ปลาสวาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pangasianodon hypophthalmus) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก แนวบริเวณหัวถึงครีบหลังลาดตรง ตาอยู่เสมอหรือสูงกว่ามุมปาก ปากแคบกว่าปลาบึก ที่อยู่สกุลเดียวกัน รูปร่างเพรียวแต่ป้อมสั้นในปลาขนาดใหญ่ ก้านครีบท้องมี 8–9 เส้น ครีบก้นยาว ปลาขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเงิน ด้านข้างลำตัวสีจางและมีแถบสีคล้ำตามยาว ครีบสีจาง ครีบหางมีแถบสีคล้ำตามแนวยาวทั้งตอนบนและล่าง ปลาขนาดใหญ่มีสีเทาหรือคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีจาง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใหญ่สุด 1.5 เมตร

ปลาสวาย
Iridescent shark.jpg
สถานะการอนุรักษ์
CITES Appendix I (CITES)[2]
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ edit
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น: ปลาที่มีก้านครีบ
อันดับ: อันดับปลาหนัง
วงศ์: Pangasiidae
สกุล: ปลาบึก (สกุล)
(Sauvage, 1878)
สปีชีส์: Pangasianodon hypophthalmus
ชื่อทวินาม
Pangasianodon hypophthalmus
(Sauvage, 1878)
P hypophthalmus migrations.gif
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์และอพยพย้ายถิ่นของปลาสวาย
ชื่อพ้อง

Helicophagus hypophthalmus Sauvage, 1878
Pangasius sutchi Fowler, 1937[3]
Pangasius hypophthalmus (Sauvage, 1878)

พบในแม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ ทั่วประเทศไทย เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งซึ่งมีการเพาะเลี้ยงกันมานานกว่า 50 ปี แล้ว โดยเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2509 โดยถือเป็นสัตว์น้ำชนิดแรกที่กรมประมงของไทยผสมเทียมประสบความสำเร็จเป็นชนิดแรกด้วย[4] ปลาในธรรมชาติมีฤดูวางไข่ในเดือนกรกฎาคม นิยมบริโภคโดยปรุงสดและรมควัน ในธรรมชาติมักพบชุกชุมตามอุทยานปลาหรือหน้าวัดต่าง ๆ ที่ติดริมน้ำ โดยในบางพื้นที่อาจมีปลาเทโพเข้ามาร่วมฝูงด้วย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาที่สีกลายเป็นสีเผือก และจากการศึกษาล่าสุดพบว่า ในเนื้อปลาสวายนั้นมีโอเมกา 3 คิดเป็นปริมาณแล้วสูงกว่าในปลาทะเลเสียอีก โดยมีถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม[5] [6]

รูปภาพแก้ไข

อ้างอิงแก้ไข

  1. Vidthayanon, C.; Hogan, Z. (2011). "Pangasianodon hypophthalmus". IUCN Red List of Threatened Species. 2011: e.T180689A7649971. doi:10.2305/IUCN.UK.2011-1.RLTS.T180689A7649971.en. สืบค้นเมื่อ 19 November 2021.
  2. "Appendices | CITES". cites.org. สืบค้นเมื่อ 2022-01-14.
  3. "Pangasius hypophthalmus". ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ. สืบค้นเมื่อ February 7, 2009.
  4. หน้า ๑๗๖-๑๗๗, ๘๔ ปี สถาปนากรมประมง. วารสารพิเศษกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
  5. "กินปลาน้ำจืดแหล่งโอเมกา 3 ไม่แพ้ปลาทะเล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-23. สืบค้นเมื่อ 2009-12-14.
  6. สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์. สาระน่ารู้ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2547. 257 หน้า. หน้า 31. ISBN 974-00-8738-8

แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข