ขีดจำกัดฮายาชิ (อังกฤษ: Hayashi limit) คือ ขีดจำกัดมากที่สุดของรัศมีของดาวฤกษ์ซึ่งถูกกำหนดโดยมวลของดาวฤกษ์ เมื่อดาวมีสภาวะสมดุลอุทกสถิตอยู่ภายใน (คือเงื่อนไขของดาวที่มีแรงโน้มถ่วงที่มีทิศเข้าสู่ภายในพอดีกันกับความดันของพลาสมาที่ดันออกมา) ในขณะที่ดาวมีรัศมีน้อยกว่าขีดจำกัดฮายาชิก็จะมีนัยสำคัญในการวิวัฒนาการของดาวทั้งในระหว่างคาบการหดตัวของดาวและหลังจากที่ดาวใช้ไฮโดรเจนในปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน[1]

ในแผนภาพ HR Diagram ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิพื้นผิวต่อกำลังส่องสว่าง ในแผนภาพนี้ขีดจำกัดฮายาชิจะเป็นเส้นแนวตั้งใกล้ ๆ กับอุณหภูมิ 3,500 เคลวิน ดาวอุณหภูมิต่ำจะปรากฏแต่ชั้นพาความร้อน และแบบจำลองโครงสร้างของดาวสำหรับดาวที่มีเฉพาะชั้นพาความร้อนไม่สามารถหาคำอธิบายเมื่ออยู่ทางด้านขวาของเส้นนี้ในขณะที่ดาวอยู่ในสภาวะสมดุล (และมีอุณหภูมิต่ำ) ดังนั้นดาวจะถูกบังคับให้หลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของขีดจำกัดนี้ตลอดทุกคาบเมื่อมันอยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิต และบริเวณที่อยู่ทางด้านขวาของเส้นนี้จะจัดอยู่ในประเภท "Forbidden zone" (บริเวณต้องห้าม) อย่างไรก็ตามก็ยังมีข้อยกเว้นของขีดจำกัดฮายาชิอยู่ ซึ่งนั่นรวมถึงดาวโปรโตสตาร์ที่ยุบตัวลงและดาวที่มีสนามแม่เหล็กแทรกสอดกับการพาพลังงานภายในดาวด้วยวิธีการพาความร้อน.[2] ดาวยักษ์แดงเป็นดาวที่มีการขยายตัวจากเปลือกหุ้มชั้นนอกจากปฏิกิริยาฟิวชั่นของฮีเลียมซึ่งจะเคลื่อนย้ายดาวขึ้นและไปทางขวาของ H-R Diagram อย่างไรก็ตามมันถูกบังคับโดยขีดจำกัดฮายาชิไม่ให้ขยายตัวไปไกลกว่ารัศมีที่แน่นอน.[3]

ขีดจำกัดนี้ถูกตั้งชื่อโดย จูชิโร ฮายาชิ (Chūshirō Hayashi) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวญี่ปุ่น.[4]

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Martin Schwarzschild (May 27–29, 1975). "The Study of Stellar Structure". Theoretical Principles in Astrophysics and Relativity. University of Chicago: University of Chicago Press. pp. 1–14.
  2. Clowes, Chris (July 3, 2005). "Hertzsprung-Russell Diagram". Peripatus. สืบค้นเมื่อ 2007-05-04.
  3. Hayashi, Chushiro; Hoshi, Reun (1961). "Outer Envelope of Giant Stars with Surface Convection Zone". Publications of the Astronomical Society of Japan. 13: 442–449. สืบค้นเมื่อ 2007-05-03.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  4. Tenn, Joe (June 8, 2004). "Chūshiro Hayashi". Sonoma State University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2007-05-03.