ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โทรทัศน์ในประเทศไทย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ข้อมูลเยอะเกิน
ปรับปรุงเนื้อหาครั้งใหญ่
บรรทัด 1:
{{ปรับภาษา}}
{{ข้อมูลเยอะเกิน}}
'''[[โทรทัศน์]]ใน[[ประเทศไทย]]''' ออกอากาศทางภาคพื้นดินเป็นช่องทางหลัก โดยแพร่ภาพผ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งระยะแรกที่ออกอากาศ ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2498]] เริ่มใช้[[วีเอชเอฟ|ย่านความถี่สูงมาก]] (Very High Frequency; VHF) ซึ่งประกอบด้วย ช่วงความถี่ต่ำ (low band) คือช่องสัญญาณที่ 2-4 และช่วงความถี่สูง (high band) คือช่องสัญญาณที่ 5-12 จนกระทั่งปี [[พ.ศ. 2538]] จึงเริ่มใช้[[ยูเอชเอฟ|ย่านความถี่สูงยิ่ง]] (Ultra High Frequency; UHF) คือช่องสัญญาณที่ 26-60 (ช่วงความถี่ต่ำ (low band) คือช่องสัญญาณที่ 26-34 และช่วงความถี่สูง (high band) คือช่องสัญญาณที่ 35-60 ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ส่งสัญญาณระหว่างช่องสัญญาณที่ 21-48) ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มออกอากาศ จนถึง [[พ.ศ. 2517]] ใช้ระบบ[[สัญญาณแอนะล็อก]] ในการส่งแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที (National Television System Committee; NTSC) ซึ่งกำหนดขึ้นโดย หรือระบบ[[คณะกรรมการสื่อสารแห่งชาติสหรัฐอเมริกาเอ็นทีเอสซี]] (Federal Communications Committee; FCC ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเต็มเป็น Federal Communications Commission) ต่อมาตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2510]] จึงเริ่มนำระบบการส่งแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที (Phase Alternating Line; PAL) ซึ่งกำหนดขึ้นโดย หรือระบบ[[คณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยคลื่นวิทยุแพล]] (Consultative Committee on International Radio; CCIR ปัจจุบันคือ [[ภาควิทยุคมนาคมโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ]] หรือ International Telecommunication Union Radiocommunication Sector; ITU-R) เข้ามาใช้ในประเทศไทย และเริ่มออกอากาศด้วยภาพสี ภายใต้ระบบดังกล่าวตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2513]] จนถึงปัจจุบัน
 
นอกจากนี้ ยังมีบริการ[[โทรทัศน์แห่งชาติ]] ภายใต้กำกับของ[[กรมประชาสัมพันธ์]] เริ่มจากส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2502]] และเริ่มดำเนินการในส่วนกลางตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2528]] จนถึงปัจจุบัน จากนั้นก็เริ่มนำ[[โทรทัศน์ระบบดิจิทัล|ระบบดิจิทัล]] เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตรายการ และควบคุมการออกอากาศ ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2540]] และนำมาใช้กับกระบวนการส่งแพร่ภาพ ผ่านโครงข่าย[[อุปกรณ์รวมส่งสัญญาณ]] ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2556]] จนถึงปัจจุบัน โดยจะและได้[[การยุติการออกอากาศด้วย[[สัญญาณโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกในประเทศไทย|ยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก]] ตั้งแต่อย่างสมบูรณ์เมื่อปี [[พ.ศ. 2563]] เป็นต้นไป ส่วนระบบการออกอากาศด้วยช่องทางอื่น ซึ่งที่ประเทศไทยนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ประกอบด้วย [[บริการกระจายสัญญาณแบบหลายจุดหลายช่อง]] (Multichannel multipoint distribution service; MMDS) ระหว่างปี [[พ.ศ. 2532]] - 2556, ผ่าน[[คลื่นวิทยุ]][[ไมโครเวฟ]] ระหว่างปี พ.ศ. 2532 - 2540, ผ่าน[[โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล|เคเบิลใยแก้วนำแสง]] ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2536]] - ปัจจุบัน, ผ่าน[[ดาวเทียมสื่อสาร|เครือข่ายดาวเทียม]] ระบบเคยู-แบนด์ ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2532]]-ปัจจุบัน; ระบบซี-แบนด์ ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2541]]-ปัจจุบัน อนึ่ง ภาคเอกชนสามารถประกอบการธุรกิจโทรทัศน์ ภายใต้การอนุมัติจากภาครัฐตามกฎหมาย โดยผ่านสายอากาศในส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และผ่านเครือข่าย[[ดาวเทียม]] ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2545]] จนถึงปัจจุบัน
 
== ประวัติ ==
=== ก่อนกำเนิด (2474-2475 , 2492-2498) ===
[[ประเทศไทย]]เริ่มต้นต้นรู้จัก สิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Television”"Television" หรือ[[โทรทัศน์]]เป็นครั้งแรกเมื่อปี [[พ.ศ. 2474]] โดย[[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน]] ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมในขณะนั้น ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะต้องการจัดตั้งกิจการโทรทัศน์ในประเทศไทยขึ้น โดยได้มีการติดต่อกับบริษัทเอกชนรายหนึ่งของ[[ประเทศสหรัฐอเมริกา]]รายหนึ่ง เพื่อจัดหาและติดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการทดลองการออกอากาศ และถ้าหากโครงการนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์แล้วก็จะให้สั่งซื้อเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในงานราชการ แต่เนื่องจากมี[[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475]] จึงทำให้โครงการตามพระราชประสงค์ของพระองค์นั้นดังกล่าวถูกยกเลิกลง (ซึ่งถ้าหากประสบความสำเร็จ ประเทศไทยอาจเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย ที่มีกิจการและการออกอากาศทางโทรทัศน์)<ref>[http://www.oknation.net/blog/print.php?id=246355 เมื่อเริ่มกิจการโทรทัศน์ในประเทศไทย] จากบล็อก โอเคเนชั่น</ref><ref>หนังสือประวัติศาสตร์ อสมท 59 ปี สื่อไทย หน้า 34</ref> ในเวลาหลายปีต่อมา คือเมื่อปี [[พ.ศ. 2492]] [[สรรพสิริ วิรยศิริ]] ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของ[[กรมประชาสัมพันธ์]] เขียนบทความขึ้นบทหนึ่ง เพื่อแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ "[[วิทยุภาพ]]" อันเป็นเทคโนโลยีสื่อสารชนิดใหม่ของโลก ต่อมา[[กรมประชาสัมพันธ์]] ส่งข้าราชการของกรมฯ กลุ่มหนึ่ง ไปศึกษางานวิทยุโทรภาพที่[[สหราชอาณาจักร]] ในราวปี [[พ.ศ. 2493]] เมื่อเล็งเห็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ กรมประชาสัมพันธ์จึงนำเสนอ “[["โครงการจัดตั้งวิทยุโทรภาพ]]”" ต่อ[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล แปลก พิบูลสงคราม]] [[รายนามนายกรัฐมนตรีของไทย|นายกรัฐมนตรี]] เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล เมื่อปี [[พ.ศ. 2494]] แต่เนื่องจากสมาชิก[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5|สภาผู้แทนราษฎร]]ส่วนมาก แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง ต่องบประมาณแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์ จึงจำเป็นต้องยุติโครงการดังกล่าวลง {{อ้างอิง}}
 
หลังจากนั้น [[ประสิทธิ์ ทวีสิน]] ประธานกรรมการ[[บริษัท วิเชียรวิทยุและโทรภาพ จำกัด]] นำเครื่องส่งวิทยุโทรภาพ 1 เครื่อง เข้าทำการทดลองส่ง แพร่ภาพการแสดงดนตรี ของ[[วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์]] จากห้องส่งวิทยุกระจายเสียง ของ[[สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย]] ภายในกรมประชาสัมพันธ์ โดยถ่ายทอดสดไปยังเครื่องรับจำนวน 4 เครื่อง ซึ่งตั้งไว้ภายในทำเนียบรัฐบาล, บริเวณใกล้เคียงกรมประชาสัมพันธ์ และบริเวณโถงชั้นล่างของ[[ศาลาเฉลิมกรุง]] เพื่อให้คณะรัฐมนตรีและประชาชนรับชม เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ [[19 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2495]] ซึ่งเครื่องส่งและเครื่องรับดังกล่าว มีน้ำหนักรวมกว่า 2,000 กิโลกรัม ซึ่งในระยะนี้เอง [[สื่อมวลชน]]ซึ่งต้องการนำเสนอ ถึงสิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Television”"Television" ดังกล่าวนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าควรเรียกเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร จึงกราบทูลถามไปยัง [[พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์]] อดีตนายก[[ราชบัณฑิตยสถาน]] และ[[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ]]ในขณะนั้น ด้วยทรงเป็น[[ศาสตราจารย์]]ทางอักษรศาสตร์ จึงทรงวิเคราะห์ศัพท์ดังกล่าว ก่อนจะทรงบัญญัติขึ้นเป็นคำว่า "[[วิทยุโทรทัศน์]]" ซึ่งต่อมาประชาชนทั่วไป นิยมเรียกอย่างสังเขปว่า “โทรทัศน์”"โทรทัศน์" {{อ้างอิง}}
 
โดยระหว่างเดือน[[กันยายน]]ถึง[[พฤศจิกายน]] ปีเดียวกัน มีรัฐมนตรีและข้าราชการของกรมประชาสัมพันธ์ กลุ่มหนึ่งรวม 7 คนซึ่งประกอบด้วย [[หลวงสารานุประพันธ์]], [[หม่อมหลวงขาบ กุญชร]], [[ประสงค์ หงสนันทน์]], [[เผ่า ศรียานนท์|พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์]], เล็ก สงวนชาติสรไกร, มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฎ์ และ[[เลื่อน พงษ์โสภณ]] ดำเนินการระดมทุน ด้วยการเสนอขายหุ้น ต่อกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน 11 ล้านบาท จึงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอีก 8 แห่ง เป็นเงิน 9 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 20 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนจดทะเบียนจัดตั้ง ''[[บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด]]'' ({{lang-en|Thai Television Co.,Ltd.}} ชื่อย่อ: ท.ท.ท.) ขึ้นเมื่อวันที่ [[10 พฤศจิกายน]] ของปีดังกล่าว เพื่อรองรับการดำเนินกิจการ ส่งโทรทัศน์ในประเทศไทย อนึ่ง ในปีเดียวกันนั้น [[กระทรวงกลาโหม (ประเทศไทย)|กระทรวงกลาโหม]]ออกข้อบังคับว่าด้วย การมอบหมายงานแก่เจ้าหน้าที่กองทัพบก โดยกำหนดให้[[กรมการทหารสื่อสาร]] (สส.) เพิ่มชื่อกองการกระจายเสียง เป็นกองการกระจายเสียงและโทรทัศน์ เพื่อรองรับการจัดตั้ง แผนกกิจการวิทยุโทรทัศน์ เป็นหน่วยขึ้นตรงประจำกองดังกล่าว {{อ้างอิง}}
 
