ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3
ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 (อังกฤษ: Transformers : Dark of the moon) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนววิทยาศาสตร์ และ แนวแอ็คชั่นบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ มีต้นแบบมาจากหุ่นยนต์ของเล่นชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สที่สามารถแปลงร่างได้ เริ่มออกฉายครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปีพุทธศักราช 2554 สำหรับภาคนี้ เป็นภาคที่สามของภาพยนตร์ชุดเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สืบเนื่องมาจากภาพยนตร์ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น ที่ออกฉายใน พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่ต่อมาภายหลัง 3 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ต่อเนื่องเรื่องแรกที่บริษัท ดรีมเวิร์กส ไม่ได้จัดจำหน่าย และมอบให้ พาราเมาต์พิกเจอร์ส เป็นเจ้าของผลงานแต่เพียงผู้เดียว
ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 | |
---|---|
ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | ไมเคิล เบย์ |
เขียนบท | เอเรน ครูเกอร์ |
สร้างจาก | ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส โดย ฮาสโบร |
อำนวยการสร้าง | |
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | อาเมียร์ โมกรี |
ตัดต่อ |
|
ดนตรีประกอบ | สตีฟ จาบลอนสกี |
บริษัทผู้สร้าง |
|
ผู้จัดจำหน่าย | พาราเมาต์พิกเจอส์ |
วันฉาย |
|
ความยาว | 154 นาที[4] |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5][6] |
ทำเงิน | 1.124 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] |
ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 ได้รับการกำกับโดยไมเคิล เบย์ และได้ สตีเวน สปีลเบิร์กเป็นผู้อำนวยการบริหาร ทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคนี้เป็นภาพยนตร์ภาคสุดท้ายที่ ทาคาร่า ทอมมี่ (Takara Tomy) เป็นเจ้าของ และ ฮาสโบร์ว (Hasbro) เป็นผู้ออกแบบตัวละครหุ่นยนต์ในภาพยนตร์ ที่ประเทศญี่ปุ่น เรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเนื้อเรื่องภายหลัง 3 ปี ต่อจากเหตุการณ์จากภาคเดิมในปี พ.ศ. 2552 กล่าวถึงฝ่าย ออโต้บ็อตส์ (Autobots) ที่ทำการร่วมรบกับ กองทหารพิเศษฝ่ายมนุษย์ ชื่อว่า หน่วยเนสท์(Nest ซึ่งย่อมาจาก Nonbiological Extraterrestrial Species Treaty) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีต่างดาวที่ซ่อนอยู่ปะปนกับมนุษย์บนโลก ซึ่งเคยถูกค้นพบมาแล้วบนดวงจันทร์ โดยยานอวกาศ อะพอลโล 11 (Apollo 11) เมื่อ 42 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่าย ดีเซปติคอนส์ (Decepticons) มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ในการที่จะทำให้มนุษย์ตกเป็นทาส และในการที่จะฟื้นฟูดาวไซเบอร์ตรอน เพื่อให้เป็นบ้านหลังใหม่ของพวกทรานส์ฟอร์เมอร์ส
เนื้อเรื่อง
