เบนจามิน เมานต์ฟอร์ต
เบนจามิน เมานต์ฟอร์ต (อังกฤษ: Benjamin Mountfort; 13 มีนาคม ค.ศ. 1825 – 15 มีนาคม ค.ศ. 1898) เป็นสถาปนิกชาวอังกฤษที่ย้ายถิ่นฐานมายังนิวซีแลนด์ โดยเขาถือเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศนี้ในศตวรรษที่ 19 เขาเป็นผู้มีบทบาท มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและอัตลักษณ์อันโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมของเมืองไครสต์เชิร์ช และได้รับการแต่งตั้งเป็นสถาปนิกท้องถิ่นคนแรกอย่างเป็นทางการในด้านการพัฒนาให้กับแคว้นแคนเทอร์เบอรี ตัวเขาเองได้รับอิทธิพลหลักปรัชญานิกายแองโกล-คาทอลิกเป็นอย่างมาก รองมาจากสถาปัตยกรรมวิกตอเรียช่วงแรก ผลงานการออกแบบรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกทั้งงานไม้และหินในแคว้นถือว่าได้สร้างเอกลักษณ์แก่นิวซีแลนด์ ปัจจุบันถือได้ว่าเขาเป็นสถาปนิกผู้หล่อหลอมให้กับแคว้นแคนเทอร์เบอรี
เบนจามิน เมานต์ฟอร์ต | |
---|---|
เกิด | 13 มีนาคม ค.ศ. 1825 เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ |
เสียชีวิต | 15 มีนาคม ค.ศ. 1898 ประเทศนิวซีแลนด์ | (73 ปี)
สัญชาติ | นิวซีแลนด์ |
คู่สมรส | เอลิซาเบท นิวแมน |
บุตร | 7 คน |
ผลงานสำคัญ | มหาวิหารไครสต์เชิร์ช อาคารสภาจังหวัดแคนเทอร์เบอรี |
ชีวิตช่วงแรก
แก้เมานต์ฟอร์ตเกิดในเบอร์มิงแฮม เมืองอุตสาหกรรมในภาคมิดแลนส์ของอังกฤษ เป็นบุตรของผู้ทำน้ำหอมและพ่อค้าเพชรพลอย นามว่า ทอมัส เมานต์ฟอร์ต มีภรรยาชื่อ ซูซานนา (สกุลเดิม วูลฟีลด์) ในวัยหนุ่มเขาย้ายมายังลอนดอน เป็นศิษย์ของจอร์จ กิลเบิร์ต สกอตต์ในช่วงแรก (ตั้งแต่ปี 1841–46) เขายังศึกษาด้านสถาปัตยกรรมกับสถาปนิกแองโกล-คาทอลิก[1] นามว่า ริชาร์ด ครอมเวลล์ คาร์เพนเตอร์ที่รูปแบบการออกแบบแบบกอทิกยุคกลางได้มีอิทธิพลต่อเมานต์ฟอร์ตมาโดยตลอดชีพ[2] หลังสิ้นสุดการฝึกฝนในปี 1848 เมานต์ฟอร์ตปฏิบัติงานด้านสถาปัตยกรรมที่ลอนดอน เขาสมรสกับเอมิลี เอลิซาเบท นิวแมน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1850 หลังจากนั้นอีก 18 วัน ทั้งคู่ได้ย้ายถิ่นฐานมายังนิวซีแลนด์[3] ทั้งคู่เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานคนแรก ๆ ในแคนเทอร์เบอรี มาถึงโดยเรือสี่ลำแรกที่ชื่อ ชาร์ลอตต์เจน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1850[4] ผู้ตั้งถิ่นฐานคนแรก ๆ นี้ เรียกว่า "เดอะพิลกริมส์" (The Pilgrims; นักเดินทาง)[5] ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ถูกสลักลงบนหินสลักทำจากหินอ่อนที่คาทีดรอลสแควร์ในไครสต์เชิร์ช ที่เมานต์ฟอร์ตช่วยออกแบบ[6]
นิวซีแลนด์