ทั้งนี้ เมื่อถึงในปีถัดมา ([[พ.ศ. 2496]]) กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการ จัดซื้อเครื่องส่งโทรทัศน์ เข้ามาสาธิตการแพร่ภาพ เพื่อให้ประชาชนทดลองรับชม ในโอกาสที่สำคัญต่างๆต่าง ๆ อาทิเช่น ถ่ายทอดการแข่งขันชกมวยสากล ระหว่าง[[จำเริญ ทรงกิตรัตน์]] พบกับจิมมี เปียต รองชนะเลิศระดับโลก ในรุ่นแบนตัมเวต, ถ่ายทอดบรรยากาศ[[งานวชิราวุธานุสรณ์]] [[งานฉลองรัฐธรรมนูญ]] [[ไก่ฟ้าพญาลอ|งานฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่]] เป็นต้น และยังนำไปทดลองถ่ายทอดที่[[จังหวัดพิษณุโลก]] ภายในงานประจำปีของ[[โรงพยาบาลพิษณุโลก]] และในปีถัดจากนั้น ([[พ.ศ. 2497]]) โดยทาง[[กองทัพบกไทย|กองทัพบก]] ก็มีการกำหนดอัตรากำลังพลเฉพาะกิจ ประจำแผนกโทรทัศน์ สังกัดกรมการทหารสื่อสาร จำนวน 52 นาย เพื่อปฏิบัติงานออกอากาศ[[โทรทัศน์]]ภาคพื้นดิน ผลิตและถ่ายทอด[[รายการโทรทัศน์]] ขึ้นในปีเดียวกัน และเมื่อวันที่ [[6 กันยายน]] [[เผ่า ศรียานนท์|พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์]] อธิบดี[[กรมตำรวจ]]ในขณะนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บจก.ไทยโทรทัศน์คนแรก เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารที่ทำการสถานีโทรทัศน์ของ บจก.ไทยโทรทัศน์ ภายในบริเวณ[[วังบางขุนพรหม]] ที่ทำการของ[[ธนาคารแห่งประเทศไทย]]ในปัจจุบัน {{อ้างอิง}}
 
=== โทรทัศน์ขาวดำ ระบบ[[สหรัฐฯสหรัฐ]] (2498-2510) ===
โดยระหว่างเดือน[[กันยายน]]ถึง[[พฤศจิกายน]] ปีเดียวกัน มีรัฐมนตรีและข้าราชการของกรมประชาสัมพันธ์ กลุ่มหนึ่งรวม 7 คนซึ่งประกอบด้วย [[หลวงสารานุประพันธ์]], [[หม่อมหลวงขาบ กุญชร]], [[ประสงค์ หงสนันทน์]], [[เผ่า ศรียานนท์|พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์]], เล็ก สงวนชาติสรไกร, มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฎ์ และ[[เลื่อน พงษ์โสภณ]] ดำเนินการระดมทุน ด้วยการเสนอขายหุ้น ต่อกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน 11 ล้านบาท จึงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอีก 8 แห่ง เป็นเงิน 9 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 20 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนจดทะเบียนจัดตั้ง ''[[บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด]]'' ({{lang-en|Thai Television Co.,Ltd.}} ชื่อย่อ: ท.ท.ท.) ขึ้นเมื่อวันที่ [[10 พฤศจิกายน]] ของปีดังกล่าว เพื่อรองรับการดำเนินกิจการ ส่งโทรทัศน์ในประเทศไทย อนึ่ง ในปีเดียวกันนั้น [[กระทรวงกลาโหม (ประเทศไทย)|กระทรวงกลาโหม]]ออกข้อบังคับว่าด้วย การมอบหมายงานแก่เจ้าหน้าที่กองทัพบก โดยกำหนดให้[[กรมการทหารสื่อสาร]] (สส.) เพิ่มชื่อกองการกระจายเสียง เป็นกองการกระจายเสียงและโทรทัศน์ เพื่อรองรับการจัดตั้ง แผนกกิจการวิทยุโทรทัศน์ เป็นหน่วยขึ้นตรงประจำกองดังกล่าว {{อ้างอิง}}
โดยในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ก็เริ่มทดลองส่งแพร่ภาพโทรทัศน์ไปพลางก่อน จากห้องส่งของ[[สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท.]] ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้ บจก.ไทยโทรทัศน์ ดำเนินการเพื่อระดมทุนทรัพย์ สำหรับใช้ในการบริหารงาน และเพื่อฝึกฝนบุคลากรฝ่ายต่างๆต่าง ๆ พร้อมทั้งเตรียมงานส่วนอื่นไปด้วย จนกว่าจะก่อสร้างอาคารที่ทำการ พร้อมติดตั้งเครื่องส่งเสร็จสมบูรณ์ ระหว่างนั้น คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เลือกใช้ ระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ซึ่งใช้อยู่ใน[[สหรัฐอเมริกา]] เป็นผลให้ [[บจก.]][[ไทยโทรทัศน์]] จัดซื้อเครื่องส่งขนาด 10 กิโลวัตต์ ของ[[บริษัท เรดิโอ คอร์ปอเรชั่น ออฟ อเมริกา]] (Radio Corporation of America) หรือที่รู้จักทั่วไปในชื่อย่อว่า อาร์.ซี.เอ. (RCA) มาใช้สำหรับการออกอากาศ และวางแผนดำเนินการแพร่ภาพ ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมาก (Very High Frequency; VHF) ทางช่องสัญญาณที่ 4 ซึ่งเมื่อรวมกับชื่อสถานที่ตั้งสถานีฯ ดังกล่าวข้างต้น ในระยะต่อมา ผู้ชมทั่วไปจึงนิยมเรียกชื่อลำลองว่า ''ช่อง 4 บางขุนพรหม'' ซึ่งมีกำหนดและเริ่มแพร่ภาพ ใน[[วันศุกร์]]ที่ [[24 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2498]] ซึ่งตรงกับ[[วันชาติ (ประเทศไทย)|วันชาติไทย]]ในสมัยนั้น
 
โดยมี[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล แปลก พิบูลสงคราม]] [[รายนามนายกรัฐมนตรีของไทย|นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น]] เป็นประธานพิธีเปิด ''[[สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4]]'' ({{lang-en|Thai Television Channel 4}} [[อักษรย่อ|ชื่อย่อ]]: ไทย ที.วี. ชื่อรหัส: HS1-TV) ขึ้นเป็นแห่งแรกของ[[ประเทศไทย]] และเป็นช่อง​แรกช่องเดียว​แห่งแรกของทวีปเอเชีย บน[[ภาคพื้นเอเชียแผ่นดินใหญ่]] (Asia Continental) ต่อมาในวันที่ [[25 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2500]] [[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] [[ผู้บัญชาการทหารบก]]ในขณะนั้น ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง ''[[คณะกรรมการดำเนินการวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' ประกอบด้วย [[ไสว ไสวแสนยากร|พลเอก ไสว ไสวแสนยากร]] ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานกรรมการ และ[[การุณ เก่งระดมยิง|พันเอก (พิเศษ) การุณ เก่งระดมยิง]] เป็นเลขานุการ มีหน้าที่จัดทำ''โครงการจัดตั้ง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' พร้อมทั้งวางแผนอำนวยการ และควบคุมการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ รวมถึงให้อำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติงานให้ได้ผล ตามที่ราชการทหารมุ่งหมาย ต่อมาในวันที่ [[24 มิถุนายน]] ปีเดียวกัน คณะกรรมการดังกล่าว ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารที่ทำการสถานีฯ ภายในบริเวณ[[กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์]] สนามเป้า [[ถนนพหลโยธิน]] แขวงสามเสนใน [[เขตพญาไท]] โดยทำสัญญายืมเงินกับกองทัพบก เพื่อเป็นทุนก่อสร้างและจัดหาอุปกรณ์ เป็นจำนวน 10,101,212 บาท
ทั้งนี้ เมื่อถึงปีถัดมา ([[พ.ศ. 2496]]) กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการ จัดซื้อเครื่องส่งโทรทัศน์ เข้ามาสาธิตการแพร่ภาพ เพื่อให้ประชาชนทดลองรับชม ในโอกาสที่สำคัญต่างๆ อาทิเช่น ถ่ายทอดการแข่งขันชกมวยสากล ระหว่าง[[จำเริญ ทรงกิตรัตน์]] พบกับจิมมี เปียต รองชนะเลิศระดับโลก ในรุ่นแบนตัมเวต, ถ่ายทอดบรรยากาศงานวชิราวุธานุสรณ์ [[งานฉลองรัฐธรรมนูญ]] [[ไก่ฟ้าพญาลอ|งานฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่]] เป็นต้น และยังนำไปทดลองถ่ายทอดที่[[จังหวัดพิษณุโลก]] ภายในงานประจำปีของ[[โรงพยาบาลพิษณุโลก]] ในปีถัดจากนั้น ([[พ.ศ. 2497]]) โดยทาง[[กองทัพบกไทย|กองทัพบก]] ก็มีการกำหนดอัตรากำลังพลเฉพาะกิจ ประจำแผนกโทรทัศน์ สังกัดกรมการทหารสื่อสาร จำนวน 52 นาย เพื่อปฏิบัติงานออกอากาศ[[โทรทัศน์]]ภาคพื้นดิน ผลิตและถ่ายทอด[[รายการโทรทัศน์]] ขึ้นในปีเดียวกัน และเมื่อวันที่ [[6 กันยายน]] [[เผ่า ศรียานนท์|พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์]] อธิบดี[[กรมตำรวจ]]ในขณะนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บจก.ไทยโทรทัศน์คนแรก เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารที่ทำการสถานีโทรทัศน์ของ บจก.ไทยโทรทัศน์ ภายในบริเวณ[[วังบางขุนพรหม]] ที่ทำการของ[[ธนาคารแห่งประเทศไทย]]ในปัจจุบัน {{อ้างอิง}}
 