แก้ในปี คริสต์ศักราช 1961 ยานบิน ดิ อาร์ค (The Ark) ยานอวกาศลำใหญ่ของฝ่ายออโต้บ็อตส์ได้นำเอาสิ่งประดิษฐ์บางอย่างหนีไป หลังจากจบสงครามระหว่างฝ่ายกู้โลกออโต้บ็อตส์ และฝ่ายทำลายโลกดีเซปติคอน แต่สุดท้ายยานบินลำนั้นประสบอุบัติเหตุพุ่งชนดวงจันทร์ และ การพุ่งชนครั้งนั้นส่งผลให้มีสัญญาณที่ตรวจเจอความผิดปกติส่งมายังโลกโดยดาวเทียมของ นาซ่า ต่อมา ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ.เคนเนดี ได้ออกคำสั่งให้มีภารกิจส่งหน่วยพิเศษเพื่อขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ ในปี คริสต์ศักราช 1969 ลูกเรือของยาน อะพอลโล 11 จึงลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ
ในปัจจุบัน ออโต้บ็อตส์ทำการร่วมมือกับกองทหารของสหรัฐอเมริกา ในการป้องกันสงครามและการต่อสู้ของหุ่นยนต์ทั่วทั้งโลก รวมทั้งการตามหาเทคโนโลยีต่างดาวที่ถูกซ่อนอยู่บนโลก ออพติมัส ไพรม์ ได้พบกับซากชิ้นส่วนของ ดิ อาร์ค และ พบว่าหุ่นยนต์ฝ่ายดีเซปติคอนส์มีชีวิตรอดมาจากการตกกระแทกของยานอวกาศในครั้งนั้น ได้ทำการโจมตีฝ่ายออโต้บ็อตส์ และหลบหนีไปได้ เมื่อฝ่ายออโต้บ็อตส์รู้ว่ามีการโจมตีโลกอีกครั้ง จึงรวมตัวสมาชิกที่เหลือรอดอยู่บนโลกและออกเดินทางไปรอบโลก เพื่อทำลายชิ้นส่วนของ เดอะอาร์ค และ พบกับบรรพบุรุษของออพติมัส ไพรม์ ชื่อว่า เซนทิเนล ไพรม์ ซึ่งกำลังสลบอยู่ และพบกับเสาพลังงานทั้ง 5 ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายไปมา ระหว่างโลกกับอวกาศ หลังจากกลับมายังโลก ออพติมัสได้ใช้พลังของเมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ เพื่อคืนชีพ ให้กับ เซนทิเนล ผู้เป็นพี่ชายของเขา
ขณะเดียวกับ แซม วิทวิคกี้ (Sam Witwicky) กำลังสับสนระหว่างการช่วยเหลือออโต้บ็อตส์หรือจะออกหางานทำ เนื่องจากเขาอิจฉาและไม่พอใจที่แฟนใหม่ของเขา คาร์ดี้ สเปนเซอร์ (Carly Spencer) ไปสนิทสนมกับ ดีแลน กูลด์ หัวหน้าบริษัทแห่งหนึ่งที่แซมเพิ่งได้งานใหม่ที่นั่น แซม ได้คุยกับเพื่อนของเขาเกี่ยวกับยานบินดิ อาร์คก่อนที่เพื่อนเขาจะถูกสังหารโดยเลเซอร์บีค และแซมก็ได้พยายามติดต่อ กับ ซีมัวร์ ซิมมอนส์ อดีตเจ้าหน้าที่จากหน่วยลับเซ็กเตอร์เซเว่นที่รู้ความลับเรื่องหุ่นยนต์ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับฝ่ายดีเซปติคอน และ หัวหน้าเมกะทรอน แซมได้ค้นพบว่าดีเซปติคอนเคยครอบครองยานอวกาศเดอะอาร์คมาก่อน ก่อนที่พวกออโต้บ็อตส์จะสละยาน และทิ้งเซนทิเนล ไพรม์ กับเสาหลักทั้ง 5 เสาไว้เพื่อล่อให้ดีเซปติคอนส์ไปติดกับดัก ถือได้ว่าเซนทิเนลคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เสาทั้ง 5 ทำงานได้ และฝ่ายดีเซปติคอนส์เองก็ต้องการใช้เสาพลังงานเพื่อเคลื่อนย้ายกองทัพ จึงทำให้ดีเซปติคอนส์ต้องไว้ชีวิตเซนทิเนล ไพรม์ ไว้ แซมทราบความจริงดังนั้นจึงรีบเร่งให้บัมเบิลบี ดีโน่ และไซด์สไวป์ รีบกลับไปเพื่อช่วยเหลือเซนทิเนล ไพรม์ แต่เซนทิเนลกลับหักหลังและสังหารหุ่นรบฝ่ายออโต้บ็อตส์ ชื่อว่า ไอร่อนไฮด์ เนื่องจากเซนทิเนลตัดสินใจทำข้อตกลงกับเมกะทรอนไว้ ว่าจะทำให้เผ่าพันธุ์หุ่นยนต์ทั้งหมดมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เซนทิเนลรู้ว่า ออโต้บ็อตส์ไม่ต้องการทำร้ายมนุษย์เพราะหากนำดาวไซเบอร์ทรอนและหุ่นยนต์ทั้งหมดมายังโลกจะทำให้โลกมนุษย์สูญสิ้น เซนทิเนลจึงหักหลังออพติมัส ไปเข้าร่วมกับเมกะทรอนทันที