แก้เมานต์ฟอร์ตถึงแคนเทอร์เบอรีพร้อมด้วยความมุ่งมั่นและมุ่งหมาย โดยเริ่มการออกแบบในปี 1850 พร้อมกับหนึ่งในคลื่นผู้ตั้งรกรากที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษให้มาตั้งรกรากในอาณานิคมใหม่ในนิวซีแลนด์ [7][8] เขามากับภรรยาจากอังกฤษ พร้อมด้วยพี่น้อง ชาลส์, ซูซานนาห์ และภรรยาของชาลส์ ทั้งห้าคนอายุระหว่าง 21 ถึง 26 ปี ชีวิตในช่วงแรกนั้นยากเข็ญและน่าผิดหวัง เมานต์ฟอร์ตพบว่ามีความต้องการสถาปนิกอยู่บ้าง ไครสต์เชิร์ชมีขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านใหญ่เล็กน้อยที่มีกระท่อมไม้ทั่วไปบนที่ราบลมพัดแรง ชีวิตทางด้านสถาปัตยกรรมของผู้อพยพใหม่ในนิวซีแลนด์เริ่มต้นด้วยหายนะ งานแรกที่ได้รับผิดชอบในนิวซีแลนด์คือ โบสถ์โมสต์โฮลีทรินิตีในลิตเทลตัน ก่อสร้างในปี 1852 โดยไอแซก ลัก[9][10] อาคารนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อลมแรงและถือว่าไม่ปลอดภัย อาคารถูกรื้อถอนในปี 1857[9] หายนะครั้งนี้น่าจะเกิดจากการใช้ไม้ซึ่งไม่เหมาะกับฤดูกาลและเขายังขาดความรู้ในการใช้วัสดุก่อสร้างท้องถิ่น แต่อะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุ ผลคือได้ทำลายชื่อเสียงของเขา[4] หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเรียกเขาว่า "...สถาปนิกที่ได้รับการศึกษาครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยอาคารเหล่านี้ไม่ได้ให้อะไรเลยนอกจากความถูกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาขาดความรู้พื้นฐานการก่อสร้างทั้งสิ้นทั้งปวง หรือแม้แต่เป็นช่างเขียนแบบที่ชาญฉลาดหรือชายผู้มีประสบการณ์มาบ้าง"[2]
จากที่เขาเสียชื่อเสียง เขาจึงเริ่มเปิดร้านเครื่องเขียน ทำงานเป็นพนักงานหนังสือพิมพ์ ช่างภาพเชิงพาณิชย์[11] และเขายังเรียนเขียนแบบจนกระทั่งปี 1857 เพื่อเป็นส่วนเสริมงานด้านสถาปัตยกรรม[4] ในช่วงนี้เอง ทางด้านสถาปัตยกรรม เขาได้พัฒนาความสนใจที่มีมาโดยตลอดชีวิตและยังได้เพิ่มรายได้ที่เขาขาดโดยการถ่ายภาพบุคคลให้กับเพื่อนบ้าน[12]
เมานต์ฟอร์ตเป็นฟรีเมสัน และเป็นสมาชิกลำดับแรก ๆ ของลอดจ์ออฟอันเอนิมิตี[13] ซึ่งเป็นอาคารหลังสำคัญที่เขาออกแบบในปี 1863[14][15] ลอดจ์ออฟอันเอนิมิตีเป็นลอดจ์เมสันแรกในเกาะใต้[16]
กลับมาทำงานสถาปัตยกรรม
แก้ในปี 1857 เขากลับมาทำงานด้านสถาปัตยกรรมและมีหุ้นส่วนธุรกิจกับสามีใหม่ของน้องสาว ซูซานนาห์ ที่ชื่อ ไอแซก ลัก เมานต์ฟอร์ตมีแรงกระตุ้นด้านการงาน เมื่อเขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบโบสถ์เซนต์จอนส์แองกลิคันที่ไวคูไอตี (Waikouaiti) ในโอทาโก เป็นโครงสร้างไม้เล็ก ๆ ในรูปแบบกอทิก สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1858 โดยผู้บริจาคที่ดินคือ จอห์นนี โจนส์ อดีตนักล่าวาฬ ยังคงมีการใช้งานเป็นโบสถ์อยู่ ยังถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะใต้ของนิวซีแลนด์[17]
เมืองไครสต์เชิร์ชได้อยู่ในการพัฒนาอย่างมากในช่วงเวลานั้น ด้วยความที่เพิ่งได้รับสถานะเป็นนคร และยังเป็นเมืองหลักในการปกครองแห่งใหม่ของจังหวัดไครสต์เชิร์ช เป็นเหตุให้เมานต์ฟอร์ตและลัก มีโอกาสอย่างมากในการปฏิบัติงานช่าง ในปี 1855 พวกเขาร่างแบบอาคารสภาจังหวัดแคนเทอร์เบอรีที่ทำจากไม้ อาคารก่อสร้างระหว่างปี 1857–59 แต่รูปร่างอาคารก็ถูกจำกัดไม่พ้นแบบดั้งเดิม เมื่อสภาจังหวัดมีหน้าที่ใหม่เพิ่ม ทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรและเศรษฐกิจของจังหวัด จึงได้มีการขยับขยายอาคารให้ใหญ่ขึ้นในส่วนปีกทางทิศเหนือที่ทำจากหินและหอคอยเหล็ก ในระหว่างปี 1859–60 และยังขยายห้องสภาที่ทำจากหินและห้องเครื่องดื่มระหว่างปี 1864–65[12][18] ในปัจจุบันอาคารแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของเมานต์ฟอร์ต[4]