เมื่อ[[วันเสาร์]]ที่ [[25 มกราคม]] [[พ.ศ. 2501]] ''[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' (ชื่อรหัส: HSATV ชื่อย่อ: ททบ.) เริ่มต้นออกอากาศเป็นปฐมฤกษ์ เป็นแห่งที่สอง 2 ของประเทศไทย ด้วยรถตู้ถ่ายทอดนอกสถานที่ ซึ่งจอดไว้บริเวณหน้าไว้หน้า[[สวนอัมพร|อาคารสวนอัมพร]] โดยแพร่ภาพขาวดำ ด้วยระบบ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมากเช่นกัน แต่ออกอากาศทางช่องสัญญาณที่ 7 ด้วยเครื่องส่งโทรทัศน์ ของบริษัทปายแห่งอังกฤษ กำลังส่ง 5 กิโลวัตต์ ทวีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 12 เท่า บนสายอากาศสูง 300 ฟุต รวมกำลังส่งทั้งสิ้น 60 กิโลวัตต์ สำหรับเนื้อหาที่แพร่ภาพนั้น ไทยทีวีช่อง 4 นำเสนอรายการประเภทสนทนา, ตอบคำถามชิงรางวัล และการแสดงประเภทต่างๆ รวมถึงละครโทรทัศน์ ซึ่งออกอากาศตามปกติแล้ว รัฐบาลยังสั่งให้นำเสนอรายการพิเศษ ในโอกาสที่สำคัญต่างๆ หลายครั้งเช่น แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี, ถ่ายทอดการประชุม[[สภาผู้แทนราษฎรไทย|สภาผู้แทนราษฎร]]หลายครั้ง รวมทั้งถ่ายทอดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษด้วย ส่วน ททบ.7 นำเสนอรายการประเภท[[สารคดี]], [[ภาพยนตร์]][[ต่างประเทศ]] และเปิดแผ่นป้ายชิงรางวัล ร่วมกับรายการพิเศษ เช่นถ่ายทอดการฝึกทหารยามปกติในชื่อ "[[การฝึกธนะรัชต์]]" เป็นต้น
=== โทรทัศน์ขาวดำ ระบบ[[สหรัฐฯ]] (2498-2510) ===
โดยในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ก็เริ่มทดลองส่งแพร่ภาพโทรทัศน์ไปพลางก่อน จากห้องส่งของ[[สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท.]] ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้ บจก.ไทยโทรทัศน์ ดำเนินการเพื่อระดมทุนทรัพย์ สำหรับใช้ในการบริหารงาน และเพื่อฝึกฝนบุคลากรฝ่ายต่างๆ พร้อมทั้งเตรียมงานส่วนอื่นไปด้วย จนกว่าจะก่อสร้างอาคารที่ทำการ พร้อมติดตั้งเครื่องส่งเสร็จสมบูรณ์ ระหว่างนั้น คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เลือกใช้ ระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ซึ่งใช้อยู่ใน[[สหรัฐอเมริกา]] เป็นผลให้ [[บจก.]][[ไทยโทรทัศน์]] จัดซื้อเครื่องส่งขนาด 10 กิโลวัตต์ ของ[[บริษัท เรดิโอ คอร์ปอเรชั่น ออฟ อเมริกา]] (Radio Corporation of America) หรือที่รู้จักทั่วไปในชื่อย่อว่า อาร์.ซี.เอ. (RCA) มาใช้สำหรับการออกอากาศ และวางแผนดำเนินการแพร่ภาพ ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมาก (Very High Frequency; VHF) ทางช่องสัญญาณที่ 4 ซึ่งเมื่อรวมกับชื่อสถานที่ตั้งสถานีฯ ดังกล่าวข้างต้น ในระยะต่อมา ผู้ชมทั่วไปจึงนิยมเรียกชื่อลำลองว่า ''ช่อง 4 บางขุนพรหม'' ซึ่งมีกำหนดเริ่มแพร่ภาพ ใน[[วันศุกร์]]ที่ [[24 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2498]] ซึ่งตรงกับ[[วันชาติ (ประเทศไทย)|วันชาติไทย]]ในสมัยนั้น
 
คณะรัฐมนตรีลงมติเมื่อปี [[พ.ศ. 2502]] อนุมัติให้จัดตั้งหน่วยงานระดับกอง สังกัดกรมประชาสัมพันธ์ ขึ้นในส่วนภูมิภาค ภายใต้ชื่อว่า “[["ศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต]]”" (ปัจจุบันคือ [[สำนักประชาสัมพันธ์เขต]]) พร้อมทั้งเริ่มจัดตั้ง [[สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส่วนภูมิภาค|สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย]] ภายในที่ทำการ ของศูนย์ประชาสัมพันธ์เขตทั้งสามแห่ง ด้วยงบประมาณลงทุน 25 ล้านบาท ซึ่งทยอยเริ่มออกอากาศ ตั้งแต่ราวเดือน[[เมษายน]] -[[ พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2505]] และใช้เครื่องส่งขนาด 500 วัตต์ แพร่ภาพด้วยระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที เช่นเดียวกับในส่วนกลาง ประกอบด้วย สทท.[[จังหวัดลำปาง]] ใน[[ภาคเหนือ]] ทางช่องสัญญาณที่ 8, สทท.[[จังหวัดขอนแก่น]] ใน[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]] ทางช่องสัญญาณที่ 5 และ สทท.[[จังหวัดสงขลา]] ใน[[ภาคใต้]] ทางช่องสัญญาณที่ 9 ต่อมาภายหลัง กรมประชาสัมพันธ์ทยอยดำเนินการ ปรับปรุงเครื่องส่งให้เป็นระบบแพร่ภาพสีทั้งหมด ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 12 แห่ง คือ ภาคเหนือ ที่[[จังหวัดเชียงใหม่]] และ[[จังหวัดพิษณุโลก]], ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดขอนแก่น และ[[จังหวัดอุบลราชธานี]], [[ภาคกลาง]] ที่[[จังหวัดกาญจนบุรี]], [[ภาคตะวันออก]] ที่[[จังหวัดจันทบุรี]], ภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา [[จังหวัดยะลา]] [[จังหวัดภูเก็ต]] [[จังหวัดตรัง]] [[จังหวัดนครศรีธรรมราช]] และ[[จังหวัดสุราษฎร์ธานี]]
โดยมี[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล แปลก พิบูลสงคราม]] [[รายนามนายกรัฐมนตรีของไทย|นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น]] เป็นประธานพิธีเปิด ''[[สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4]]'' ({{lang-en|Thai Television Channel 4}} [[อักษรย่อ|ชื่อย่อ]]: ไทย ที.วี. ชื่อรหัส: HS1-TV) ขึ้นเป็นแห่งแรกของ[[ประเทศไทย]] และเป็นช่อง​แรกช่องเดียว​แห่งแรกของทวีปเอเชีย บน[[ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่]] (Asia Continental) ต่อมาในวันที่ [[25 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2500]] [[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] [[ผู้บัญชาการทหารบก]]ในขณะนั้น ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง ''[[คณะกรรมการดำเนินการวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' ประกอบด้วย [[ไสว ไสวแสนยากร|พลเอก ไสว ไสวแสนยากร]] ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานกรรมการ และ[[การุณ เก่งระดมยิง|พันเอก (พิเศษ) การุณ เก่งระดมยิง]] เป็นเลขานุการ มีหน้าที่จัดทำ''โครงการจัดตั้ง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' พร้อมทั้งวางแผนอำนวยการ และควบคุมการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ รวมถึงให้อำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติงานให้ได้ผล ตามที่ราชการทหารมุ่งหมาย ต่อมาในวันที่ [[24 มิถุนายน]] ปีเดียวกัน คณะกรรมการดังกล่าว ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารที่ทำการสถานีฯ ภายในบริเวณ[[กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์]] สนามเป้า [[ถนนพหลโยธิน]] แขวงสามเสนใน [[เขตพญาไท]] โดยทำสัญญายืมเงินกับกองทัพบก เพื่อเป็นทุนก่อสร้างและจัดหาอุปกรณ์ เป็นจำนวน 10,101,212 บาท
 
[[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกอนึ่ง ไทยทีวีช่อง 7 |สถานีโทรทัศน์BBTV CHANNEL 7 HD ]]4 และ ททบ. เคยร่วมกันถ่ายทอดการแข่งขันกีฬา ระดับนานาชาติสอง 2 รายการ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ คือ[[เอเชียนเกมส์]][[เอเชียนเกมส์ 1966|ครั้งที่ 5]] ระหว่างวันที่ [[9 ธันวาคม|9]]– [[20 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2509]] และ [[ซีเกมส์|กีฬาแหลมทอง]][[กีฬาแหลมทอง 1967|ครั้งที่ 4]] ระหว่างวันที่ 9–[[16 ธันวาคม]] พ.ศ. 2510 ซึ่งนำไปสู่การจับมือกันก่อตั้ง ''[[โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย]]'' เพื่อเป็นองค์กรอำนวยการปฏิบัติงาน ระหว่างสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทั้งหมด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม [[พ.ศ. 2511]] ซึ่งมีภารกิจสำคัญในระยะแรกคือ ถ่ายทอดการส่งมนุษย์ ขึ้นสู่ยานอวกาศ[[อะพอลโล 11]] ของ[[องค์การนาซา]] สหรัฐอเมริกา ไปลงบนพื้นผิว[[ดวงจันทร์]]เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ [[21 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2512]], ถ่ายทอดการแข่งขันกีฬา [[เอเชียนเกมส์ 1970|เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 6]] ระหว่างวันที่ [[24 สิงหาคม]]–[[4 กันยายน]] [[พ.ศ. 2513]]ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ รวมถึงการถ่ายทอด สดพระราชดำรัสของ[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหามหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] และ[[สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี]] หลังเกิด[[เหตุการณ์ 14 ตุลา|ทรงมีกระแสพระราชดำรัส แก่พสกนิกรชาวไทย]] จากหอตึกพระสมุด [[พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน]] เมื่อเวลา 19:30 นาฬิกาน. และเวลา 23:30 นาฬิกาน. ของวันที่ [[14 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2516]] ตามลำดับ เป็นต้น
เมื่อ[[วันเสาร์]]ที่ [[25 มกราคม]] [[พ.ศ. 2501]] ''[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]'' (ชื่อรหัส: HSATV ชื่อย่อ: ททบ.) เริ่มต้นออกอากาศเป็นปฐมฤกษ์ เป็นแห่งที่สองของประเทศไทย ด้วยรถตู้ถ่ายทอดนอกสถานที่ ซึ่งจอดไว้บริเวณหน้า[[สวนอัมพร|อาคารสวนอัมพร]] โดยแพร่ภาพขาวดำ ด้วยระบบ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมากเช่นกัน แต่ออกอากาศทางช่องสัญญาณที่ 7 ด้วยเครื่องส่งโทรทัศน์ ของบริษัทปายแห่งอังกฤษ กำลังส่ง 5 กิโลวัตต์ ทวีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 12 เท่า บนสายอากาศสูง 300 ฟุต รวมกำลังส่งทั้งสิ้น 60 กิโลวัตต์ สำหรับเนื้อหาที่แพร่ภาพนั้น ไทยทีวีช่อง 4 นำเสนอรายการประเภทสนทนา, ตอบคำถามชิงรางวัล และการแสดงประเภทต่างๆ รวมถึงละครโทรทัศน์ ซึ่งออกอากาศตามปกติแล้ว รัฐบาลยังสั่งให้นำเสนอรายการพิเศษ ในโอกาสที่สำคัญต่างๆ หลายครั้งเช่น แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี, ถ่ายทอดการประชุม[[สภาผู้แทนราษฎรไทย|สภาผู้แทนราษฎร]]หลายครั้ง รวมทั้งถ่ายทอดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษด้วย ส่วน ททบ.7 นำเสนอรายการประเภท[[สารคดี]], [[ภาพยนตร์]][[ต่างประเทศ]] และเปิดแผ่นป้ายชิงรางวัล ร่วมกับรายการพิเศษ เช่นถ่ายทอดการฝึกทหารยามปกติในชื่อ "[[การฝึกธนะรัชต์]]" เป็นต้น
 
