ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาการท้องอืด"
Doraeminmon (คุย | ส่วนร่วม) หน้าใหม่: '''ตด''' หรือ ผายลม เป็นเรื่องธรรมชาติ ในวันหนึ่งๆ คนเราอาจผายลม... |
(ไม่แตกต่าง)
|
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:23, 3 กันยายน 2551
ตด หรือ ผายลม เป็นเรื่องธรรมชาติ ในวันหนึ่งๆ คนเราอาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ตดเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโตรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติคนเราขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ตด หรือผายลม) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
สาเหตุ
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
- แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและจมูก กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
- แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ตดบอกโรค
การตดกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าตดนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ตดเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและตดหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของตดได้
ตดกับพฤติกรรม
ตดนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
- อาหารที่กระตุ้นการตดและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม(นม)ปั่น เป็นต้น
- พฤติกรรมกระตุ้นตด ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการตดเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
การป้องกัน
- อย่ากลืนลมเข้าปาก เวลาที่คุณคอแห้งให้จิบน้ำครั้งละนิด
- ลดการกินของหวานมัน ซึ่งได้แก่ อาหารประเภทนม อาหารหวานมัน และขนมหวานๆ
- กินช้าๆ ค่อยๆ กินและเคี้ยวให้ละเอียดจะแก้ลมในท้อง
- ดื่มนมเปรี้ยว เพราะนมเปรี้ยวจะช่วยสร้างแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายซึ่งช่วยกำจัดลมที่เกิดจากเชื้อตัวอื่นๆ ได้
- กินถ่านเม็ด สามารถช่วยลดลมในท้องได้ดี
- ดื่มน้ำส้มสายชูแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มหลังอาหาร
- เครื่องเทศ ได้แก่ กระวาน อบเชย กานพลู ลูกผักชี ขิงแห้ง ลูกจันทร์ นำทั้งหมดมาคั่วและป่นให้ละเอียดชงน้ำร้อนดื่มเวลาท้องอืด
- เวลากินถั่วให้แช่น้ำไว้นานๆ อย่างน้อย 12 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาต้มให้เปื่อย
อ้างอิง
- นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551