จากภายนอก อาคารมีความเรียบง่ายดั่งผลงานในยุคแรก ๆ ของเมานต์ฟอร์ต กล่าวคือ หอคอยกลางสร้างความโดดเด่น มีปีกจั่วด้านข้างทั้งสอง ในรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก[19] อย่างไรก็ดี ภายในมีสีสันที่สนุกสนานและคตินิยมสมัยกลางที่สามารถรับรู้ผ่านดวงตาวิกตอเรีย ที่มีการใช้หน้าต่างงานกระจกสีและนาฬิกาเรือนใหญ่สองหน้า คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในห้าของโลกที่มีอยู่ ห้องยังตกแต่งอย่างมั่งคั่ง เกือบจะเป็นรูปแบบรัสกินที่มีงานแกะสลักจากประติมากรท้องถิ่น วิลเลียม แบรสซิงตัน รวมถึงงานแกะสลักของชนพื้นเมืองนิวซีแลนด์[20]
สถาปัตยกรรมกอทิก
แก้รูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกเริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นการตอบโต้ต่อศิลปะจินตนิยมที่มีรูปแบบความคลาสสิกและทางการมากกว่า ซึ่งมีอิทธิพลในสองศตวรรษก่อนหน้านี้[21] เมานต์ฟอร์ตในวัย 16 ปี ได้รับหนังสือสองเล่มที่แต่งโดยผู้ปลุกศรัทธากอทิกขึ้นใหม่ ออกัสตัส พิวจิน คือหนังสือ The True Principles of Christian or Pointed Architecture และ An Apology for the Revival of Christian Architecture หลังจากนั้นเมานต์ฟอร์ตก็เป็นสาวกค่านิยมสถาปัตยกรรมแองโกล-คาทอลิกแบบพิวจิน[22] ค่านิยมเหล่านี้ก็มากขึ้นเมื่อปี 1846 ตอนเขาอายุ 21 ปี เมานต์ฟอร์ตเป็นศิษย์ของริชาร์ด ครอมเวลล์ คาร์เพนเทอร์[4]
คาร์เพนเทอร์มีความเหมือนกับเมานต์ฟอร์ตตรงที่มีความศรัทธาแองโกล-คาทอลิกและเห็นด้วยกับทฤษฎีลัทธิแทร็กทาเรียนิสม์และด้วยวิธีการเคลื่อนไหวแบบออกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์[23] การเคลื่อนไหวด้านเทววิทยาเชิงอนุรักษ์นิยมเหล่านี้ได้สอนว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงและการมีสมาธิในการอธิษฐานมีผลต่อสภาพแวดล้อมทางกายภาพและโบสถ์ยุคกลางมีความเป็นจิตวิญญาณมากกว่าต้นศตวรรษที่ 19 เป็นผลให้สถาปัตยกรรมยุคกลางเทวนิยมเป็นที่รับรู้กันว่ามีคุณค่าทางจิตวิญญาณมากกว่าสถาปัตยกรรมที่ยึดแบบปัลลาดีโอในช่วงศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19[24] แม้ออกัสตัส พิวจินยังแถลงว่าสถาปัตยกรรมยุคกลางเป็นรูปแบบเดียวที่เหมาะสมกับโบสถ์และแบบปัลลาดีโอเกือบจะผิดจารีต ทฤษฎีเช่นนี้ไม่ได้มีผลบังคับต่อสถาปนิกและยังคงมีมาอย่างโดยดีจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 โรงเรียนด้านความคิดเหล่านี้ได้ชักนำผู้รู้อย่างเช่น กวีชาวอังกฤษ เอซรา พาวด์ให้พึงพอใจอาคารสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์มากกว่าสถาปัตยกรรมบาโรกบนพื้นฐานที่ต่อมาได้เป็นสัญลักษณ์ของการละทิ้งโลกแห่งความชัดเจนทางปัญญาและแสงสว่างต่อคุณค่าโดยยึดจากแนวคิดเรื่องนรกและยังเพิ่มการมีอำนาจแก่สังคมนายธนาคาร ผู้ที่เคยถูกดูแคลน[25]
