา
    • ราคาปรับเพิ่ม 3,000 บาท (1.3 C (Core); จากเดิม 596,000 บาท มาเป็น 599,000 บาท)
    • ราคาปรับเพิ่ม 11,000 บาท (1.3 S Leather (High Leather); จากเดิม 648,000 บาท มาเป็น 659,000 บาท)

รุ่นพิเศษ Carbon Edition แก้

ล่าสุดทาง Mazda ประเทศไทย ได้เพิ่มทางเลือกกับรถใหม่รุ่นพิเศษ นามว่า CARBON EDITION ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้กับรถใหม่ถึง 4 รุ่น ดังนี้ Mazda2, Mazda3, Mazda CX-3 และ Mazda CX-30 โดยปรับราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 10,000 บาท

Mazda เอาใจคนรักความสปอร์ตพรีเมี่ยมภายใต้ชื่อ Carbon Edition มาพร้อมแนวคิด “Unique You” โดดเด่นทั้งภายนอกและภายในที่ได้รับการออกแบบขึ้นพิเศษ กับคอนเซ็ปต์สไตล์คาร์บอนมาสร้างแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความสปอร์ต ดีไซน์ภายนอกโทนสีเข้มบ่งบอกความเรียบหรู ภายในเบาะนั่งสีแดง Burgundy สปอร์ตโฉบเฉี่ยวมีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร ครบครันด้วยฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ระบบความปลอดภัยระดับโลกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาสด้า

อุปกรณ์ตกแต่งที่คัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพสูงรอบคัน โดยใช้รูปแบบการตกแต่งสไตล์คาร์บอนในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความสปอร์ต ตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม บ่งบอกอัตลักษณ์ตัวตนความพิเศษแบบไม่เหมือนใคร ผ่านรถยนต์มาสด้าที่กำลังร้อนแรงมากที่สุดในตลาด

- มาสด้า2 Carbon Edition รุ่นซีดาน 4 ประตู มาพร้อมความแตกต่างอย่างมีสไตล์ สะท้อนความสปอร์ตไม่ซ้ำใครด้วยกระจกมองข้างสีดำตัดกับโทนสีเข้มภายนอก ภายในตกแต่งพิเศษด้วยเบาะนั่งสีแดง Burgundy ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ด้วย Wireless Apple CarPlay® พร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) มอบความสนุกในทุกกิจกรรมและเป็นตัวเองได้อย่างไม่ซ้ำแบบใคร

- มาสด้า2 Carbon Edition Sports รุ่นแฮตซ์แบค 5 ประตู ได้รับการเติมเต็มความสปอร์ตพรีเมี่ยมให้แตกต่างแบบไม่ธรรมดา บอกสไตล์ที่โดดเด่นด้วยกระจกมองข้างสีดำ และภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะนั่งสีแดง Burgundy มอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง และเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่กับ Sports Paddle Shift ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความสนุกสนานกับความแตกต่างในแบบฉบับที่มีเอกลักษณ์

ราคาจำหน่าย 669,000 บาท

รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 2 แก้

Mazda2 (รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 2, 2566)

มาสด้า เปิดตัว NEW MAZDA2 2023 เพิ่มดีไซน์ Sport Design และ New Wave Design รุ่นพิเศษอีก 2 รุ่น กับ Rookie Drive และ Clap Pop เครื่องสกายแอคทีฟเบนซิน 1.3 ลิตร และคลีนดีเซล 1.5 ลิตร ราคาเริ่มต้น 599,000-730,000 บาท

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Mazda2 คือหนึ่งในรถยนต์ที่ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็นรถรุ่นที่สร้างยอดขายให้กับมาสด้า หลังจากเปิดตัวมาพร้อมกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมันจนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 10%

ขณะเดียวกัน มาสด้า 2 ยังถือเป็นโมเดลหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจของมาสด้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นการเปิดตัว New Mazda2 ในวันนี้คือการเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของมาสด้า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

อุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลง

  • เพิ่ม ระบบ i-Activsense เบรกอัตโนมัติ ทุกรุ่นย่อย (ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้า (SCBS), ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหลัง (SCBS-R), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Mazda Radar Cruise Control : MRCC), ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกช่องจราจร (LDWS)

, ระบบเตือนการชนด้านหน้า และ ช่วยเบรก (SBS) และ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC))

  • เปลี่ยน กันชนหน้า, กันชนหลัง ดีไซน์ใหม่, กระจังหน้า ดีไซน์ใหม่ Mesh Grille, ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ เฉพาะรุ่น 1.5 XDL
  • เปลี่ยน วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร ใหม่ (ตามแต่ละรุ่นย่อย และ สี)
    • สีขาว Pure White
    • สีดำ Mirror Black
    • สีฟ้า Light Gloss Blue
  • เพิ่ม ฝาครอบล้อสีทูโทน ในรุ่น 1.3 Core
  • สีใหม่
    • สีตัวถังภายนอกใหม่ 3 สี สีเทา Aero Grey, สีฟ้า Air Stream Blue และ สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue มาแทนที่สีตัวถังภายนอก 3 สี เดิม สีขาว Ceramic Metallic, สีน้ำตาล Titanium Flash และ สีเงิน Sonic Silver
  • เพิ่ม หลังคาสีดำ Black Roof ในรุ่น 1.3 SP / 1.5 XDL
  • ปรับรุ่นย่อยใหม่ จากเดิม E / C / S / SP / XDL เปลี่ยนเป็น C / S / SP / XD / XDL
  • ยกเลิกรุ่นย่อยเริ่มต้น เบนซิน 1.3 Entry และ เพิ่มรุ่นย่อยเริ่มต้นนำรุ่น ดีเซล 1.5 XD กลับมาทำตลาดอีกครั้ง
  • เพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ Rookie Drive Sports / Clap Pop Sports
  • ราคา
    • ราคาปรับเพิ่มขึ้น 19,000 – 40,000 บาท แล้วแต่รุ่นย่อย
  • เบนซิน
    • 1.3 C AT 599,000 บาท
    • 1.3 S AT 680,000 บาท
    • 1.3 SP AT 730,000 บาท
  • ดีเซล
    • 1.5 Turbo XD AT 720,000 บาท
    • 1.5 Turbo XDL AT 830,000 บาท
  • รุ่นพิเศษเพิ่มจากรุ่น 1.3 Core Hatchback
    • 1.3 Clap Pop Sports : 647,000 บาท
    • 1.3 Rookie Drive Sports : 662,000 บาท

ไซออน iA และ โตโยต้า ยาริส (USA-Spec) แก้

2016 Scion iA sedan (United States)
2017 Toyota Yaris iA sedan (United States)
2020 Toyota Yaris XLE hatchback (United States)

Toyota Yaris ในสหรัฐฯ ได้มีทายาทคันใหม่มารับช่วงต่อแล้ว แต่หน้าตาอาจจะคุ้นเคยกันเสียหน่อย เพราะนี่คือ Mazda 2 ที่ผ่านการเปลี่ยนตรายี่ห้อ และแต่งหน้าทาปากมาเล็กน้อยนั่นเอง เบื้องต้นมีรุ่นย่อยให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ส่วนขุมพลังมีหนึ่งเดียวกับ เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร

จากข้อตกลงที่เคยทำกันเอาไว้ตั้งแต่ปี 2013 ความร่วมมือระหว่าง Toyota และ Mazda ระบุว่า Mazda จะผลิตรถยนต์ขนาดเล็กส่งให้ Toyota เอาไปจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ จึงเป็นผลทำให้ทั้งตัวถัง Sedan และ Hatchback ของ Mazda 2 กลายมาเป็น Yaris ทำตลาดในอเมริกาเหนือ

