ผู้ใช้:Sarun Praklang/กระบะทราย
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ Sarun Praklang หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
การปกครองแบบคณาธิปไตย
แก้ความหมายของคณาธิปไตย
แก้หมายถึง ระบบการปกครองที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งหรือคณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง มีอำนาจเหนือประชาชน และประชาชนต้องคอยฟังคำสั่ง และปฏิบัติตามเท่านั้น เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่จะประกอบด้วยคนกลุ่มเดียว ไม่ใช่การปกครองแบบระบบเผด็จการโดยคนคนเดียว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีอำนาจในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง[1]
หมายถึง ระบอบการปกครองโดยคณะบุคคลซึ่งผู้ปกครองเป็นกลุ่มเผด็จการที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อพรรคพวกของตัวเองเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นการปกครองที่มักจะมาจาก การที่รัฐบาลเกิดการปฏิวัติหรือมีการรัฐประหารยึดอำนาจ เช่น รูปแบบการปกครองของไทยภายใต้คณะผู้นำทหารสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม และสมัยจอมพลถนอม ประภาส[2]
การเมืองการปกครองหมายถึง
แก้การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งอำนาจ และการใช้อำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน และการใช้อำนาจที่ได้มานั้นก็เพื่อสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ส่วนการปกครองเป็นเรื่องของการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายที่รัฐมอบให้ดำเนินการ โดยมุ่งที่จะสร้าง ความสงบสุข ความเป็นระเบียบ ให้เกิดขึ้นในสังคม ภายใต้รูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยและแบบเผด็จการ สรุปแล้ว การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพันกับอำนาจและการปกครอง ไม่ว่าสภาวการณ์ใดหรือสถาบันใด ปละถ้าหากเกิดการต่อสู้การแข่งขันกัน เพื่อแสวงหาอำนาจแล้วก็เป็นการเมืองทั้งสิ้น นอกจากนี้ การเมืองยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง การดูแล และจัดการให้มนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างเป็นธรรมและเป็นระเบียบเรียบร้อย [3]
การปกครองแบบคณาธิปไตยหมายถึง
แก้การปกครองแบบคณาธิปไตยหมายถึง ระบบการปกครองที่มีบุคคลจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถ มีสติปัญญา มีคุณธรรมสูงส่ง เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ทางการเมืองและบริหารประเทศ เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดของความเป็นมนุษย์ ระบอบการปกครองนี้จะมีลักษณะคล้ายกับการปกครองแบบเผด็จการ แต่เป็นการปกครองแบบเผด็จการโดยกลุ่มคน หรือ คณะบุคคล ซึ่งการออกคำสั่งหรือกระทำการทางการเมืองสามารถทำได้รวดเร็วโดยการตัดสินใจของกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ การปกครองแบบคณาธิปไตยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขของพรรคพวก ของตัวเองเป็นสำคัญ[4]
ประเทศที่ปกครองแบบคณาธิปไตย
แก้ในปัจจุบันยังมีบางประเทศที่มีลักษณะการปกครองแบบคณาธิปไตย เช่น ประเทศเอลซัลวาดอร์ ประเทศกัวเตมาลา ประเทศโคลัมเบีย ประเทศฮอนดูรัส ที่การตัดสินใจนโยบายของรัฐบาลขึ้นอยู่กับผู้มีอิทธิพลไม่กี่กลุ่ม โดยไม่ฟังความเห็น หรือข้อโต้แย้งจากประชาชนหรือบุคคลอื่น นอกจากคณะหรือ กลุ่มบุคคลของตนเอง
[5]
ข้อดีของระบบการปกครองแบบคณาธิปไตย
แก้- สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์หรือภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
- ยกย่องผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงเพื่อช่วยปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
- ช่วยให้การปกครองประเทศชาติ มีประสิทธิภาพ และสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม[6]
ข้อเสียของระบบการปกครองแบบคณาธิปไตย
แก้- สกัดกั้นมิให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามามีบทบาท หรือ ส่วนร่วมในการสร้างความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
- ผู้ปกครองและพรรคพวกอาจใช้อำนาจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
- ก่อให้เกิดการต่อต้าน ประเทศชาติขาดความสงบสุข
- ทำให้เศรษฐกิจและสังคมถดถอย อันเนื่องมาจากการผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นผู้นำและพวกพ้อง[7]
หลักการของระบอบการปกครองแบบคณาธิปไตย
แก้- คณะผู้นำ หรือพรรคการเมืองเพียงกลุ่มเดียว มีอำนาจสูงสุดในการปกครองและสามารถใช้อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
- การรักษาความมั่นคงของคณะผู้นำสำคัญมากกว่าการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และประชาชนไม่สามารถจะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคณะผู้นำอย่างเปิดเผยได้
- รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย
กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ รากฐานอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น
การปกครองแบบคณาธิปไตยในอดีตของประเทศไทย
แก้การปกครองโดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอำนาจการปกครองประเทศอย่างแท้จริง มีจุดเริ่มต้นจากการทำรัฐประหารโดยคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นยุคที่ทหารและกองทัพ มีบทบาทในการปกครองประเทศโดยการยึดอำนาจทำรัฐประหาร การรัฐประหาร ปี พ.ศ. 2490 เกิดขึ้นสามปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง มีนัยสำคัญสองประการ ก็คือ นัยที่เป็นสัญลักษณ์และความเป็นจริง เป็นสัญลักษณ์ เพราะว่ามีส่วนเสริมข้อถกเถียงที่ว่าทหารมีบทบาทสำคัญทางด้านการเมืองและขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ ด้านความจริงก็คือนับจากนั้นไปฝ่ายเสรีนิยมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายผู้นำเสรีนิยมกับฝ่ายทหารจึงสลายไปตั้งแต่ พ.ศ. 2490 ประเทศไทยก็ได้แปรสถานภาพทางการเมืองโดยมีทหารปกครอง
รัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐประหารในครั้งนั้นส่งผลให้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกในเวลาต่อมา แต่การรัฐประหารของประเทศไทยนั้นจะต้องทำให้การยึดอำนาจสมเหตุสมผล และต่อมา นายควง อภัยวง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะราษฎร ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็ดำรงตำแหน่ง ไม่ครบ 6 เดือน นับจากเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
[8]
การปกครองประเทศไทยยุคจอมพล ป พิบูลสงคราม
แก้จอมพล ป พิบูลสงคราม หรือ ชื่อเดิม แปลก เกิดวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 เป็นนายกคนที่ 3 ของประเทศไทย ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศไทย คือ 14 ปี 11 เดือน 18 วัน รวม 8 สมัย ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตีเมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ต่อจากพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา โดยการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ ชื่อเรียก “ประเทศไทยในปัจจุบัน” ท่านก็เป็นคนเปลี่ยนจากเดิมที่เรียกกันว่า “ประเทศสยาม’’ และยังเป็นผู้ที่เปลี่ยน “เพลงชาติไทย” ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันอีกด้วย[9]
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น ออกกฎหมายคุ้มครอง อุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย
และปลูกฝัง ให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลง
การปกครอง และให้ เกิดความทันสมัย เช่น ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน การสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ ของจอมพล ป พิบูลสงคราม โดยการจัดตั้ง
สภาวัฒนธรรมขึ้น เพื่อจัดระเบียบวิถีชีวิตของคนไทย โดยประกาศรัฐนิยมฉบับต่างๆ เช่น ไม่สงเสริมศิลปะและดนตรีไทยเดิมแต่ส่งเสริมดนตรีสากล สั่งห้ามประชาชนกินหมากเด็ดขาด ให้สวมหมวกสวม
รองเท้า มีคำส่งให้ข้าราชการกล่าวคำว่า “สวัสดี” ในโอกาสที่แรกพบกัน เป็นต้นในสมัยนั้นรัฐบาลเอาจริงในเรื่องของการแต่งกายเป็นอย่างมาก เช่น สำหรับผู้ชายให้ยกเลิกการนุ่งโจงกระเบน แล้วให้หันมา
ใส่กางเกงแทน และยังต้องการให้ชื่อของคนไทยระบุให้แน่ชัดว่าเป็น หญิงหรือชาย ซึ่งก็เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน [10]
ผลงานทางด้านการเมืองของรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จัดตั้งหน่วยยุวชนทหารและให้มีทหารหญิง การมีละครและเพลงปลุกใจทั้งหลาย เช่นเพลงตื่นเถิดชาวไทย หรือต้นตระกูลไทย ที่หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แต่ง และท่านยังได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริมการศึกษาวิชาการแก่ประชาชน เช่น มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุยัน) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น [11]
อ้างอิง
แก้- ↑ https://sites.google.com/site/primarypoliticalscience/bth-thi3rup-baeb-kar
- ↑ chawana9988 (10 สิงหาคม 2553). "รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด". สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2560
- ↑ suputtra phonwat (19 กันยายน 2554) "ความหมายของการเมืองการปกครอง". สืบค้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2560
- ↑ ชาญชัย (6 กรกฎาคม 2556). "รูปแบบการปกครอง". สืบค้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2560
- ↑ ชาญชัย (6 กรกฎาคม 2556). "รูปแบบการปกครอง". สืบค้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2560
- ↑ wordpress.com (ุ6 พฤศจิกายน 2554). "ข้อดีข้อเสีย ของการปกครองแต่ละรูปแบบ". สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560
- ↑ wordpress.com (ุ6 พฤศจิกายน 2554). "ข้อดีข้อเสีย ของการปกครองแต่ละรูปแบบ". สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560
- ↑ บ้านจอมยุทธ (สิงหาคม 2543 ). "ประวัติการเมืองการปกครองไทย". สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560
- ↑ No-face (30 เมษายน 2557). "จอมพล ป. พิบูลสงคราม: ย้อนอดีตยุคเผด็จการครองเมือง". เรื่องราวมากมายบนโลกใบกลมๆ. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560
- ↑ No-face (30 เมษายน 2557). "จอมพล ป. พิบูลสงคราม: ย้อนอดีตยุคเผด็จการครองเมือง". เรื่องราวมากมายบนโลกใบกลมๆ. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560
- ↑ ชนิดา จรรโลงศิริชัย "แปลก พิบูลสงคราม" สืบค้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560