อะไรก็ตามที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก ในลอนดอน กลุ่มผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิบริติชในศตวรรษที่ 19 รู้สึกว่าสถาปัตยกรรมกอทิกมีความเหมาะสมกับอาณานิคมเพราะได้แสดงความหมายอันโดดเด่นของแองกลิคัน แสดงให้เห็นถึงการทำงานหนัก จรรยา และการเปลี่ยนความเชื่อของชนพื้นเมือง[26] มีการเหน็บแนมว่างานโบสถ์หลายงานของเมานต์ฟอร์ตเป็นโบสถ์สำหรับโรมันคาทอลิก ด้วยที่มีผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่จำนวนมากเป็นชาวไอริชดั้งเดิม[27] สำหรับช่างก่อสร้างชนชั้นกลางของจักรวรรดิ รูปแบบกอทิกทำให้ย้อนรำลึกถึงความหลังถึงเขตศาสนาเมื่อเขาละทิ้งอังกฤษ ด้วยความที่เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลางที่แท้จริง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเหล่านี้เลือกสถาปนิกและการออกแบบ[28]
งานแบบกอทิกของเมานต์ฟอร์ตในช่วงแรกในนิวซีแลนด์มีความเคร่งครัดในลักษณะของแองกลิคันมากกว่า อันเนื่องจากเขาทำตามคาร์เพนเทอร์ มีองค์ประกอบหน้าต่างช่องรูปใบหอกสูงและมีหลังคาหน้าจั่วจำนวนมาก[29] เมื่อการงานเขาก้าวหน้า เขาได้พิสูจน์ตัวเองต่อฝ่ายบริหารที่จ้างเขา ผลงานการออกแบบของเขาได้พัฒนาให้มีรูปแบบยุโรปมากขึ้น โดยมีหอนาฬิกา หอคอย และเส้นหลังคาประดับตกแต่งทรงสูงแบบฝรั่งเศส รวมถึงรูปแบบที่ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของเมานต์ฟอร์ตแต่แนวทางเดียวกับสถาปนิกอย่างเช่น อัลเฟรด วอเทอร์เฮาส์ จากอังกฤษ[30]
ด้านฝีมือของเมานต์ฟอร์ตในฐานะสถาปนิก เขาได้ปรับให้เข้ากับรูปแบบความหรูหราให้เหมาะกับวัสดุที่มีจำกัดที่หาได้ในนิวซีแลนด์[12] ในขณะที่โบสถ์ไม้ทั่วไปนั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบบางอย่างแบบอเมริกัน มีการออกแบบด้วยความเรียบง่ายคลาสสิก ในทางตรงกันข้ามโบสถ์ไม้ของเมานต์ฟอร์ตในนิวซีแลนด์นั้นมีการประดับประดาเพ้อฝันแบบกอทิก เฉกเช่นที่เขาออกแบบในงานหิน อาจเป็นไปได้ว่าความหรูหราในงานเขานั้นสามารถอธิบายได้จากคำแถลงที่เป็นทางการที่เขาและผู้ร่วมงาน ลัก ได้เขียนไว้เพื่อประมูลชนะเมื่อการออกแบบทำเนียบรัฐบาลในออกแลนด์เมื่อปี 1857
ตามที่เราเห็นสิ่งก่อสร้างตามธรรมชาติ ภูเขาและเนินเขา ที่ไม่ได้มีกรอบเส้นสม่ำเสมอแต่มีความหลากหลาย ทั้งค้ำยัน กำแพง และหอคอย ที่ผิดแผกต่อกันซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ยังสร้างระดับชั้นผลกระทบให้ต่างจากผลงานอื่น ได้หล่อหลอมกฎเกณฑ์ของเส้นกรอบ การศึกษาง่าย ๆ เกี่ยวกับต้นโอ๊กหรือต้นเอล์ม มีความเพียงพอที่พิสูจน์ทฤษฎีความสม่ำเสมอได้ว่าผิด[31]
สถาปนิกประจำจังหวัด