=== เปลี่ยนผ่าน สู่โทรทัศน์สี ระบบยุโรป (2510-2517) ===
คณะรัฐมนตรีลงมติเมื่อปี [[พ.ศ. 2502]] อนุมัติให้จัดตั้งหน่วยงานระดับกอง สังกัดกรมประชาสัมพันธ์ ขึ้นในส่วนภูมิภาค ภายใต้ชื่อว่า “[[ศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต]]” (ปัจจุบันคือ [[สำนักประชาสัมพันธ์เขต]]) พร้อมทั้งเริ่มจัดตั้ง [[สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส่วนภูมิภาค|สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย]] ภายในที่ทำการ ของศูนย์ประชาสัมพันธ์เขตทั้งสามแห่ง ด้วยงบประมาณลงทุน 25 ล้านบาท ซึ่งทยอยเริ่มออกอากาศ ตั้งแต่ราวเดือน[[เมษายน]]-[[พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2505]] และใช้เครื่องส่งขนาด 500 วัตต์ ด้วยระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที เช่นเดียวกับในส่วนกลาง ประกอบด้วย สทท.[[จังหวัดลำปาง]] ใน[[ภาคเหนือ]] ทางช่องสัญญาณที่ 8, สทท.[[จังหวัดขอนแก่น]] ใน[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]] ทางช่องสัญญาณที่ 5 และ สทท.[[จังหวัดสงขลา]] ใน[[ภาคใต้]] ทางช่องสัญญาณที่ 9 ต่อมาภายหลัง กรมประชาสัมพันธ์ทยอยดำเนินการ ปรับปรุงเครื่องส่งให้เป็นระบบแพร่ภาพสีทั้งหมด ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 12 แห่งคือ ภาคเหนือ ที่[[จังหวัดเชียงใหม่]] และ[[จังหวัดพิษณุโลก]], ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดขอนแก่น และ[[จังหวัดอุบลราชธานี]], [[ภาคกลาง]] ที่[[จังหวัดกาญจนบุรี]], [[ภาคตะวันออก]] ที่[[จังหวัดจันทบุรี]], ภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา [[จังหวัดยะลา]] [[จังหวัดภูเก็ต]] [[จังหวัดตรัง]] [[จังหวัดนครศรีธรรมราช]] และ[[จังหวัดสุราษฎร์ธานี]]
เนื่องจากแต่เดิม ประเทศไทยใช้ระบบแพร่ภาพ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ดังที่ใช้ใน[[สหรัฐอเมริกา]] ซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 110 โวลต์ แต่ไทยใช้กำลังไฟฟ้า 220 โวลต์ เช่นเดียวกับใน[[ทวีปยุโรป]] จึงต้องใช้เครื่องแปลงความถี่ไฟฟ้า เพื่อให้เข้าใช้กับเครื่องส่ง และอุปกรณ์ประกอบต่างๆต่าง ๆ ทั้งหมดได้ นับว่าซึ่งเท่ากับสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ คณะรัฐมนตรีจึงลงมติให้ทยอยดำเนินการ ปรับปรุงระบบแพร่ภาพเป็น 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ดังที่ใช้ใน[[ทวีปยุโรป]] ซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากับที่ใช้ในไทย เพื่อลดความซับซ้อนต่อการออกอากาศลง โดยให้ดำเนินการเปลี่ยนผ่านคู่ขนานกันไป เพราะแม้ทั้งสองระบบดังกล่าว จะใช้คลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมากเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่รบกวนการออกอากาศซึ่งกันและกัน และยังใช้เครื่องรับสัญญาณที่ต่างกันด้วย หากใช้เครื่องรับโทรทัศน์ระบบเดิม ก็สามารถติดตั้งตัวรับสัญญาณระบบใหม่เพิ่มเติม เพื่อรับชมช่องรายการในระบบใหม่เป็นภาพขาวดำได้
 
[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพล ประภาส จารุเสถียร]] ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น มีนโยบายให้ คณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์กองทัพบก ลงมติอนุมัติให้ร่วมกับ [[บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด]] ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งด้วยทุน 10,000,000 บาท เมื่อวันที่ [[13 กันยายน]] พ.ศ. 2510 และมี[[ไสว จารุเสถียร|คุณหญิงไสว จารุเสถียร]] (ต่อมาขึ้นเป็นท่านผู้หญิง; ภริยาจอมพลประภาส) เป็นประธานกรรมการ กับ[[เรวดี เทียนประภาส]] (น้องสาวคุณหญิงไสว) เป็นกรรมการผู้จัดการ ดำเนินการทดลองใช้เครื่องส่งโทรทัศน์สี ของบริษัท[[ฟิลิปส์]]แห่งฮอลแลนด์ ระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที โดยบันทึกภาพการประกวด[[นางสาวไทย]] ภายในงานวชิราวุธานุสรณ์ ที่[[พระราชวังสราญรมย์]] ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ [[25 พฤศจิกายน]] ปีเดียวกัน มาถ่ายทอดในอีกสองวันถัดมา คือวันจันทร์ที่ [[27 พฤศจิกายน]] ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมาก ทางช่องสัญญาณที่ 7 และออกอากาศคู่ขนาน ด้วยระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 9<ref name="tv_research_1969">ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2512/D/010/241.PDF ประกาศสำนักงานสถิติแห่งชาติ การสำรวจเกี่ยวกับการรับวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2511], เล่ม 86 ตอน 10 ง หน้า 241, 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512. (ในหน้า 25 ของเอกสารตามลิงก์ ระบุตารางรายชื่อสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย พร้อมช่องสัญญาณที่ใช้ในขณะนั้น)</ref>
อนึ่ง [[สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4]] และ
[[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |สถานีโทรทัศน์BBTV CHANNEL 7 HD ]] ร่วมกันถ่ายทอดการแข่งขันกีฬา ระดับนานาชาติสองรายการ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ คือ[[เอเชียนเกมส์]][[เอเชียนเกมส์ 1966|ครั้งที่ 5]] ระหว่างวันที่ [[9 ธันวาคม|9]]– [[20 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2509]] และ [[ซีเกมส์|กีฬาแหลมทอง]][[กีฬาแหลมทอง 1967|ครั้งที่ 4]] ระหว่างวันที่ 9–[[16 ธันวาคม]] พ.ศ. 2510 ซึ่งนำไปสู่การจับมือกันก่อตั้ง ''[[โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย]]'' เพื่อเป็นองค์กรอำนวยการปฏิบัติงาน ระหว่างสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทั้งหมด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม [[พ.ศ. 2511]] ซึ่งมีภารกิจสำคัญในระยะแรกคือ ถ่ายทอดการส่งมนุษย์ ขึ้นสู่ยานอวกาศ[[อะพอลโล 11]] ของ[[องค์การนาซา]] สหรัฐอเมริกา ไปลงบนพื้นผิว[[ดวงจันทร์]]เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ [[21 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2512]], ถ่ายทอดการแข่งขันกีฬา [[เอเชียนเกมส์ 1970|เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 6]] ระหว่างวันที่ [[24 สิงหาคม]]–[[4 กันยายน]] [[พ.ศ. 2513]] รวมถึงการถ่ายทอด [[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช]] และ[[สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี]] [[เหตุการณ์ 14 ตุลา|ทรงมีกระแสพระราชดำรัส แก่พสกนิกรชาวไทย]] จากหอตึกพระสมุด [[พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน]] เมื่อเวลา 19:30 นาฬิกา และเวลา 23:30 นาฬิกา ของวันที่ [[14 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2516]] ตามลำดับ เป็นต้น
 
หลังจากนั้นก็ยุติการแพร่ภาพชั่วคราว เพื่อดำเนินการในทางเทคนิค และเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม มีการประกอบพิธีสถาปนา บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ และเริ่มออกอากาศ [[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL''สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7'']] HDอย่างเป็นทางการ และในปีถัดมาคือ พ.ศ. 2511 คณะกรรมการฯ ทำสัญญากับทาง บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ จัดสร้างอาคารที่ตั้ง[[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7]] '' ภายในบริเวณที่ทำการ ททบ.สนามเป้า พร้อมติดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์สี กำลังออกอากาศ 500 วัตต์ เพื่อมอบทั้งหมดให้แก่ ททบ. แล้วจึงทำสัญญาเช่าช่วงจาก ททบ. เป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อเข้ามาบริหารงานอีกทอดหนึ่ง โดยในระยะสองปีแรก (จนถึงปี พ.ศ. 2513) ใช้บุคลากรและห้องส่งร่วมกับ ททบ. ไปพลางก่อน พร้อมทั้งนำรถประจำทางเก่าสามคัน เข้าไปจอดไว้ภายในที่ทำการ ททบ.สนามเป้า แล้วรื้อที่นั่งออกทั้งหมด เพื่อใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ไปพลางก่อน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ [[4 มีนาคม]] ปีเดียวกัน บจก.ไทยโทรทัศน์ ทำสัญญาดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ สีร่วมกับ ''[[บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด]]'' ({{langLang-en|Bangkok Entertainment Company Limited}}; ชื่อย่อ: บีอีซี; BEC) ซึ่ง[[วิชัย มาลีนนท์]] ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ [[10 พฤศจิกายน]] พ.ศ. 2510 โดยมีอายุสัญญา 10 ปีนับแต่เริ่มออกอากาศอากาศาศ
=== เปลี่ยนผ่าน สู่โทรทัศน์สี ระบบยุโรป (2510-2517) ===
เนื่องจากแต่เดิม ประเทศไทยใช้ระบบแพร่ภาพ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ดังที่ใช้ใน[[สหรัฐอเมริกา]] ซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 110 โวลต์ แต่ไทยใช้กำลังไฟฟ้า 220 โวลต์ เช่นเดียวกับในทวีปยุโรป จึงต้องใช้เครื่องแปลงความถี่ไฟฟ้า เพื่อให้เข้าใช้กับเครื่องส่ง และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดได้ นับว่าสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ คณะรัฐมนตรีจึงลงมติให้ทยอยดำเนินการ ปรับปรุงระบบแพร่ภาพเป็น 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ดังที่ใช้ใน[[ทวีปยุโรป]] ซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากับที่ใช้ในไทย เพื่อลดความซับซ้อนต่อการออกอากาศลง โดยให้ดำเนินการเปลี่ยนผ่านคู่ขนานกันไป เพราะแม้ทั้งสองระบบดังกล่าว จะใช้คลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมากเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่รบกวนการออกอากาศซึ่งกันและกัน และยังใช้เครื่องรับสัญญาณที่ต่างกันด้วย หากใช้เครื่องรับโทรทัศน์ระบบเดิม ก็สามารถติดตั้งตัวรับสัญญาณระบบใหม่เพิ่มเติม เพื่อรับชมช่องรายการในระบบใหม่เป็นภาพขาวดำได้
 