ต่อมาเซนทิเนลได้ใช้พลังของแท่งเสาเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์ทั้งหลายที่ต้องการมายังโลกมนุษย์ ดีเซปติคอนส์ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยตัวจึงได้ถูกดูดจากดวงจันทร์มาสู่โลก ในขณะที่คาร์ลี่ แฟนใหม่ของแซม ถูกดีแลนด์ซึ่งแท้จริงแล้วรับใช้ฝ่ายดีเซปติคอนส์อยู่ลับหลังนั้น จับตัวเธอไป และฝ่ายออโต้บ็อตส์ถูกหน่วยเหนือบังคับให้เดินทางออกจากโลกเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม แซมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เขาและออพติมัสต้องจากกัน ยานอวกาศได้รับการบินขึ้น แต่สุดท้ายก็ถูกสตาร์สครีมยิงระเบิดหมดทั้งลำ แต่โชคดีที่พวกออโต้บ็อตส์ได้วางแผนว่าจะขึ้นยานไปแต่แอบสละยานออกก่อนที่ยานจะระเบิดและซ่อนตัวใต้มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อให้เซนทิเนลและเมกะทรอนตายใจว่าออโต้บ็อตส์เสียชีวิตกันหมดแล้ว เมกะทรอนหลงเชื่อจึงนำเสาทั้ง 5 ไปปักไว้แต่ละทวีปทั่วโลก เพื่อเคลื่อนย้ายดาวไซเบอร์ทรอนและหุ่นยนต์จากอวกาศมาสู่โลก และ เมื่อมีการดำเนินการเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์มายังโลกก็ทำให้ทวีปแรกที่เริ่ม ดำเนินการหายไป แซมจึงร่วมมือกับยูเอส แอร์ฟอร์ซชีพ เพื่อหยุดยั้งการนำหุ่นยนต์จากนอกโลกเข้ามายังโลก และเพื่อช่วยเหลือคาร์ลี่ที่ถูกดีแลนด์จับตัวไปด้วย
หลังจากนั้นผู้คนได้เริ่มทำสงครามกับดีเซปติคอนส์ แต่ไม่สามารถสู้ได้ เมื่อพวกเขาใกล้จะแพ้ ฝ่ายออโต้บ็อตส์ที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาช่วยมนุษย์ทำสงครามกับดีเซปติคอน บัมเบิลบีอาสาขับยานพาแซมไปช่วยคาร์ลี่ และสังหารเลเซอร์บีคฝ่ายดีเซปติคอนส์ตาย โชคร้ายที่ภายหลังบัมเบิลบี แร็ตเชต และหุ่นยนต์ตัวอื่น ๆ ถูกซาวด์เวฟ และ บาร์ริเคด จับเป็นเชลย วีลแจ็ค หรือ คิว หุ่นยนต์ออโต้บ็อตส์ถูกบาร์ริเคดฆ่าตาย จากนั้นจึงจับตัวบัมเบิลบีมาหวังจะฆ่าเป็นรายต่อไป แต่วิลลี่ และ เบรนส์ หุ่นยนต์ขนาดเล็กทำการฉีกยานบินฝ่ายข้าศึกขนาดใหญ่ในบริเวณนั้นพอดี ยานบินจึงตกลงมายังจุดที่ออโต้บ็อตส์ถูกจับ บัมเบิลบีจึงใช้โอกาสโต้กลับและสังหารซาวด์เวฟตาย ในเวลาเดียวกัน แซมได้ใช้อาวุธประดิษฐ์ของคิว ที่ให้แซมไว้ก่อนสิ้นใจสังหารสตาร์สครีมได้เช่นกัน ขณะที่คาร์ลี่ทำใจกล้าใช้เล่ห์กลล่อลวงให้เมกะทรอนและเซนทิเนลทะเลาะกันเอง คาร์ลี่ทำการสำเร็จ เมกะทรอนจึงมุ่งหน้าไปสังหารเซนทิเนล ฝ่ายออพติมัสที่ออกต่อสู้กับเซนทิเนลนั้น กำลังเสียเปรียบ เมกะทรอนเข้ามายิงเซนทิเนลบาดเจ็บสาหัส ออพติมัสใช้โอกาสสำคัญนี้สังหารทั้งเมกะทรอนและเซนทิเนลเสียชีวิตทั้งคู่ ขณะเดียวกัน บัมเบิลบีไปทำลายระบบแท่งเสาเคลื่อนย้ายดวงดาวได้เช่นกัน เมื่อสงครามจบลง ออพติมัส ได้สัญญาว่าจะร่วมรบกับมนุษย์เพื่อจะปกป้องโลกต่อไป
ตัวละคร
แก้- แซม วิทวิคกี้ รับบท โดย ไชอา เลอบัฟ (ให้เสียงภาษาไทยโดย กริน อักษรดี) เขาเป็นถึงผู้ที่ช่วยโลกไว้ถึงสองครั้งสองครา และได้กลายเป็นเพื่อนกับพวก ออโต้บ็อตส์
- คาร์ลี่ รับบทโดย โรซี่ ฮันติงตัน ไวท์ลี่ย์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย นิรมล กิจภิญโญชัย) แฟนใหม่ของแซม เธอมักจะรู้สึกไม่ค่อยดีเวลาที่แซม วิทวิคกี้ ไปเสี่ยงอันตรายต่าง ๆ นานา
- ผู้พันวิลเลี่ยม เลนนิกซ์ รับบทโดย จอช เดอเมล (ให้เสียงภาษาไทยโดย จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทร) เป็นผู้บัญชาการหน่วยเนสท์ ร่วมมือทำการสำคัญกับออพติมัส ไพรม์และเหล่าออโต้บ็อตส์มาตั้งแต่ภาคแรก
- โรเบิร์ต เอปส์ รับบทโดย ไทริส กิบสัน (ให้เสียงภาษาไทยโดย เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง) คู่หูของเลนนิกซ์ ซึ่งปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจเชิญชวนเพื่อนทหารของเขากลับมาช่วยแซมกู้โลกร่วมกัน
- ซีมัวร์ ซิมมอนส์ รับบทโดย จอห์น เทอร์เทอร์โร (ให้เสียงภาษาไทยโดย สามารถ เมฆะวิภาค) อดีตเจ้าหน้าที่ของเซ็กเตอร์เซเว่น ที่ยินยอมพร้อมใจช่วยเหลือออโต้บ็อตส์ในยามคับขันมาตลอด
- ออพติมัส ไพรม์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ธงชัย ชาญชำนิ) เป็นผู้นำของเหล่าออโต้บ็อตส์ ฝีมือนั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับยากมาก เขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปกป้องมนุษย์และพยายามพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าออโต้บ็อตส์ควรได้สิทธิ์อยู่บนโลกต่อไป
- บัมเบิลบี (ให้เสียงภาษาไทยโดย ชานนท์ จำเนียรแพทย์) เป็นเพื่อนของแซม วิทวิคกี้ ตั้งแต่ภาคแรก ยังคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแซมอยู่เช่นเดิม
- ไอร่อนไฮด์ (ให้เสียงภาษาไทย บุญชนะ โชควิชาโกศล) หุ่นจอมบึกที่มักจะแสดงปืนใหญ่ประจำกายให้ทุก ๆ คนได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ ภายหลังไอร่อนไฮด์ถูกเซนติเนล ไพรม์ยิงด้วยปืนสนิมจนเสียชีวิต เพราะเซนติเนล ไพรม์ทำเพื่อผลประโยชน์ของดวงดาวบ้านเกิด
- ไซด์สไวป์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย เอกชัย พงษ์สมัย) ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยมีดดาบ แปลงร่างเป็นรถเปิดประทุน เขาทำการร่วมด้วยช่วยกันจัดการดีเซปติคอนส์กับพวกเพื่อนๆในออโต้บ็อตส์เสมอมา
- ดีโน่ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) เป็นหุ่นยนต์ฝ่ายออโต้บ็อตส์ แปลงร่างเป็นรถยนต์สีแดง ดีโน่ได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามหุ่นยนต์ดีเซปติคอนส์แทบทุกครั้ง
- แร็ตเชต (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) มีหน้าที่หลักในการปฐมพยาบาลหุ่นยนต์ทุกๆตัว แต่เขาก็ร่วมกันปราบพวกศัตรูร่วมกับออโต้บ็อตส์ตัวอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
