พระสุก
พระสุก เป็นพระพุทธรูปในตำนานพระพุทธรูปสามพี่น้องแห่งอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งได้จมลงในแม่น้ำโขง ณ บริเวณเวินสุก ปากแม่น้ำงึม ฝั่งตรงข้ามพื้นที่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ศรัทธาได้สร้างพระพุทธรูปจำลองของพระสุกไว้เพื่อสักการะบูชาอยู่หลายแห่ง และกล่าวกันว่ามีผู้ได้อัญเชิญพระสุกองค์จริงขึ้นมาจากแม่น้ำโขง และอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดศรีธรรมาราม จังหวัดยโสธร
ทั้งนี้ ยังมีพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างอีกองค์หนึ่ง ซึ่งได้อัญเชิญลงมาจากเวียงจันทน์มายังกรุงเทพมหานครภายหลังเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์พร้อมกันกับพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างอีกหลายองค์ ภายหลังได้อัญเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดราชผาติการาม กรุงเทพมหานคร และมีการถวายพระนามว่า พระสุก แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไปจากพระสุกในตำนานพระพุทธรูปสามพี่น้องแห่งล้านช้าง
ประวัติ
แก้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า พระราชธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้างเวียงจันทน์ (ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้าง) ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ พระสุกนั้นเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำองค์กลาง ส่วนพระใสประจำองค์สุดท้อง
ตามประวัติการสร้างเล่าว่า มีพิธีการทางบ้านเมืองและทางวัดช่วยกันใหญ่โต มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะเป็นเวลา 7 วัน แล้วทองก็ยังไม่ละลาย ถึงวันที่ 8 เวลาเพล เหลือพระญาครูกับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ ได้ปรากฏชีปะขาว (ตาผ้าขาว) ตนหนึ่งมาขอช่วยทำแทน พระญาครูกับเณรน้อยจึงไปฉันเพล ฝ่ายญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วยแต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่ แต่เมื่อถามพระดูแล้วพระมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จคนทั้งหมดจึงลงมาดูก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง 3 เบ้า ส่วนชีปะขาวได้หายตัวไปไร้ร่องรอย
หลังสร้างเสร็จพระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรล้านช้าง ณ นครหลวงเวียงจันทน์มาช้านาน คราใดที่เกิดสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุขชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควาย หากเหตุการณ์สงบแล้วจึงนำกลับมาประดิษฐานไว้ที่เดิม ส่วนหลักฐานที่ว่าประดิษฐานอยู่ ณ เมืองนครเวียงจันทน์ตั้งแต่เมื่อใดนั้นยังไม่มีปรากฏแน่ชัด ทราบเพียงว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดเหตุการณ์สงครามเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ และให้ทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียสิ้น เมื่อสิ้นสงครามแล้วในปี พ.ศ. 2371 จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใสมาที่จังหวัดหนองคาย
มีคำบอกเล่าว่า คราที่อัญเชิญมานั้นไม่ได้อัญเชิญมาจากเมืองนครหลวงเวียงจันทน์โดยตรง แต่อัญเชิญมาจากภูเขาควายซึ่งชาวเมืองนำไปซ่อนไว้ การอัญเชิญนั้นได้ประดิษฐานหลวงพ่อทั้งสามไว้บนแพไม้ไผ่ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงเวินแท่นได้เกิดอัศจรรย์ คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุแรงจัดพัดแพจนเอียง ชะเนาะที่ขันพระแท่นติดกับแพไม่สามารถที่จะทนน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า “เวินแท่น” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขงบริเวณปากงึมเฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ "เวินสุก" ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริมและพระใสมาถึงหนองคาย สำหรับพระเสริมนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่องหรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ ณ ปัจจุบัน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริมจากวัดโพธิ์ชัยลงไปยังกรุงเทพมหานคร ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหาริย์ โดยพราหมณ์ผู้อัญเชิญนั้นไม่สามารถขับเกวียนนำพระใสไปได้ แม้จะใช้กำลังคนหรืออ้อนวอนอย่างไรก็ตามจนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงปรึกษาตกลงกันว่าให้อัญเชิญพระใสมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริม ซึ่งอัญเชิญไปกรุงเทพมหานคร เมื่ออธิษฐานดังกล่าวพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้ พระใสจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยมานับแต่นั้น สำหรับพระเสริมนั้น เมื่อเชิญลงยังกรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้อัญเชิญพระเสริมจากเมืองหนองคายไปประดิษฐานยังพระบวรราชวัง ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระเสริมไปประดิษฐาน ณ พระวิหาร วัดปทุมวนาราม
ความเชื่อเรื่องเหตุที่พระสุกจมน้ำ
แก้จากเหตุการณ์พระสุกแหกแพจมน้ำดังกล่าว เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาคที่ต้องการพระสุกไปบูชายังเมืองใต้บาดาล โดยเล่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแยกเป็น 2 นัย ดังนี้[1]
- เนื่องจากการหล่อพระสุกเกิดปัญหาติดขัดไม่สำเร็จดี ทำให้พระธิดาองค์ที่สร้างพระสุกตั้งจิตอธิษฐานให้พญานาคช่วย เมื่อพญานาคขึ้นมาช่วยนางตามคำขอก็ได้ขอนางแต่งงาน ภายหลังจากที่หล่อเสร็จไม่นานก็เกิดศึกสงครามขึ้น พระธิดาได้สิ้รพระชนในศึกครานี้ และไปเกิดเป็นมเหสีของพญานาคดังคำที่เคยสัญญา ซึ่งสวามีของนางนั้นเป็นพญานาคที่ดีและมีบุญบารมี มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า และพ่นบั้งไฟเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษาไม่เคยขาด จากการที่นางสามารถระลึกชาติได้แล้วเกิดความรู้สึกคิดถึงพระพุทธรูปที่ตนสร้าง นางจึงตั้งจิตปรารถนาว่าจะเป็นผู้ดูแลเอง เพราะเป็นพระประจำตัวของตน ครั้นมีผู้อัญเชิญพระสุกเดินทางมาตามลำน้ำโขง นางพญานาคจึงสำแดงฤทธิ์บันดาลให้เกิดพายุฝนขึ้น คราแรกไม่สำเร็จ มีเพียงพระแท่นที่จมลงมา นางจึงบันดาลพายุอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วในที่สุดเรือที่อัญเชิญพระสุกมาก็ล่มลงพร้อมๆ กับพระสุกที่จมดิ่งลงสู่ใต้ลำน้ำโขง และคาดว่านางคงจะนำไปบูชาเก็บรักษาไว้ในภพของบาดาล แม้ภายหลังจะมีผู้พยายามอัญเชิญพระสุกขึ้นมา ก็ทำได้เพียงแค่ลอยขึ้นมาถึงพระอุระของพระสุกเท่านั้น แล้วก็กลับจมลงไปอีก นับจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะอัญเชิญพระสุกขึ้นมาอีก เพราะกลัวจะทำให้นางพญานาคไม่พอใจ
- ด้วยความที่เหล่าพญานาคมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าหลังจากที่ได้ยินข่าวการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง พญานาคเหล่านั้นก็แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นไปขอพระพุทธรูปจากเจ้าเมือง โดยเจาะจงขอพระสุกไปสักการบูชาแต่เจ้าเมืองไม่ให้ เป็นเหตุให้เมื่อมีการขนย้ายพระสุกผ่านลำน้ำโขงพญานาคจึงบันดาลให้เกิดพายุพัดพระสุกจมลงสู่ลำน้ำเพียงองค์เดียว นอกจากนี้ยังมีบางแห่งเล่าเสริมว่า จริงๆ แล้วพญานาคทราบข่าวตั้งแต่เริ่มสร้างแล้ว เพราะบรรดาชีปะขาวที่มาช่วยเททองนั้นแท้จริงเป็นพญานาคแปลงกายมา เนื่องจากต้องการได้บุญกุศลจากการสร้างพระพุทธรูปในครั้งนี้
ปัจจุบันคนส่วนมากยังคงเชื่อว่า พระสุกยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ณ บริเวณเวินสุก ดังเช่นที่เป็นมาในอดีต แต่บางส่วนเชื่อว่ามีผู้งมพระสุกขึ้นมาได้และได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดศรีธรรมาราม จังหวัดยโสธร[2] ดังจะได้อธิบายเนื้อความต่อไป
อนึ่ง ความเชื่อเรื่องพระสุกยังคงจมน้ำอยู่นั้น ได้สะท้อนให้เห็นจากกรณีการขุดพบพระพุทธรูปโบราณจำนวนมากที่ดอนทรายริมแม่น้ำโขงในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว ฝั่งตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 ทำให้บุคคลในสื่อสังคมของลาวบางส่วนแสดงความสงสัยและตั้งข้อสันนิษฐานว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระพุทธรูปซึ่งค้นพบที่เมืองต้นผึ้ง จะมีพระสุกที่จมน้ำลงตามตำนานรวมอยู่ด้วย[3][4] แม้โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระพุทธรูปที่ค้นพบเหล่านั้นส่วนมากเป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน และเป็นไปได้ว่าบริเวณที่ค้นพบพระพุทธรูปจมน้ำน่าจะเป็นวัดโบราณบนดอนแท่น อันเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงแสนโบราณที่ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และถูกกระแสน้ำซัดเนื่องจากแม่น้ำโขงเปลี่ยนทางเดินจนพังทลายไปตามกาลเวลา[5][6]