ภายนอกของ Toyota Yaris มาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งครบครันทั้ง กันชนหน้าทรงที่ต่างจาก Mazda 2, ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติแบบ LED พร้อมไฟ DRL, กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED – ระบบไล่ฝ้า, ไฟตัดหมอกหน้า, ล้อขนาด 16 นิ้ว และปลายท่อไอเสียโครเมี่ยม ด้านสีตัวถังมีให้เลือก 7 สี

ห้องโดยสารมีให้เลือกทั้งสีดำและสีเทา ส่วนพวงมาลัย, หัวเกียร์ และด้านเบรกมือตกแต่งด้วยการหุ้มหนัง ด้านอุปกรณ์มาตรฐานมีทั้ง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ระบบนำทาง, ระบบสั่งการด้วยเสียงพร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบ Push Start

ขุมพลังของ Toyota Yaris เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมหัวฉีดแบบ Direct Injection อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 106 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sport Mode

โครงสร้างตัวถังใช้เหล็กแรงดึงสูงพิเศษมากกว่า 65% ของชิ้นส่วนทั้งหมด ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Mac Pherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Torsion-Beam ปรับแต่งให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการควบคุม และความนุ่มนวล ด้านการเก็บเสียงเหนือชั้น ด้วยการเพิ่มวัสดุซับเสียงรอบคัน รวมไปถึงกระจกแบบซับเสียง

ระบบความปลอดภัยติดตั้ง ระบบลดความเร็วโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วต่ำ Low-speed Pre-collision Safety System ในทุกรุ่นย่อย ทั้งยังมีระบบช่วยควบคุมการทรงตัว DSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบเบรก ABS – EBD – BA และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง

Toyota Yaris พร้อมออกจำหน่ายแล้วในสหรัฐฯ โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย LE และ XLE ทุกคันมาพร้อมการรับประกันนาน 3 ปี หรือ 36,000 ไมล์ (ราว 57,900 กิโลเมตร) ส่วนเครื่องยนต์และตัวถังผุกร่อน ขยายการรับประกันเป็น 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางสำหรับอย่างหลัง

โตโยต้า ยาริส ไฮบริด (EU-Spec) แก้

 
Mazda 2 Hybrid เวอร์ชั่นยุโรป

Toyota เคยนำ Mazda 2 มาติดชื่อ Toyota Yaris เพื่อออกจำหน่ายที่สหรัฐฯ แล้วในปี 2019 บัดนี้ ความร่วมมือดังกล่าวได้ขยายไปยังยุโรป หลังบริษัทจาก Hiroshima ได้เปิดตัว Mazda 2 Hybrid รุ่นล่าสุด ครั้งแรกของบริษัทที่ใช้ขุมพลัง Full Hybrid แบบชาร์จพลังงานเองได้ ด้วยการนำ Toyota Yaris มาเปลี่ยนโลโก้ใหม่

Mazda 2 Hybrid เวอร์ชั่นยุโรป มีล้อให้เลือกทั้งขนาด 15 และ 16 นิ้ว ภายในกว้างขวางรองรับผู้โดยสารผู้ใหญ่ 4 คน และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระ 286 ลิตร อันเป็นผลมาจากระยะฐานล้อ 2,560 มิลลิเมตร ส่วนขุมพลังเป็น เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 3 สูบ ขนาด 1,490 ซีซี กำลังสูงสุด 93 แรงม้า พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 80 แรงม้า รวมทั้งระบบมีกำลังสูงสุด 116 แรงม้า

Mazda 2 Hybrid เวอร์ชั่นยุโรป สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยที่ 30.01 – 31.58 กิโลเมตร/ลิตร ขึ้นอยู่กับขนาดล้อ สำหรับรุ่นย่อยที่มีให้เลือก ประกอบด้วย Pure, Agile และ Select เปิดตัวเป็นครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2564 และ จะเริ่มออกจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิ 2022 หรือ ราวเดือนมีนาคม – มิถุนายน

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

  วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ มาสด้า2