เมื่อวันที่ [[5 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2512]] บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จัดหาเครื่องส่งโทรทัศน์สี กำลังออกอากาศ 10 กิโลวัตต์ พร้อมเสาอากาศสูง 570 ฟุต และเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ระบบเอฟเอ็ม กำลังส่ง 1 กิโลวัตต์ เพื่อส่งมอบให้แก่ ททบ. ต่อมาใน[[วันพฤหัสบดี]]ที่ [[26 มีนาคม]] พ.ศ. 2513 [[ถนอม กิตติขจร|จอมพล ถนอม กิตติขจร]] นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานพิธีเปิด ''[[สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3]]'' <ref name="history">[http://www.thaitv3.com/ch3/guide/aboutus_history.php ประวัติสถานีฯ] จากเว็บไซต์ไทยทีวีสีช่อง 3</ref><ref name="managermag">[http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=11253 34 ปี ช่อง 3] จาก[[เว็บไซต์]]นิตยสาร[http://www.gotomanager.com ผู้จัดการ 360 องศา]</ref> (ชื่อสากล: HS-TV 3<ref>[http://www.thaitv3.com/ch3/images/guide/Ch3BuildingFirst.jpg ภาพหน้าอาคารสถานีฯ แสดงชื่อรหัสสากลของช่อง 3] จากเว็บไซต์สถานีฯ</ref>) ซึ่งดำเนินการโดย บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์บีอีซี ที่เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 10:00 น.<ref name="history"/> ด้วยเครื่องส่งโทรทัศน์สี ระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ขนาด 25 กิโลวัตต์ สองเครื่องขนานกัน รวมกำลังส่งเป็น 50 กิโลวัตต์ เสาอากาศเครื่องส่งมีความสูง 250 เมตร มีอัตราการขยายกำลังออกอากาศ 13 เท่า กำลังสัญญาณที่ปลายเสาอยู่ที่ 650 กิโลวัตต์ ออกอากาศผ่านคลื่นวิทยุ ในย่านความถี่สูงมาก ทางช่องสัญญาณที่ 3 ซึ่งอยู่ในช่วงต่ำ (low band) และเมื่อวันที่ [[1 มิถุนายน]] ปีเดียวกัน บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ย้ายเข้าใช้อาคารที่ทำการถาวร ของสถานีโทรทัศน์ [[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] บริเวณหลัง[[สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต)]] แห่งเดิม<ref name="profile1">[http://www.ch7.com/aboutus/default.aspx?CategoryId=44 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานีโทรทัศน์ BBTV CHANNEL 7 HD ] จากเว็บไซต์ช่อง 7 HD</ref>
[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพล ประภาส จารุเสถียร]] ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น มีนโยบายให้ คณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์กองทัพบก ลงมติอนุมัติให้ร่วมกับ [[บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด]] ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งด้วยทุน 10,000,000 บาท เมื่อวันที่ [[13 กันยายน]] พ.ศ. 2510 และมี[[ไสว จารุเสถียร|คุณหญิงไสว จารุเสถียร]] (ต่อมาขึ้นเป็นท่านผู้หญิง; ภริยาจอมพลประภาส) เป็นประธานกรรมการ กับ[[เรวดี เทียนประภาส]] (น้องสาวคุณหญิงไสว) เป็นกรรมการผู้จัดการ ดำเนินการทดลองใช้เครื่องส่งโทรทัศน์สี ของบริษัท[[ฟิลิปส์]]แห่งฮอลแลนด์ ระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที โดยบันทึกภาพการประกวด[[นางสาวไทย]] ภายในงานวชิราวุธานุสรณ์ ที่[[พระราชวังสราญรมย์]] ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ [[25 พฤศจิกายน]] ปีเดียวกัน มาถ่ายทอดในอีกสองวันถัดมา คือวันจันทร์ที่ [[27 พฤศจิกายน]] ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมาก ทางช่องสัญญาณที่ 7 และออกอากาศคู่ขนาน ด้วยระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 9<ref name="tv_research_1969">ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2512/D/010/241.PDF ประกาศสำนักงานสถิติแห่งชาติ การสำรวจเกี่ยวกับการรับวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2511], เล่ม 86 ตอน 10 ง หน้า 241, 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512. (ในหน้า 25 ของเอกสารตามลิงก์ ระบุตารางรายชื่อสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย พร้อมช่องสัญญาณที่ใช้ในขณะนั้น)</ref>
 
กล่าวโดยสรุปคือ ระหว่างปี [[พ.ศ. 2513]] -[[พ.ศ. 2517|2517]] ในระบบแพร่ภาพ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที (เป็นภาพขาวดำทั้งหมด) ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 2, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 4/11/12, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 ส่วนระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 3 เป็นภาพสี, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 5 เป็นภาพขาวดำ, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7 เป็นภาพสี, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 เป็นภาพขาวดำ นอกจากนี้ ทั้งสี่ช่องยังมีคลื่นวิทยุซึ่งจัดสรรไว้ สำหรับกระจายเสียงภาษาต่างประเทศ ในภาพยนตร์หรือรายการจากต่างประเทศ โดยไทยทีวีช่อง 4 ใช้สถานีวิทยุ ท.ท.ท. ความถี่เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์บีอีซี ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 105.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของสถานีวิทยุ ท.ท.ท. ให้แก่ไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อใช้ในการนี้ ส่วน ททบ.7 ใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก (ว.ทบ.) ความถี่เอฟเอ็ม 94.0 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 103.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของ ว.ทบ.ให้แก่ช่อง 7 HDสี เพื่อใช้ในการนี้
หลังจากนั้น ก็ยุติการแพร่ภาพชั่วคราว เพื่อดำเนินการในทางเทคนิค โดยเมื่อวันศุกร์ที่ [[1 ธันวาคม]] มีการประกอบพิธีสถาปนา บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ อย่างเป็นทางการ และในปีถัดมาคือ [[พ.ศ. 2511]] คณะกรรมการฯ ทำสัญญากับทาง บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ จัดสร้างอาคารที่ตั้ง ''
[[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] '' ภายในบริเวณที่ทำการ ททบ.สนามเป้า พร้อมติดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์สี กำลังออกอากาศ 500 วัตต์ เพื่อมอบทั้งหมดให้แก่ ททบ. แล้วจึงทำสัญญาเช่าช่วงจาก ททบ.เป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อเข้าบริหารงานอีกทอดหนึ่ง โดยในระยะสองปีแรก (จนถึงปี พ.ศ. 2513) ใช้บุคลากรและห้องส่งร่วมกับ ททบ.ไปพลางก่อน พร้อมทั้งนำรถประจำทางเก่าสามคัน เข้าไปจอดไว้ภายในที่ทำการ ททบ.สนามเป้า แล้วรื้อที่นั่งออกทั้งหมด เพื่อใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ไปพลางก่อน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ [[4 มีนาคม]] ปีเดียวกัน บจก.ไทยโทรทัศน์ ทำสัญญาดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ ร่วมกับ ''[[บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด]]'' ({{lang-en|Bangkok Entertainment Company Limited}}; ชื่อย่อ: บีอีซี; BEC) ซึ่ง[[วิชัย มาลีนนท์]] ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ [[10 พฤศจิกายน]] พ.ศ. 2510 โดยมีอายุสัญญา 10 ปีนับแต่เริ่มออกอากาศ
 
เมื่อวันที่ [[5 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2512]] บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จัดหาเครื่องส่งโทรทัศน์สี กำลังออกอากาศ 10 กิโลวัตต์ พร้อมเสาอากาศสูง 570 ฟุต และเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ระบบเอฟเอ็ม กำลังส่ง 1 กิโลวัตต์ เพื่อส่งมอบให้แก่ ททบ. ต่อมาใน[[วันพฤหัสบดี]]ที่ [[26 มีนาคม]] พ.ศ. 2513 [[ถนอม กิตติขจร|จอมพล ถนอม กิตติขจร]] นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานพิธีเปิด ''[[สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3]]'' <ref name="history">[http://www.thaitv3.com/ch3/guide/aboutus_history.php ประวัติสถานีฯ] จากเว็บไซต์ไทยทีวีสีช่อง 3</ref><ref name="managermag">[http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=11253 34 ปี ช่อง 3] จาก[[เว็บไซต์]]นิตยสาร[http://www.gotomanager.com ผู้จัดการ 360 องศา]</ref> (ชื่อสากล: HS-TV 3<ref>[http://www.thaitv3.com/ch3/images/guide/Ch3BuildingFirst.jpg ภาพหน้าอาคารสถานีฯ แสดงชื่อรหัสสากลของช่อง 3] จากเว็บไซต์สถานีฯ</ref>) ซึ่งดำเนินการโดย บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ที่เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 10:00 น.<ref name="history"/> ด้วยเครื่องส่งโทรทัศน์สี ระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ขนาด 25 กิโลวัตต์ สองเครื่องขนานกัน รวมกำลังส่งเป็น 50 กิโลวัตต์ เสาอากาศเครื่องส่งมีความสูง 250 เมตร มีอัตราการขยายกำลังออกอากาศ 13 เท่า กำลังสัญญาณที่ปลายเสาอยู่ที่ 650 กิโลวัตต์ ออกอากาศผ่านคลื่นวิทยุ ในย่านความถี่สูงมาก ทางช่องสัญญาณที่ 3 ซึ่งอยู่ในช่วงต่ำ (low band) และเมื่อวันที่ [[1 มิถุนายน]] ปีเดียวกัน บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ย้ายเข้าใช้อาคารที่ทำการถาวร ของสถานีโทรทัศน์ [[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] บริเวณหลัง[[สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต)]] แห่งเดิม<ref name="profile1">[http://www.ch7.com/aboutus/default.aspx?CategoryId=44 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานีโทรทัศน์ BBTV CHANNEL 7 HD ] จากเว็บไซต์ช่อง 7 HD</ref>
 
กล่าวโดยสรุปคือ ระหว่างปี [[พ.ศ. 2513]]-[[พ.ศ. 2517|2517]] ในระบบแพร่ภาพ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที (เป็นภาพขาวดำทั้งหมด) ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 2, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 4/11/12, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 ส่วนระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 3 เป็นภาพสี, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 5 เป็นภาพขาวดำ, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7 เป็นภาพสี, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 เป็นภาพขาวดำ นอกจากนี้ ทั้งสี่ช่องยังมีคลื่นวิทยุซึ่งจัดสรรไว้ สำหรับกระจายเสียงภาษาต่างประเทศ ในภาพยนตร์หรือรายการจากต่างประเทศ โดยไทยทีวีช่อง 4 ใช้สถานีวิทยุ ท.ท.ท. ความถี่เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 105.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของสถานีวิทยุ ท.ท.ท. ให้แก่ไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อใช้ในการนี้ ส่วน ททบ.7 ใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก (ว.ทบ.) ความถี่เอฟเอ็ม 94.0 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 103.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของ ว.ทบ.ให้แก่ช่อง 7 HD เพื่อใช้ในการนี้
 
