โยชิฮิโกะ โนดะ (ญี่ปุ่น: 野田 佳彦โรมาจิNoda Yoshihiko) (20 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 — ) นายกรัฐมนตรีคนที่ 54 ของประเทศญี่ปุ่น สมาชิกพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาไดเอ็ต (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เขาได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนาโอโตะ คัง หลังได้รับเสียงสนับสนุนในพรรคเหนือกว่าบันริ ไคเอดะ[1] และได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยองค์จักรพรรดิเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

โยชิฮิโกะ โนดะ
野田佳彦
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ดำรงตำแหน่ง
2 กันยายน พ.ศ. 2554 – 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
กษัตริย์จักรพรรดิอากิฮิโตะ
ก่อนหน้านะโอะโตะ คัง
ถัดไปชินโซ อะเบะ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด20 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 (67 ปี)
จังหวัดจิบะ
 ญี่ปุ่น
พรรคการเมืองพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น

หลังการลาออกจากตำแหน่งของคังในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 โนดะเป็นผู้สมัครในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป[2][3] เขาได้เสียงสนับสนุนเหนือกว่าบันริ ไคเอดะ และรับช่วงการแก้ปัญหาความท้าทายการฟื้นฟูบูรณะประเทศหลังแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554[1][4] ในการกล่าวสุนทรพจน์แรกหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน โนดะยืนยันว่ารัฐบาลของเขาจะยกเลิกพลังงานนิวเคลียร์ต่อไป โดยไม่สร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เพิ่มหรือขยายการใช้งานโรงไฟฟ้าที่ล้าสมัยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าซึ่งปัจจุบันยังไม่ดำเนินการหลังเกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่งจะเปิดอีกครั้งเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานเร่งด่วนของญี่ปุ่น[5]

โนดะสมรสแล้ว และมีบุตรธิดารวมสองคน เขาเป็นแฟนกีฬาป้องกันตัวและมวยปล้ำอาชีพ เขายังได้สายดำในกีฬายูโด[6]

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 Yoshihiko Noda wins Japan leadership race, BBC, 29 August 2011.
  2. "Noda declares DPJ election candidacy, calls for fiscal discipline". Mainichi Newspapers Co. Ltd. 2011-08-27. สืบค้นเมื่อ 2011-08-28.
  3. Johnston, Eric, "Contenders' backgrounds", Japan Times, 28 August 2011, p. 2.
  4. "Yoshihiko Noda elected Japan's new PM". Indiavision news. 29 Aug 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-07. สืบค้นเมื่อ 2011-09-04.
  5. "Japan's New Prime Minister Vows Gradual Nuclear Phaseout". The New York Times. 2011-09-02. สืบค้นเมื่อ 2011-09-02.
  6. "Japan's Noda: Low-Key on Domestic Issues, Controversial Abroad". The Wall Street Journal. 2011-08-29. สืบค้นเมื่อ 2011-08-29.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้