แก้ในฐานะ "สถาปนิกประจำจังหวัด" ตำแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้นมาซึ่งเมานต์ฟอร์ตได้รับการแต่งตั้งในปี 1864[32] เมานต์ฟอร์ตได้ออกแบบโบสถ์ไม้ให้แก่ชุมชนโรมันคาทอลิกของเมืองไครสต์เชิร์ช โบสถ์ไม้นี้ต่อมามีการสร้างให้ใหญ่ขึ้นหลายครั้งจนเป็นมหาวิหาร (cathedral)[4] จนในปี 1901 ได้มีการแทนที่โดยมหาวิหารแห่งเบลสด์แซเครเมนต์ (Cathedral of the Blessed Sacrament) อาคารที่สร้างจากหินที่ดูคงทนกว่าเดิม ออกแบบโดยสถาปนิก แฟรงก์ ปีเตอร์เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกโดยยังคงเก็บรักษาอาคารของเมานต์ฟอร์ตไว้อยู่[33] งานของเมานต์ฟอร์ตมักเป็นไม้ วัสดุที่เขาไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อรูปแบบกอทิก[34] แม้เขาจะฉีกรูปแบบการเคารพต่ออาคารแบบกอทิกที่มักสร้างจากหินและปูน[35] ระหว่างปี 1869 ถึง 1882 เขาออกแบบพิพิธภัณฑ์แคนเทอร์เบอรีและต่อมาออกแบบวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีและหอนาฬิกาในปี 1877[4]
อาคารวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีซึ่งต่อมาคือมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรี เริ่มต้นก่อสร้างจากหอนาฬิกา อาคารนี้เปิดเมื่อปี 1877 ถือเป็นการสร้างมหาวิทยาลัยตามเป้าหมายแห่งแรกของนิวซีแลนด์ วิทยาลัยสร้างเสร็จเป็นสองส่วนภายในในรูปแบบปกติของกอทิกแบบเมานต์ฟอร์ต[4]
จอร์จ กิลเบิร์ต สกอตต์ สถาปนิกออกแบบมหาวิหารไครสต์เชิร์ช ผู้เป็นครูของเมานต์ฟอร์ตและเป็นช่างไม้ที่ปรึกษา อยากให้เมานต์ฟอร์ตเป็นผู้ตรวจงานและสถาปนิกผู้ดูแลโครงการมหาวิหารแห่งใหม่[22] ข้อเสนอนี้ เดิมทีคณะกรรมการมหาวิทหารไม่เห็นด้วย[2] อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากความล่าช้าในงานอาคารจากปัญหาด้านการเงิน ท้ายสุดตำแหน่งสถาปนิกดูแลโครงการก็ตกเป็นของเมานต์ฟอร์ตในปี 1873 เมานต์ฟอร์ตดูแลการดัดแปลงงานออกแบบของสถาปนิกที่ขาดหายไป ที่เห็นได้มากที่สุดคือหอสูงและมุขทางเข้าทิศตะวันตก เขายังได้ออกแบบอ่างล้างบาป อนุสรณ์ฮาร์เพอร์ และมุขทางเข้าทิศเหนือ[12] มหาวิทยานี้สร้างไม่เสร็จจนกระทั่งปี 1904 หกปีหลังจากที่เมานต์ฟอร์ตเสียชีวิต มหาวิหารมีรูปแบบการตกแต่งแบบกอทิกยุโรปเป็นอย่างมาก ด้วยมีหอระฆังอยู่ข้างมหาวิหาร แทนที่จะเป็นหออยู่ด้านบนเหมือนธรรมเนียมนิยมอังกฤษ[36]
ปี 1872 เมานต์ฟอร์ตได้เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งแคนเทอร์เบอรีแอสโซซิเอชันออฟอาร์คิเทกส์ กลุ่มคนที่ดูแลการพัฒนาเมืองใหม่ที่ตามมาหลังจากนี้ ถือเป็นจุดสูงสุดของอาชีพเขา[21] เมานต์ฟอร์ตยังมีชื่อเสียงจากการปรับเปลี่ยนการใช้ช่องโค้งน้อยกว่าครึ่งวงกลมมากกว่าช่องโค้งในรูปแบบโรมาเนสก์ (ออกัสตัส พิวจินถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของรูปแบบกอทิก) ยังมีความท้าทายในการทำโถงใหญ่ที่จะสร้างเสร็จในปี 1882 และได้กลายมาเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในไครสต์เชิร์ช[37] นอกจากนี้รายละเอียดที่เป็นไปไม่ได้จากงานครั้งก่อนก็ปรากฏให้เห็นในการออกแบบโถงเนื่องจากมีการระดมทุนครั้งใหญ่ให้แก่วิทยาลัย