=== ปรับปรุงพัฒนา (2517-2527) ===
ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 บจก.ไทยโทรทัศน์ เริ่มแพร่ภาพด้วยระบบ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ในระบบวีเอชเอฟ ทางช่องสัญญาณที่ 9<ref>หนังสือประวัติศาสตร์ อสมท 59 ปี สื่อไทย (หน้า 24)</ref> ซึ่งเป็น[[ภาพสี]]หรือ[[ขาวดำ]] ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่แพร่ภาพ ด้วยเครื่องส่งที่ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ บีอีซีมอบให้ตามที่ระบุในสัญญา คู่ขนานไปกับไทยทีวีช่อง 4 ด้วยภาพขาวดำทั้งช่อง โดยรายการแรกเริ่มออกอากาศภาพสี เป็นครั้งแรกทางช่อง 9 คือถ่ายทอดสดการแข่งขัน [[ฟุตบอลโลก]][[ฟุตบอลโลก 1970|ครั้งที่ 9]] นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง[[ฟุตบอลทีมชาติบราซิล|ทีมชาติบราซิล]] กับ[[ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี|ทีมชาติอิตาลี]] ซึ่งเวลาประเทศไทย ตรงกับเช้า[[วันจันทร์]]ที่ [[22 มิถุนายน]] ทว่าในระยะเดียวกัน มีการเคลื่อนย้ายห้องส่งโทรทัศน์ รวมถึงสำนักงานทั้งหมด ไปยังอาคารพาณิชย์ขนาด 5 คูหาย่าน[[ถนนพระสุเมรุ]] แขวงบางลำพู เนื่องจาก[[ธนาคารแห่งประเทศไทย]] เสนอซื้ออาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด บนที่ดินบริเวณที่ทำการ บจก.ไทยโทรทัศน์ ก่อนจะยุติการแพร่ภาพระบบ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 4 หลังจาก[[วันอาทิตย์]]ที่ [[30 มิถุนายน]] พ.ศ. 2517 พร้อมทั้งปรับปรุงการแพร่ภาพ ในระบบ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 9 เป็นโทรทัศน์สีอย่างสมบูรณ์<ref>หนังสือประวัติศาสตร์ อสมท 59 ปี สื่อไทย (หน้า 24)</ref>
 
ขณะที่เมื่อปี พ.ศ. 2516 ททบ.ก็อนุมัติให้แก้ไขระยะเวลาเช่าช่วง สถานีโทรทัศน์[[ของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] ตามที่ระบุในสัญญาซึ่งทำไว้กับ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ออกไปเป็น 15 ปีจนถึง [[พ.ศ. 2527]] และตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ [[3 ตุลาคม]] พ.ศ. 2517 ททบ.ยังเปลี่ยนการส่งแพร่ภาพ จากระบบ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 7 ไปใช้ระบบ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ทางช่องสัญญาณที่ 5 จากนั้นเมื่อ[[วันอังคาร]]ที่ [[3 ธันวาคม]] ปีเดียวกัน ก็เริ่มทดลองออกอากาศด้วยภาพสีเป็นครั้งแรก ด้วยการถ่ายทอด สด[[พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์]] เนื่องใน[[พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา]]ประจำปี จากบริเวณ[[ลานพระราชวังดุสิต]] และเมื่อปี [[พ.ศ. 2518]] ยังเพิ่มกำลังส่งออกอากาศ สถานีหลักที่สนามเป้า จาก 200 เป็น 400 กิโลวัตต์ รวมทั้งเริ่มออกอากาศเป็นภาพสีอย่างสมบูรณ์ทั้งช่องด้วย
 
สืบเนื่องจาก[[เหตุการณ์ 6 ตุลา|เหตุการณ์นองเลือด]] [[6 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2519]] [[สรรพสิริ วิรยศิริ]] ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการ บจก.ไทยโทรทัศน์ นำกล้องภาพยนตร์ออกถ่ายทำข่าวบริเวณ[[ท้องสนามหลวง]] โดยเฉพาะส่วนหน้า[[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]] ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงที่สุด แล้วกลับไปล้างฟิล์มและตัดต่อด้วยตนเอง เพื่อนำออกเป็นรายงานข่าว ทั้งทางไทยทีวีสีช่อง 9 และวิทยุ ท.ท.ท. อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง จึงทำให้เขา, ราชันย์ ฮูเซ็น และลูกน้องอีกสองสามคน 2-3 คนถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งใน บจก.ไทยโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 9 และวิทยุ ท.ท.ท. กอปรกับประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เป็นผลให้ทำให้คณะรัฐมนตรีลงมติมีมติยุบเลิก บจก.ไทยโทรทัศน์ เมื่อวันที่ [[3 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2520]] แล้วจึงมี[[พระราชกฤษฎีกา]]จัดตั้ง ''[[องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย]]'' (อังกฤษ: {{Lang-en|The Mass Communication Organisation of Thailand}}; ชื่อย่อ: อ.ส.ม.ท.; M.C.O.T.) ให้เป็น[[รัฐวิสาหกิจ]] ในสังกัด[[สำนักนายกรัฐมนตรี (ประเทศไทย)|สำนักนายกรัฐมนตรี]] ประกาศเมื่อวันที่ 26 มีนาคม โดยให้รับโอนกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ของ บจก.[[ไทยโทรทัศน์]] คือ[[สถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ|สถานีวิทยุ ท.ท.ท.]] และ[[สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9]] เพื่อดำเนินงานต่อไป ตั้งแต่วันที่ [[9 เมษายน]] ปีเดียวกัน ซึ่งถือเป็นวันสถาปนา [[อ.ส.ม.ท.]]
 
เมื่อวันที่ [[28 เมษายน]] [[พ.ศ. 2521]] อ.ส.ม.ท. อนุมัติให้ขยายอายุสัญญา ดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สัมปทานกับ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ บีอีซีออกไปอีก 10 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม [[พ.ศ. 2523]] ถึงวันที่ [[25 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2533]] และในปี พ.ศ. 2521 นั้นเอง ททบ.ร่วมกับ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ เช่าช่องสัญญาณ[[ดาวเทียมปาลาปา]]ของ[[อินโดนีเซีย]] เพื่อถ่ายทอดสัญญาณจากกรุงเทพมหานคร ไปสู่สถานีเครือข่ายทุกภูมิภาค เป็นสถานีแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเช่าสัญญาณ[[ดาวเทียมนานาชาติ]] (อินเทลแซท) ถ่ายทอดภาพข่าวจากทั่วโลกมายังประเทศไทย พร้อมทั้งจัดตั้ง สถานีถ่ายทอดสัญญาณผ่านดาวเทียม เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ<ref name="profile1"/> ต่อมาในปี [[พ.ศ. 2525]] คณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์ของกองทัพบก อนุมัติให้ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ทำการแก้ไขอายุสัญญาเช่า สถานีโทรทัศน์ [[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] ออกไปอีก 12 ปี เป็นเวลารวม 27 ปี จนถึงปี [[พ.ศ. 2539]] อนึ่ง หลังจากที่วงการบันเทิง จัดให้มีรางวัลผลงานภาพยนตร์ดีเด่น ต่อมาวงการโทรทัศน์ ก็มีการสถาปนา งานประกาศผลและมอบรางวัล ผลงานดีเด่นทางโทรทัศน์ ''[[รางวัลเมขลา|เมขลา]]'' โดย[[สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย]] ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2523]] และ''[[รางวัลโทรทัศน์ทองคำ|โทรทัศน์ทองคำ]]'' โดยชมรมส่งเสริมโทรทัศน์ และ[[จำนง รังสิกุล|มูลนิธิจำนง รังสิกุล]] ตั้งแต่ปี [[พ.ศ. 2529]] และสถาบันทั้งสองยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งเป็นต้นแบบให้แก่อีกหลายรางวัล ซึ่งทยอยก่อตั้งขึ้นอีกในระยะหลัง
 
=== กำเนิดโทรทัศน์แห่งชาติ (2528-2535) ===
[[วันอังคาร]]ที่ [[15 มกราคม]] [[พ.ศ. 2528]] [[คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 43|คณะรัฐมนตรี]]มีมติให้กรมประชาสัมพันธ์ จัดทำ''โครงการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ'' เพื่อทำหน้าที่เป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อ[[การศึกษา]] เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของ[[ราชการ]]สู่[[ประชาชน]] และเพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมไปถึงการเสริมสร้างความเข้าใจอันดี ระหว่าง[[รัฐบาล]]กับประชาชน ตลอดจนเป็นแม่ข่ายให้แก่โทรทัศน์ส่วนภูมิภาค ในเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ โดยกรมประชาสัมพันธ์เริ่มดำเนินการดังกล่าว ด้วยการเคลื่อนย้ายเครื่องส่งโทรทัศน์สี จากสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ที่[[อำเภอเด่นชัย]] [[จังหวัดแพร่]] เข้ามาติดตั้งภายในอาคารศูนย์ระบบโทรทัศน์ ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพมหานคร เพื่อทดลองออกอากาศ ผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่สูงมากช่วงสูง ทางช่องสัญญาณที่ 11 เมื่อราวต้นเดือน[[ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2528]] ภายใต้ชื่อ ''[[สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย]]'' (สทท.)<ref>[http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&p=11397 ขุดกรุ:จากสถานี HS1PJ ถึงโทรทัศน์สีสเตอริโอ]* (บางส่วน) จากเว็บไซต์รถไฟไทยดอตคอม</ref> ก่อนจะแพร่ภาพเป็นประจำทุกวัน ระหว่างเวลา 16:30 - 21:00 น. ตั้งแต่วันที่ [[1 มกราคม]] [[พ.ศ. 2529]]
 
ทั้งนี้ระหว่างปี [[พ.ศ. 2528]] - [[พ.ศ. 2531|2531]] [[บริษัท แปซิฟิก คอร์ปอเรชั่น จำกัด]] (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น [[แปซิฟิกอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น|บริษัท แปซิฟิกอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด]]) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2525 โดย[[ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา]] เจ้าของกิจการนิตยสารดิฉัน ตอบรับคำเชิญของประมุท สูตะบุตร ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. คนแรก ที่ขอให้เข้ามาช่วยปรับปรุงการนำเสนอ''[[ข่าว 9 อ.ส.ม.ท. หรือ[[สำนักข่าวไทย]]'' โดยกำหนดให้[[อรุณโรจน์ เลี่ยมทอง]] เป็นผู้ประกาศในรายการ "ข่าวรับอรุณ" ซึ่งเป็นรายการข่าวภาคเช้า ที่ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาค[[เอเชียอาคเนย์]] ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และมอบหมายให้[[สมเกียรติ อ่อนวิมล]] อาจารย์ประจำ[[คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย|คณะรัฐศาสตร์]] [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] และพิธีกรรายการความรู้คือประทีปในขณะนั้น เป็นหัวหน้าผู้ประกาศข่าวภาคค่ำ ร่วมด้วย[[กรรณิกา ธรรมเกษร]] ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 9 อยู่เดิม จนกระทั่งกลายเป็นผู้ประกาศข่าวคู่ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของยุคนั้น รวมทั้งสร้างชื่อเสียงให้แก่[[ผู้ประกาศข่าว]] และ[[ผู้สื่อข่าว]]หลายคน เช่น[[วิทวัส สุนทรวิเนตร์]], [[ฤดีมาศ ปางพุฒิพงศ์]], [[สาธิต ยุวนันทการุญ]], [[ศศิธร ลิ้มศรีมณี]], [[นิรมล เมธีสุวกุล]], [[ยุพา เพ็ชรฤทธิ์]], [[สุริยนต์ จองลีพันธ์]] เป็นต้น
 