- วีลแจ็ค หรือ คิว หุ่นยนต์นักประดิษฐ์ มีความชำนาญด้านการสร้างอาวุธขนาดย่อม คิวมีลักษณะร่างกายขนาดเล็กและสวมแว่นตา ในช่วงเวลาที่ออโต้บ็อตส์ถูกจับเป็นเชลยนั้นเอง คิวถูกบาร์ริเคดฆ่าตายในตัวเมืองชิคาโก้
- ลีดฟุท (ให้เสียงภาษาไทยโดย บุญชนะ โชควิชาโกศล) หุ่นยนต์จากหน่วยเวรคเกอร์ แปลงร่างเป็นรถแข่งสีแดง และมีปืนกลขนาดย่อมติดอยู่รอบตัว
- เซนทิเนล ไพรม์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย เอกชัย พงษ์สมัย) พี่ชายของ ออพติมัส ไพรม์ แต่ก่อนนี้เซนทิเนลเคยเป็นหัวหน้าออโต้บ็อตส์มาก่อนที่ออพติมัส ไพรม์ จะได้เป็น เซนทิเนลเกรงว่าดาวไซเบอร์ทรอนจะล่มสลายจึงทำข้อตกลงกับเมกะทรอน และหักหลังออโต้บ็อตส์ด้วยการสังหารไอร่อนไฮด์
- เมกะทรอน (ให้เสียงภาษาไทยโดย จักรรัตน์ ศรีรักษ์) เป็นหัวหน้าฝ่ายดีเซปติคอนส์ เขาได้รับบาดเจ็บจากสงครามใหญ่ ณ ประเทศอียิปต์ ทำให้ร่างกายเป็นสนิมไม่แข็งแรงเหมือนก่อน
- ช็อคเวฟ เป็นตัวร้ายที่สุดของเรื่อง มีหุ่นยนต์สว่านเป็นลูกน้องคนสนิท ช็อคเวฟมีส่วนร่วมในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และปราบปรามฝ่ายออโต้บ็อตส์ แต่ช็อคเวฟก็ถูกออพติมัส ไพรม์ฆ่าตายในภายหลัง
- ดริลเลอร์ หุ่นยนต์หนอนสว่านขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลูกน้องมือขวาของช็อคเวฟ
- ซาวด์เวฟ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) ลูกน้องคนสนิทของเมกะทรอน ในภาคนี้ซาวด์เวฟได้ลงมาทำการร่วมกับเมกะทรอนที่โลกมนุษย์โดยมีวิธีการอำพรางกายด้วยการแปลงร่างเป็นรถหรู
- เลเซอร์บีค มือขวาของซาวด์เวฟ เขาทำหน้าที่คอยจัดการพวกที่คิดต่อต้าน และ/หรือรู้ความลับบางอย่างของฝ่ายดีเซปติคอนส์
- สตาร์สครีม ลูกน้องมือขวาของเมกะทรอนที่ทำหน้าที่ส่งเสริมนโยบายของเมกะทรอน สุดท้ายสตาร์สครีมถูกแซม วิทวิคกี้ สังหารด้วยระเบิดเวลาซึ่งเป็นอาวุธประดิษฐ์ของคิว
อ้างอิง
แก้- ↑ "Transformers: Dark Of The Moon Presents Linkin Park – Live In Moscow On June 23 In Support Of Movie's World Premiere In Russia". Paramount Pictures. May 23, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 20, 2012. สืบค้นเมื่อ February 12, 2016.
- ↑ "Global sites & Release Dates". Paramount Pictures. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 21, 2011. สืบค้นเมื่อ February 12, 2016.
- ↑ Labrecque, Jeff. "'Transformers: Dark of the Moon' gets new release date". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 15, 2022. สืบค้นเมื่อ May 20, 2011.
- ↑ "Transformers – Dark Of The Moon". BBFC. June 21, 2011. สืบค้นเมื่อ June 28, 2011.
- ↑ Fernandez, Jay A. (May 25, 2011). "Michael Bay Reveals James Cameron's Secret Role in the Making of 'Transformers'". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ August 14, 2011.
- ↑ 6.0 6.1 "Transformers: Dark of the Moon (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 2014-01-18.