พระสุกจำลอง
แก้ด้วยความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของพระสุกตามตำนานพระพุทธรูปสามพี่น้องแห่งล้านช้าง จึงมีการหล่อพระพุทธรูปจำลองแทนองค์พระสุกที่จมน้ำ ดังนี้
พระสุกจำลอง ณ วัดศรีคุณเมือง
แก้พระสุกองค์จำลองซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีคุณเมือง อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ รูปแบบศิลปกรรมแบบล้านช้างช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 หน้าตักกว้าง 91 เซนติเมตร ความสูงรวมฐาน 114 เซนติเมตร ฐานกว้าง 94.5 เซนติเมตร[7] กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ เมื่อปี พ.ศ. 2534 ในราชกิจจานุเบกษา
พระสุกองค์จำลององค์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2420 ถือว่าเป็นพระสุกองค์จำลองที่สร้างขึ้นเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ปรากฏหลักฐาน ผู้สร้างคือหลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสมฺปนฺโน (สกุลเดิม: สุวรรณมาโจ) ผู้สร้างวัดพระบาทโพนสัน พระธาตุท่าอุเทน และพระเจดีย์วัดพระพุทธบาทบัวบก[8] โดยได้ดำเนินการสร้างพระสุกองค์จำลองอยู่ที่วัดศรีคุณเมือง มีขุนพิพัฒน์โภคาเป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้างฝ่ายฆราวาส เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแทนองค์พระสุกที่จมอยู่ในแม่น้ำโขงบริเวณปากน้ำงึม (เวินสุก) เมื่อสร้างเสร็จก็ได้ตั้งชื่อว่า พระสุก และได้ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดศรีคุณเมือง จังหวัดหนองคาย มาจนถึงปัจจุบัน
พระสุกจำลอง ณ วัดหลวงเจติยาราม
แก้ในปี พ.ศ. 2535 พระครูพิสัยกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวงเจติยาราม และเจ้าคณะอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พร้อมด้วยญาติโยม ได้ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระสุก ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2536 จากนั้นจึงได้ประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูปองค์หลวงพ่อพระสุกขึ้น[1] มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 129 เซนติเมตร สูงจากพระเบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 169 เซนติเมตร[9] และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนเจดีย์ดังกล่าว
พระสุก ณ วัดศรีธรรมาราม
แก้ที่วัดศรีธรรมาราม จังหวัดยโสธร ได้ปรากฏว่ามีการเก็บรักษาพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างองค์หนึ่ง พระนามว่า พระคัมภีรพุทธเจ้า หรือพระพุทธมงคลรุ่งโรจน์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระสุกองค์จริงที่ถูกงมขึ้นมาจากก้นแม่น้ำโขง
ข้อมูลจากหนังสือ "เจดีย์พระสุกและพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณ" ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นเป็นที่ระลึกเนื่องในงานสมโภชเจดีย์พระสุกและพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559 ได้ระบุข้อมูลว่า ผู้ที่นำหลวงพ่อพระสุกมามอบไว้ให้ที่วัดศรีธรรมาราม คือ พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิตตะยโศธร) ต้นตระกูลจิตตะยโศธร ซึ่งชีวิตในวัยเด็กของท่านมีความผูกพันกับวัดศรีธรรมารามและเมืองยโสธรเป็นอย่างมาก ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งปลัดมณฑลอุดร ราวปี พ.ศ. 2467 ท่านได้ใช้ให้นักโทษซึ่งต้องโทษประหารชีวิต จำนวน 8 คน ไปค้นหาพระสุกในแม่น้ำโขง หากทำสำเร็จจะได้รับการละเว้นโทษตาย ซึ่งปรากฏว่านักโทษงมหาหลวงพ่อพระสุกจนพบ และสามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ แต่เรื่องราวนี้ไม่เป็นที่เปิดเผย[2]