ต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติ โครงการช่วยเหลือกรมประชาสัมพันธ์ แบบให้เปล่าภายใต้วงเงิน 2,062 ล้านเยน (ขณะนั้นคิดเป็นประมาณ 300 ล้านบาท) ผ่านองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการ จัดซื้อและติดตั้งอุปกรณ์ เครื่องส่งวิทยุโทรทัศน์ ระหว่างวันที่ [[13 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2530]] ถึงวันที่ [[28 มีนาคม]] พ.ศ. 2531 รวมระยะเวลาประมาณ 9 เดือน เนื่องจากงบประมาณของกรมประชาสัมพันธ์มีข้อจำกัด รวมทั้งเครื่องส่งโทรทัศน์มีกำลังต่ำ โดยระหว่างนั้น สทท.ต้องหยุดออกอากาศชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ [[1 พฤศจิกายน]] และในวันที่ [[16 กรกฎาคม]] ปีเดียวกัน อ.ส.ม.ท. ทำสัญญาขยายเครือข่ายโทรทัศน์ทั่วประเทศร่วมกับ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์บีอีซี เพื่อดำเนินการจัดตั้งสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ พร้อมทั้งอุปกรณ์ออกอากาศร่วมกัน ระหว่างไทยทีวีสีช่อง 3 และไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. จำนวนทั้งหมด 31 แห่ง ในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ต้นเดือน[[มิถุนายน]] พ.ศ. 2531 -[[ กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2534]] เพื่อแลกกับการอนุมัติให้ขยายอายุสัญญา ดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สัมปทานออกไปอีก 30 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2533 - 25 มีนาคม [[พ.ศ. 2563]] เป็นผลให้ทั้งสองช่อง 2 ช่องสามารถออกอากาศครอบคลุมถึงร้อยละ 89.7 ของพื้นที่ประเทศไทย คิดเป็นศักยภาพของการให้บริการถึงร้อยละ 96.3 ของจำนวนประชากร<ref name="history"/><ref name="managermag"/> โดยรับสัญญาณจากสถานีส่งหลักในกรุงเทพมหานคร ผ่านช่องสัญญาณดาวเทียมอินเทลแซต และเครื่องรับสัญญาณไมโครเวฟ จาก[[ดาวเทียมสื่อสาร]]ของไทย
 
ต่อมาใน[[วันจันทร์]]ที่ [[11 กรกฎาคม]] พ.ศ. 2531 เวลา 10:00 นาฬิกาน. [[สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด อาคารที่ทำการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 90 [[ถนนเพชรบุรีตัดใหม่]] แขวงบางกะปิ [[เขตห้วยขวาง]] อย่างเป็นทางการ<ref>[http://www.ohmpps.go.th/documents/BR2531020/pdf/T0011_0006.pdf ข่าวพระราชกรณียกิจ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2530-กันยายน พ.ศ. 2531 บทที่ 11 หน้า 6] จาก[[เว็บไซต์]][[สำนักราชเลขาธิการ]]</ref> จากนั้นเป็นต้นมา สทท. จึงกำหนดให้วันดังกล่าว เป็นวันคล้ายวันสถาปนาสถานีฯ ต่อมาจึงเริ่มกลับมาออกอากาศ ข่าวภาคเช้า ข่าวภาคค่ำ รายการเพื่อการศึกษา และรายการประเภทอื่น ไปยังสถานีเครือข่ายส่วนภูมิภาค ตั้งแต่วันที่ [[1 พฤศจิกายน]] พ.ศ. 2531 จนถึงปัจจุบัน อนึ่งก่อนหน้านั้น เมื่อ[[วันอาทิตย์]]ที่ [[28 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2524]] เวลา 09:25 นาฬิกาน. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด อาคารที่ทำการ [[อ.ส.ม.ท.]] บนเนื้อที่ 14 ไร่ เลขที่ 63/1 บน[[ถนนพระรามที่ 9]] แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ซึ่งมีห้องส่งโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุด ในประเทศไทยขณะนั้น<ref>[http://www.ohmpps.go.th/documents/BR2524013/pdf/T0010_0010.pdf ข่าวพระราชกรณียกิจ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2523-กันยายน พ.ศ. 2524 บทที่ 10 หน้า 10] จาก[[เว็บไซต์]][[สำนักราชเลขาธิการ]]</ref>
 
=== กำเนิดโทรทัศน์เสรี ยุครุ่งเรืองของรายการข่าวทีวีบูม (2535-2540) ===
{{โครง-ส่วน}}
สืบเนื่องจากเหตุการณ์[[พฤษภาทมิฬ]] ซึ่งเกิดขึ้นในเดือน[[พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2535]] ประชาชนทั่วไปเชื่อกันว่า มีการใช้อำนาจรัฐในขณะนั้น เพื่อบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมขับไล่[[คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|รัฐบาล]] [[สุจินดา คราประยูร|พลเอก สุจินดา คราประยูร]] จึงทำให้ผู้ชมโทรทัศน์ของภาครัฐ ไม่สามารถรับรู้ความเป็นจริง เกี่ยวกับ[[การก่อการกำเริบโดยประชาชน|วิกฤตการณ์ทางการเมือง]]ขณะนั้นได้ตามปกติ [[คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 49|รัฐบาลหลังจากนั้น]]จึงมีดำริในการจัดตั้ง สถานีโทรทัศน์เสรี เพื่อนำเสนอข่าวสารและสาระความรู้ ไปสู่ประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเช่าสัมปทาน เพื่อให้มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
 
โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดสรรช่องสัญญาณที่ 26 ในย่านความถี่สูงยิ่ง UHF เพื่อเปิดการประมูลสัมปทาน ให้เข้าดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์เสรี เมื่อปี [[พ.ศ. 2538]] ซึ่งผู้ชนะได้แก่ กลุ่ม[[สยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์|บริษัท สยามทีวี แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด]] ที่มี[[ธนาคารไทยพาณิชย์|ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)]] เป็นองค์กรนำ จึงเข้าเป็นผู้ดำเนินโครงการสถานีโทรทัศน์เสรีดังกล่าว ซึ่งมีการก่อตั้ง[[สยามอินโฟเทนเมนต์|บริษัท สยาม อินโฟเทนเมนต์ จำกัด]] ขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นนิติบุคคลผู้ดำเนินกิจการนี้ และร่วมลงนามในสัญญาสัมปทาน กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ [[3 กรกฎาคม]] ปีเดียวกัน โดยตั้งชื่อสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า ''[[สถานีโทรทัศน์ไอทีวี]]'' และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ [[1 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2539]] โดยวางนโยบายให้ความสำคัญ กับรายการข่าวและสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ กลุ่มสยามอินโฟเทนเมนต์ มอบหมายให้เครือเนชั่น ซึ่งเข้าร่วมถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 10 เช่นเดียวกับนิติบุคคลผู้ถือหุ้นรายอื่น เป็นองค์กรหลักในการบริหารจัดรายการข่าว พร้อมทั้งส่ง[[เทพชัย หย่อง]] มาดำรงตำแหน่ง บรรณาธิการข่าวไอทีวีคนแรกของไอทีวี เพื่อฝึกอบรมผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าว ส่งผลให้ข่าวไอทีวีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก รวมถึงได้รับรางวัลมากมาย ตลอดระยะเวลา 11 ปีเศษของสถานีฯ
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า นับแต่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ผู้ชมให้ความสนใจรายการประเภทสนทนาเชิงข่าว (news talk) กระทั่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคดังกล่าว อาทิ ''[[สนทนาปัญหาบ้านเมือง]]'' ซึ่งเริ่มจัดขึ้นในราวปี [[พ.ศ. 2524]] โดยกรมการทหารสื่อสารเป็นเจ้าของรายการ ออกอากาศทาง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]] ททบ.5 และ สถานีโทรทัศน์ [[สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 |BBTV CHANNEL 7 HD ]] สี, ''มองต่างมุม'' ซึ่งเริ่มจัดขึ้นในราวปี [[พ.ศ. 2532]] โดยมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์เป็นเจ้าของรายการ [[เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง|ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง]] เป็นผู้ดำเนินรายการ และออกอากาศทาง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11]], ''เนชั่นนิวส์ทอล์ก'' (เดิมจะให้ชื่อว่า "เฟซเดอะเนชั่น; Face the Nation" แต่เมื่อเริ่มออกอากาศจริง ก็เปลี่ยนเป็นชื่อดังกล่าว) ซึ่งเริ่มจัดขึ้นเมื่อวันที่ [[4 มกราคม]] [[พ.ศ. 2536]] โดย[[บริษัท แน็ทค่อน มีเดีย จำกัด]] ในเครือ[[หนังสือพิมพ์]][[เดอะ เนชั่น (ประเทศไทย)|เดอะเนชั่น]] ([[บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)]] ในปัจจุบัน) เป็นเจ้าของรายการ [[สุทธิชัย หยุ่น]] เป็นผู้ดำเนินรายการ และออกอากาศทาง[[สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.]], ''ตรงประเด็น'' ซึ่งเริ่มจัดขึ้นในราวปี พ.ศ. 2536 โดย[[สำนักข่าวไทย]]ของ อ.ส.ม.ท. เป็นเจ้าของรายการ ถวัลย์ศักดิ์ สุขะวรรณ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยขณะนั้น เป็นผู้ดำเนินรายการ และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท., ''กรองสถานการณ์'' ซึ่งเริ่มจัดขึ้นในราวปี พ.ศ. 2536 โดย[[สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์]]เป็นเจ้าของรายการ สมฤทธิ์ ลือชัย กับอดิศักดิ์ ศรีสม เป็นผู้ดำเนินรายการ และออกอากาศทาง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11|สทท. 11]] (แทนที่รายการมองต่างมุม) เป็นต้น
 
=== ยุคปรับตัวเพื่ออยู่รอด (2540-2550) ===
{{โครง-ส่วน}}
ในปี [[พ.ศ. 2541]] [[สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก]]ททบ.5 จัดตั้ง[[ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก|สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม[[ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก]] ออกอากาศ 177 ประเทศทั่วโลก และในวันที่ [[1 กรกฎาคม]] ปีเดียวกัน บริษัทไอบีซีและยูทีวี ได้ควบรวมกิจการจัดตั้งเป็น [[ทรูวิชั่นส์|บริษัท ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)]] (หรือยูบีซีในขณะนั้น)]] สำหรับการออกอากาศนั้น ทั้งสองก็ได้ออกอากาศต่อไปในนามของยูบีซี แต่ในกรณีสัญญาสัมปทานนั้น ยูบีซี ได้ใช้สัญญาสัมปทานของ อ.ส.ม.ท. ที่ได้ให้ต่อไอบีซีเดิม (ระยะเวลาสัญญา 25 ปี คือระหว่างปี พ.ศ. 2532 ถึงปี- พ.ศ. 2557) ต่อมาวันที่ [[29 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2546]] ครม. สมัย[[ทักษิณ ชินวัตร|พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร]] มีมติให้ยุบเลิก[[องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย]]แปลงสภาพ อ.ส.ม.ท. และให้เปลี่ยนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดในชื่อ [[อสมท|บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)]] (บมจ.อสมท) ซึ่งต่อมามีผลเมื่อวันที่ [[17 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2547]]
 