การสร้างเสร็จในขั้นแรกได้รับเสียงชื่นชม แม้การขยายพื้นที่อย่างเช่น ห้องปฏิบัติการชีววิทยาในเพิ่มเข้าไปในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1890[38] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1880 เมานต์ฟอร์ตได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาปนิกชั้นนำด้านโบสถ์คริสต์ของนิวซีแลนด์ โดยมีชื่อในการออกแบบโบสถ์มากกว่า 40 แห่ง
ในปี 1888 เขาออกแบบมหาวิหารเซนต์จอห์นในเนเพียร์[4] อาคารที่ทำจากอิฐนี้ได้ถูกรื้อถอนในภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี 1931 ที่ทำลายเมืองเนเพียร์ไปอย่างมาก[39] ระหว่างปี 1886 ถึง 1897 เมานต์ฟอร์ตได้ทำงานหนึ่งในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด คือมหาวิหารเซนต์แมรีที่ทำจากไม้ มหาวิทยาแห่งเมืองออกแลนด์ ครอบคลุมพื้นที่ 9,000 ตารางฟุต (840 ตารางเมตร) เซนต์แมรีเป็นโบสถ์ไม้ซุงที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหลังสุดท้ายที่สร้างโดยเมานต์ฟอร์ต[40] และยังถือเป็นโบสถ์ไม้กอทิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก[4] หลังสร้างเสร็จ ได้รับการพูดถึงว่า "ในด้านการออกแบบ มีความสมบูรณ์และสวยงาม อยู่ในระดับสูงแต่ยังไม่เท่ากับระดับมุขมณฑล" การให้ความสำคัญกับตำแหน่งหลังคาอันกว้างขวางโดยหน้าต่างช่องทางด้านอันยิ่งใหญ่ทำให้เกิดสมดุลกับพื้นที่โอบล้อมอันกว้างขวางของโบสถ์ ในปี 1892 โบสถ์ทั้งหลังได้สร้างเสร็จโดยมีหน้าต่างงานกระจกสี โดยโบสถ์ถูกย้ายไปยังที่แห่งใหม่ตรงข้ามถนนของสถานที่เดิมเป็นโบสถ์แห่งใหม่ โบสถ์เซนต์แมรีที่รับการสถาปนาในปี 1898 ถือเป็นผลงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายของเมานต์ฟอร์ต[41]
นอกเหนือจากด้านการทำงานแล้ว เมานต์ฟอร์ตมีความสนใจด้านศิลปะและเป็นศิลปินผู้มีพรสวรรค์ แม้งานด้านศิลปะจะปรากฏว่าอยู่ในขอบเขตของสถาปัตยกรรม เขายังเป็นสมาชิกคริสตจักรแห่งอังกฤษและเป็นสมาชิกสภาโบสถ์แองกลิคันและคณะกรรมการมุขมณฑล[42]
บั้นปลายชีวิตของเมานต์ฟอร์ต มีเรื่องไม่พอใจจากตำแหน่งในฐานะสถาปนิกประจำจังหวัดคนแรก เขาถูกโจมตีจากคนรุ่นใหม่ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ เบนจามิน เมานต์ฟอร์ตเสียชีวิตเมื่อปี 1898 สิริอายุได้ 73 ปี ศพถูกฝังที่สุสานตรีเอกภาพแอวอนไซด์ โบสถ์ที่เขาต่อเติมในปี 1879[4][12]
มรดก
แก้เมื่อประเมินผลงานของเมานต์ฟอร์ตในปัจจุบัน ไม่ควรตัดสินจากภูมิหลังที่ดูคล้ายการออกแบบในยุโรป ในคริสต์ทศวรรษ 1960 นิวซีแลนด์เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งวัสดุและทรัพยากรที่มีมากมายในยุโรปแต่ที่นี่กลับไม่ปรากฏ หากมีก็มักจะด้อยกว่า เมานต์ฟอร์ดได้ค้นพบไม้ซึ่งไม่เหมาะกับฤดูกาลซึ่งก่อให้เกิดหายนะในโครงการแรกของเขา อาคารแรกของเขานั้นสร้างขึ้นในภูมิลำเนาใหม่นี้ก็มักจะสูงเกินไป หรือไม่ก็มีระดับชันเกินไป ไม่คำนึงถึงภูมิอากาศที่ไม่ใช่ยุโรป รวมถึงภูมิประเทศ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ดัดแปลงและพัฒนาทักษะการทำงานด้วยวัสดุหยาบ ๆ[12]