จากบันทึกรายการทรัพย์สินในพระอุโบสถวัดศรีธรรมาราม คราวที่พระครูวิจิตตวิโสธนาจารย์ (ทองพูล โสภโณ) เจ้าอาวาสลำดับที่ 2 บูรณะพระอุโบสถ (ช่วงปี พ.ศ. 2467 – พ.ศ. 2473) รายการทรัพย์สินลำดับที่ 5 ได้มีการบันทึกไว้ว่า เป็นพระพุทธรูปขัดเงาปางมารวิชัย (ปางชนะมาร) ฐานเป็นเรือนแก้ว พระนามว่า คำภีรพุทธเจ้า หน้าตักกว้าง 27 นิ้วฟุต (68.58 เซนติเมตร) นับรวมตั้งฐานสูง 41 นิ้วฟุต (104.14 เซนติเมตร) สร้างแต่ยุคเวียงจันทน์ยังดำรงเอกราช พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์เป็นเจ้าของ ราคาประมาณ 800 บาท จากเอกสารนี้ทำให้ทราบว่า พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์สำคัญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดศรีธรรมาราม คราวบูรณะพระอุโบสถ พ.ศ. 2467 – พ.ศ. 2473 เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระอาจารย์มี คมฺภีโร บิดาของท่าน โดยใช้พระนามว่า คัมภีรพุทธเจ้า ซึ่งพ้องกับฉายาเดิมของบิดาท่าน[10]
คณะผู้จัดทำหนังสือ "เจดีย์พระสุกและพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณ" สันนิษฐานว่าพระสุกซึ่งประดิษฐาน ณ เจดีย์พระสุกและพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณ วัดศรีธรรมาราม น่าจะเป็นพระสุกองค์จริงด้วยเหตุผลดังนี้[11]
- ลักษณะขององค์พระมีความเก่าอ่อนช้อย งดงาม ตามแบบศิลปะล้านช้าง
- เนื้อองค์พระมีความเก่าและความหนัก บริเวณฐานมีร่องรอยกัดกร่อนด้วยจมน้ำเป็นเวลานาน (ราว 100 ปี จาก พ.ศ. 2371 – 2467 โดยประมาณ) รอยคราบโคลนยังปรากฏให้เห็น
- ผู้ที่อัญเชิญมาคือพระยาอุดรธานีฯ อดีตเจ้าเมืองอุดร ซึ่งเป็นข้าพระบาทที่ใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย และมีหลักฐานว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลงความเห็นเกี่ยวกับพระสุก พระเสริม พระใส ว่าเป็นพระพุทธรูปล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์อื่นๆ และทรงสันนิษฐานว่า อาจเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเมืองหนึ่งเมืองใดทางตะวันออกของอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาตกอยู่ในเขตล้านช้าง หรืออาจสร้างขึ้นในเขตล้านช้างโดยฝีมือชาวลาวพุงขาวล้านช้าง ซึ่งเป็นไปได้ว่าพระองค์ทรงเคยเห็นพระพุทธรูปทั้ง 3 พระองค์นี้ พระยาอุดรธานีฯ ถือได้ว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ เพราะได้ติดตามสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาตลอด ทำให้ทราบถึงความสำคัญของพระสุก และสามารถค้นพบ และได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดศรีธรรมารามแห่งเมืองยโสธร เพื่อเป็นอนุสรณ์แทนคุณแผ่นดินเกิดของท่านและเมืองยโสธร ซึ่งมีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเมืองเวียงจันทน์และนครจำปาศักดิ์มาช้านาน อนึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยเสด็จมาที่วัดศรีธรรมาราม และโปรดให้เปลี่ยนชื่อวัดในขณะนั้นจากวัดศรีธรรมหายโศก เป็นวัดอโศการาม ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีธรรมารามในยุคหลัง
- พระราชสุทธาจารย์ (รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม ณ พ.ศ. 2559) เคยเล่าว่า พระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม ได้กล่าวย้ำกับท่าน อยู่เสมอว่า "นี่แหละหลวงพ่อพระสุก นี่แหละหลวงพ่อพระสุก" และอนุญาตให้เปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ได้หลังจากที่พระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว
เมื่อครั้งที่พระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) ยังมีชีวิตอยู่ ท่านมีความปรารถนาที่จะสร้างวิหารเพื่อเป็นที่ประดิษฐานแห่งองค์พระสุก แต่เนื่องจากราคาค่าก่อสร้างสูงเป็นสิบๆ ล้านบาท ท่านจึงพิจารณาว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะการรับกิจนิมนต์แต่ละครั้งของท่าน ชาวบ้านได้ทำบุญด้วยความศรัทธาตามกำลังของชาวบ้าน จึงเกรงว่าจะก่อให้เกิดความยุ่งยากลำบากใจในภายหลัง ท่านจึงเก็บรักษาพระสุกไว้เป็นอย่างดี คอยย้ายที่ประดิษฐานและใช้ชื่อพระคัมภีรพุทธเจ้าและพระพุทธมงคลรุ่งโรจน์แทนชื่อพระสุก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจป้องกันมีให้ผู้ใดมาลักขโมยองค์พระ ต่อมาจึงได้มีการทำเรื่องส่งให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ทำการขึ้นทะเบียนพระคัมภีรพุทธเจ้า หรือพระพุทธมงคลรุ่งโรจน์ (หลวงพ่อพระสุก) ไว้เป็นโบราณวัตถุของชาติ เมื่อ พ.ศ. 2548
ภายหลังการมรณภาพของพระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) คณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมใจกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นภายในพื้นที่วัดศรีธรรมาราม เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระสุก และจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์บริขารและสถานที่ประดิษฐานอัฐิธาตุของพระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) ใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปี จึงแล้วเสร็จ หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดยโสธรจึงได้ร่วมกันจัดพิธีสมโภชพระสุกอย่างยิ่งใหญ่ และได้อัญเชิญพระสุกมาประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในองค์เจดีย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 และกระทำพิธีฉลองและเปิดเจดีย์พระสุกและพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559
พระสุก ณ วัดราชผาติการาม
แก้ที่วัดราชผาติการาม กรุงเทพมหานคร มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อ "พระสุก" หรือ "หลวงพ่อสุก" เป็นพระพุทธรูปประธานประจำพระอุโบสถวัดราชผาติการาม มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย รูปแบบศิลปกรรมล้านช้างช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-23 คล้ายคลึงกับพระเสริม วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร และพระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย มีขนาดหน้าตักกว้าง 69 เซนติเมตร สูง 169 เซนติเมตร เป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์สามกษัตริย์ มีเส้นลายเงินฝังอยู่ตามชายสังฆาฏิและจีวร มีพระโอษฐ์สุกเป็นสีนาก จึงได้ออกพระนามต่อๆ กันมาว่า "หลวงพ่อสุก" [12]
ตามประวัติกล่าวว่า เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพมหานครภายหลังสงครามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์พร้อม ๆ กับพระพุทธรูปสำคัญของเวียงจันทน์อีกหลายองค์ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระสุกในพระบวรราชวัง ก่อนจะอัญเชิญพระสุกมาเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดราชผาติการาม ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2379[13]
ด้วยความที่พระสุกองค์นี้ชื่อพ้องกันกับพระสุกในตำนานพระพุทธรูปสามพี่น้อง และถูกอัญเชิญจากเวียงจันทน์ลงมายังกรุงเทพมหานครภายหลังสงครามคราวเดียวกัน ทำให้มีคนส่วนหนึ่งเข้าใจว่า พระสุกองค์นี้เป็นองค์เดียวกันกับพระสุกในตำนาน แต่มิได้จมลงก้นแม่น้ำโขงตามที่ตำนานเล่าไว้[14]
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 หลวงพ่อพระสุก วัดหลวง
- ↑ 2.0 2.1 ชาวลาวส่วนใหญ่ไม่รู้ นักโทษสยามนำ "พระสุก" ..พระพุทธรูปแหกแพ ขึ้นจากน้ำโขงเงียบๆ เกือบ 100 ปีมาแล้ว
- ↑ เพจดังของลาวตั้งข้อสงสัย พระพุทธรูปที่เพิ่งโผล่กลางแม่น้ำโขง อาจเป็น "พระสุก" ที่หายไป
- ↑ โซเชียลลาวตั้งข้อสังเกต พระโบราณริมโขง อาจเป็น "พระสุก" ในตำนาน
- ↑ พระพุทธรูปเชียงแสน : จินตกรรมวัฒนธรรมร่วมที่เมืองเชียงแสน จ.เชียงราย กับเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว & อดีตและอนาคตที่ไร้พรมแดนรัฐชาติ
- ↑ “เพ็ญสุภา” นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ตั้งข้อสังเกตพบ “พระพุทธรูป” ริมน้ำโขง
- ↑ วัดริมโขงหนองคาย
- ↑ ญาคูสีทัด พระผู้นำการสร้างงานพุทธศิลป์ในพื้นที่สองฝั่งโขง
- ↑ ห้องสมุดประชาชนอำเภอโพนพิสัย
- ↑ พุทธศิลป์อีสาน
- ↑ พระสุก – หลวงตาพวง – วัดศรีธรรมาราม : ธรรมสถานตำนานเมืองยโสธร
- ↑ ประวัติวัดราชผาติการามวรวิหาร
- ↑ พระสุก และประวัติวัดราชผาติการาม (อดีตวัดร้างที่ชาวญวนรื้ออิฐไปทำบ้าน) โดย กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม (จาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ ธันวาคม 2556)
- ↑ กราบขอพร "หลวงปู่สุก" ชมภาพเขียน "พระมหาชนก" วัดราชผาติการามวรวิหาร