=== ล้มโทรทัศน์เสรี-ตั้งโทรทัศน์สาธารณะ (2550-2556) ===
{{โครง-ส่วน}}
เมื่อปี [[พ.ศ. 2547]] คณะ[[อนุญาโตตุลาการ]] ลดอัตราสัมปทานแก่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ให้ชำระเป็นเงิน 230 ล้านบาทต่อปี พร้อมกับอนุญาตให้ไอทีวี แก้ไขสัดส่วนการออกอากาศ รายการสาระต่อรายการบันเทิง จากร้อยละ 70 ต่อ 30 เป็นร้อยละ 50 ต่อ 50 รวมถึงการปรับโครงสร้างภายใน [[ไอทีวี|บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)]] ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากสยามอินโฟเทนเมนต์ เมื่อปี [[พ.ศ. 2541]] เพื่อให้ไอทีวีสามารถอยู่รอดทางธุรกิจได้
 
ทว่าศาลปกครองสูงสุด กลับวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่ง ของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ส่งผลให้[[บริษัท บมจ.ไอทีวี จำกัด (มหาชน)]] ต้องจ่ายค่าสัมปทาน สำหรับเช่าสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นเงิน 1,000 ล้านบาทต่อปีตามเดิม และต้องปรับเพิ่มสัดส่วน ให้รายการข่าวและสาระ เป็นร้อยละ 70 ต่อรายการบันเทิง ร้อยละ 30 ตามเดิมด้วย นอกจากนี้ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ยังต้องชำระค่าปรับ จากการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ที่ไม่เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน คิดเป็นร้อยละ 10 ของค่าสัมปทานแต่ละปี คิดเป็นรายวัน วันละ 100 ล้านบาท นับแต่เริ่มปรับผังรายการ เป็นระยะเวลา 2 ปี
 
อย่างไรก็ตาม บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ก็ไม่สามารถจ่ายค่าสัมปทาน และคำเสียหายดังกล่าว ให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ ในที่สุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 มติคณะรัฐมนตรีสั่งให้ยกเลิกสัญญาสัมปทาน จัดตั้งสถานีโทรทัศน์เสรี ระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งสั่งให้ยุติการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อเวลา 24.00 น. วันเดียวกัน โดยมอบหมายให้[[กรมประชาสัมพันธ์]] เข้ากำกับดูแลการออกอากาศและรับโอนกิจการสถานีโทรทัศน์ โดยให้ชื่อใหม่ว่า ''[[สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี]]'' ซึ่งออกอากาศในวันถัดไป (คือวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 น.) ในเวลาต่อมา ก็ยังได้มีการจัดตั้งสำนักงานบริหารกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ เฉพาะกิจ (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบในการดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ในช่วงเวลาเฉพาะกิจ ไปจนกว่าที่จะมีความแน่นอนในการดำเนินกิจการ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ [[20 มิถุนายน]] พ.ศ. 2550<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/E/075/13.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้แปลงสภาพภารกิจการดำเนินกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ ให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นสำนักงานบริหารกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ เฉพาะกิจ(หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) พ.ศ. 2550] สืบค้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560</ref>
 
หลังจากพระราชบัญญัติ [[องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย]] พ.ศ. 2551 ลงประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] และมีผลบังคับใช้ในวันที่ [[5 มกราคม]] [[พ.ศ. 2551]] แล้ว<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/A/008/1.PDF พระราชบัญญัติ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑], เล่ม ๑๒๕, ตอน ๘ก, ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑, หน้า ๑</ref> สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้ทำหนังสือถึงกรมประชาสัมพันธ์ ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กรมประชาสัมพันธ์จึงออกหนังสือคำสั่งที่ 25/2551 เพื่อให้สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ยุติการออกอากาศ ตั้งแต่เวลา 00.08 น. ของวันที่ [[15 มกราคม]] [[พ.ศ. 2551]]<ref>[http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=151541&NewsType=1&Template=1 คำสั่งกรมประชาสัมพันธ์ ที่ 25/2551 เรื่อง ให้สถานีวิทยุโทรทัศน์ ระบบ ยู เอช เอฟ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551] [[เดลินิวส์]]ออนไลน์ 14 มกราคม 2551 21:01 น.</ref> และเพื่อให้องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ส.ส.ท. ดำเนินการออกอากาศอย่างต่อเนื่อง ด้วยการโอนกิจการสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ไปไว้ให้เป็นหน่วยงานในสังกัดขององค์การฯ ส.ส.ท. ตามความในมาตรา 57 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ในวันเดียวกันที่มีการเปลี่ยนผ่านการออกอากาศของทางสถานีฯ พร้อมกับเชื่อมต่อรับสัญญาณการออกอากาศชั่วคราวจากอาคารสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สทท. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ (ปัจจุบันคืออาคารที่ทำการ[[สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์]]และ[[เอ็นบีทีเวิลด์|สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเวิลด์]]) จนถึงวันที่ 31 เดือนและปีเดียวกัน โดยใช้เวลาเพียง 16 วัน<ref>[http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=75202 ปิดฉากทีไอทีวีคืนนี้ เชื่อมสัญญาณช่อง 11] [[ไทยรัฐ]]ออนไลน์ 14 มกราคม 2551 21:41 น.</ref> ในชื่อ''[[สถานีโทรทัศน์ทีพีบีเอส]]'' ซึ่งต่อมาได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ [[1 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2551]] และในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น [[สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส]]
 
=== เปลี่ยนผ่านสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิทัล (2556-ปัจจุบัน) ===
เส้น 85 ⟶ 81:
ตามแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ พ.ศ. 2555 กำหนดให้เริ่มต้นรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ภาคพื้นดินด้วยระบบดิจิทัล ภายในเวลา 4 ปี นับแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555 ซึ่งประกาศแผนแม่บทฉบับดังกล่าว และสืบเนื่องด้วย แผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่ 1 (กรอบการดำเนินงานอยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2559) มีการกำหนดยุทธศาสตร์ และระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านการออกอากาศ[[โทรทัศน์ภาคพื้นดิน]]จาก[[โทรทัศน์ระบบแอนะล็อก|ระบบแอนะล็อก]] ไปสู่[[โทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล|ระบบดิจิทัล]] ซึ่งสามารถออกอากาศ[[โทรทัศน์ความละเอียดสูง]]ได้ โดยให้เริ่มรับส่งสัญญาณด้วยระบบดิจิทัลภายใน 4 ปี, ให้มีมาตรการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการผลิตอุปกรณ์รับสัญญาณวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ภายใน 3 ปี, ให้มีมาตรการสนับสนุนอุปกรณ์รับสัญญาณวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล สำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใน 3 ปี และให้มีจำนวนครัวเรือนในเมืองใหญ่ ที่สามารถรับสัญญาณวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลได้ ไม่น้อยกว่า 80% ภายใน 5 ปี<ref name="nbtc">กสทช. "การเปลี่ยนผ่านสู่โทรทัศน์ระบบดิจิทัล." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://digital.nbtc.go.th/index.php/articles-en/18-future-digital 2556. สืบค้น 27 ธันวาคม 2556.</ref>
 
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ (กสท.) จึงได้มีการประชุมภายในหลายครั้งจนได้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการจัดการบริหารช่องและคลื่นความถี่อย่างชัดเจน แต่ภายหลังได้มีการปรับลดจำนวนช่องลงเพื่อความเหมาะสม และมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขอยู่ตลอด จนในที่สุดข้อกำหนดทั้งหมดได้ถูกบันทึกเอาไว้ใน ประกาศของ[[คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ]] (กสทช.) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ พ.ศ. 2556 โดยอนุมัติช่องรายการดิจิทัลทีวีทั้งหมด 48 ช่อง และเริ่มจำหน่ายซองเอกสารเงื่อนไขการประมูลช่องในวันที่ 10 - 12 กันยายน พ.ศ. 2556 เพื่อเตรียมความพร้อมในการประมูลที่มีขึ้นในช่วงวันที่ 26 และ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งการประมูลในวันนั้น ทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศกว่า 50,862 ล้านบาท
 
จากนั้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557 กสทช. เชิญบริษัทซึ่งผ่านการประมูลทั้งหมด มาประชุมเพื่อตกลงร่วมกัน ในการเลือกหมายเลขช่องที่ใช้ออกอากาศ ส่วนช่องที่ประมูลได้ใบอนุญาต ให้ผู้ที่ประมูลชนะด้วยมูลค่าเงินสูงสุดได้เลือกหมายเลขก่อนตามลำดับ และวันที่ 27 มกราคม ปีเดียวกัน กสทช. จึงประกาศหมายเลขช่องของแต่ละบริษัท และช่องทีวีดิจิทัลส่วนมากได้เริ่มทดลองออกอากาศในระบบดิจิทัลเมื่อวันที่ 1 เมษายนปีเดียวกัน ระหว่างนี้ กสทช. ได้เตรียมการเปลี่ยนผ่านโดยการแจกคูปองทีวีดิจิทัลทั่วประเทศ สำหรับนำไปใช้แลกซื้อหรือเป็นส่วนลดสำหรับอุปกรณ์รับชมทีวีดิจิทัลได้ 3 อย่าง คือ [[กล่องรับสัญญาณ]]รุ่น [[DVB-T2]], โทรทัศน์ที่สามารถรับสัญญาณดิจิทัลในตัว หรืออุปกรณ์อื่นๆอื่น ๆ เช่น [[สายอากาศ]]<ref>{{Cite web|url=https://www.sanook.com/hitech/1392269/|title=เริ่มแจกคูปองทีวีดิจิตอลแล้ว!! ล็อตแรก 21 จังหวัด|author=[[สนุก.คอม]]|website=www.sanook.com|date=20 ตุลาคม 2557|accessdate=26 กรกฎาคม 2563}}</ref> ก่อนจะเริ่ม[[การยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกในประเทศไทย|การยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก]] โดยเริ่มจาก [[สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส|Thai PBS]] ใน[[อำเภอเกาะสมุย|เกาะสมุย]] [[จังหวัดสุราษฎร์ธานี]] และ[[อำเภอไชยปราการ]] [[จังหวัดเชียงใหม่]] ในปี พ.ศ. 2558 โดยในปี พ.ศ. 2561 สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีเดิมส่วนใหญ่ได้ยุติการออกอากาศทีวีแอนะล็อก กสทช. จึงกำหนดให้วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นวันยุติออกอากาศทีวีแอนะล็อกอย่างเป็นทางการ แต่[[ช่อง 3 เอชดี|ยกเว้นสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3]] คัดค้านมติเนื่องจากที่ทำสัมปทานไว้กับ [[อสมท|บมจ.อสมท]] ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขสัมปทานได้ และยังไม่สามารถยุติการออกอากาศทีวีแอนะล็อกก่อนเวลาได้ แต่ก็มีการแยกตราสัญลักษณ์ออกจากกัน และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกเป็นช่องสุดท้ายในเวลา 00:01 น. ของวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งครบ 50 ปี ตามสัญญาสัมปทาน และถือเป็นวันยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์<ref name=":1">{{Cite web|url=https://mgronline.com/business/detail/9630000029771|title=ช่อง 3 ยุติแอนะล็อก ยกสินทรัพย์คืน อสมท|author=[[ผู้จัดการออนไลน์]]|website=mgronline.com.com|date=24 มีนาคม 2563|accessdate=7 กรกฎาคม 2563}}</ref>
 
== อ้างอิง ==