ไครสต์เชิร์ชและสภาพแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ของนิวซีแลนด์ในด้านรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมกอทิก ที่สามารถแสดงลักษณะเฉพาะของเบนจามิน เมานต์ฟอร์ตได้ทันทีทันใด ขณะที่เมานต์ฟอร์ตรับผิดชอบงานอาคารพักอาศัยเล็ก ๆ ซึ่งในปัจจุบันเขาเป็นที่รู้จักในด้านงานออกแบบงานสาธารณะ อาคารของรัฐ และโบสถ์ อาคารของรัฐที่สำคัญแบบกอทิกที่ทำจากหินในไครสต์เชิร์ช ประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดใจจากการใช้วัสดุอันขัดสน โบสถ์หลายแห่งอันโดดเด่นของเขา ที่สร้างจากไม้ รูปแบบกอทิก ในปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแคนเทอร์เบอรีในศตวรรษที่ 19 อาคารเหล่านี้ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพ ด้วยเหตุนี้ความสำเร็จของเมานต์ฟอร์ตนี้ ทำให้เกิดสถาปัตยกรรมในทำนองเดียวกัน โดยสร้างอัตลักษณ์ให้แก่แคนเทอร์เบอรี[29] หลังจากที่เขาเสียชีวิต ซีริล หนึ่งในบุตรเจ็ดคนของเขา ยังคงทำงานในรูปแบบกอทิกแบบพ่อของเขา เมื่อเข้าไปสู่ศตวรรษที่ 20[12] ซีริล เมานต์ฟอร์ตดูแลโบสถ์แห่งเซนต์ลู้กของเมือง ซึ่งเป็นงานออกแบบของพ่อเขาที่ยังทำไม่เสร็จ[43] ด้วยเหตุนี้ ยังคงมีการใช้ผลงานอาคารสาธารณะของเขาอยู่ทุกวัน มรดกของเมานต์ฟอร์ตยังคงสืบทอดเรื่อยมา ปัจจุบันเขาและรอเบิร์ต ลอว์สัน ถือเป็นสถาปนิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในศตวรรษที่ 19 ของนิวซีแลนด์[4]
อาคารบางส่วน
แก้- โมสต์โฮลีทรินิตี ในลิตเทลตันปี 1852 (รื้อถอนปี 1857)
- อาคารสภาจังหวัดแคนเทอร์เบอรี ปี 1858–1865 (มีบางส่วนพังทลายไป[44] ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวแคนเทอร์เบอรี ปี 2011)
- มหาวิหารไครสต์เชิร์ช, เริ่มต้นสร้างปี 1864 (อาคารใหม่สร้างปี 1901 บางส่วนพังทลายไปในปี 2011 หลังแผ่นดินไหวที่แคนเทอเบอรี)
- พิพิธภัณฑ์แคนเทอร์เบอรี 1869–1882
- โบสถ์เซนต์ออกัสติน ไวเมต ปี 1872
- โบสถ์ทรินิตี ไครสต์เชิร์ช, 1872 (มีบางส่วนพังทลายไป[45]ในปี 2011 หลังแผ่นดินไหวที่แคนเทอเบอรี แต่มีการบูรณะใหม่[46])
- โฮลีทรินิตีเอวันไซด์ โบสถ์แชนเซล, 1874–1877
- โบสถ์เซนต์พอลแองกลิคัน ในปาปานุย 1876–1877
- แคนเทอร์เบอรีคอลเลจฮอลล์ ไครสต์เชิร์ช 1882
- โบสถ์กูดเชปเพิร์ด ฟิลิปส์ทาวน์ 1884–1885
- โบสถ์เซนต์แมรี ออกแลนด์ เริ่มสร้างปี 1886 (ย้ายสถานที่ปี 1982)[47]
- มหาวิหารเซนต์จอห์น เนเพียร์, 1886–1888
- โรงพยาบาลบ้าซันนีไซด์ ไครสต์เชิร์ช 1881–1893[48]
- เซนต์สตีเฟน ลินคอล์น 1877
อ้างอิง
แก้- ↑ Homan, Roger (2006). The Art of the Sublime. Ashgate Publishing. p. 130. ISBN 978-0-7546-5073-7.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 "Benjamin Mountfort and the Gothic Revival". Christchurch Libraries. Retrieved on 11 August 2008.
- ↑ Lochhead 1999, p. 51
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 Lochhead 1990
- ↑ "The First Four Ships". Christchurch Libraries. Retrieved on 12 August 2008.
- ↑ "Cathedral Square First Four Ships Commemorative Plaques". Christchurch City Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 ตุลาคม 2008. Retrieved on 13 August 2008.
- ↑ Smith, p. 54
- ↑ The 1966 Encyclopedia of New Zealand claims that he studied with George Gilbert Scott before this.
- ↑ 9.0 9.1 Lochhead 1999, pp. 66–76.
- ↑ "Isaac Luck (1817–1881)". Christchurch City Libraries. สืบค้นเมื่อ 2 June 2011.
- ↑ paperspast.natlib.govt.nz https://paperspast.natlib.govt.nz/newspapers/LT18571024.2.3.4. สืบค้นเมื่อ 2019-01-17.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 12.6 Pascoe, Paul; McLintock, A. H., บ.ก. (1966). "Mountfort, Benjamin Woolfield". An Encyclopaedia of New Zealand. Ministry for Culture and Heritage.
- ↑ "Unamity's Jewel" (PDF). Freemasons' Gazette. New Zealand Freemasons. 30 (1): 21. 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2009.
- ↑ "Christchurch City Council Archives – 18–25 October 2000 Heritage Week". Christchurch City Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-19. สืบค้นเมื่อ 2019-01-22. Retrieved on 12 August 2008.
- ↑ "Christ Church City Council Archives – 13–20 October 2000 Heritage Week". Christchurch City Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-16. สืบค้นเมื่อ 2019-01-22. Retrieved on 12 August 2008.
- ↑ "Celebrating 150 years of English Constitution Freemasonry in New Zealand". Freemason Southern Star Lodge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 ตุลาคม 2008. Retrieved on 12 August 2008.
- ↑ Porter, 1983, p.166; Otago Daily Times, 19 December 2008
- ↑ Lochhead 1999, pp. 93–117
- ↑ "Canterbury Provincial Government Buildings". Register of Historic Places. Heritage New Zealand. สืบค้นเมื่อ 22 August 2008.
- ↑ "Canterbury Provincial Council Buildings: Stone Chamber and Bellamys'". Christchurch City Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กันยายน 2008. Retrieved on 22 August 2008.
- ↑ 21.0 21.1 Lochhead 1999, "Introduction"
- ↑ 22.0 22.1 "B.W. Mountfort and the Gothic Revival: a Centennial Exhibition". Christchurch Art Gallery. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 ตุลาคม 2008. Retrieved on 25 August 2008.
- ↑ "The Nineteenth-Century High Church: Tractarianism, the Oxford Movement, and Ritualism". National University of Singapore. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กันยายน 2008. Retrieved on 26 August 2008.
- ↑ Livingston, James C.; และคณะ (2006). Modern Christian Thought. Fortress Press. p. 163. ISBN 978-0-8006-3795-8.
- ↑ Pound, Ezra; Zinnes, Harriet (1980). Ezra Pound and the Visual Arts. New Directions Publishing. ISBN 978-0-8112-0772-0.
- ↑ Kruft, Hanno-Walter; Taylor, Ronald (1996). A History of Architectural Theory. Princeton Architectural Press. p. 330. ISBN 978-1-56898-010-2.
- ↑ Smith, p. 81
- ↑ Scase, Wendy; Copeland, Rita; Lawton, David (2005). New Medieval Literatures. Vol. 1. Oxford University Press. p. 11. ISBN 978-0-19-927365-2.
- ↑ 29.0 29.1 Gardner, W.J; และคณะ (1971). A History of Canterbury. Whitcombe & Tombs. p. 483. ISBN 978-0-7233-0321-3.
- ↑ Daniels, Rebecca; Brandwood, Geoff (2003). Ruskin & Architecture. Spire Books. p. 172. ISBN 978-0-9543615-1-8.
- ↑ Walker, Paul. "The 'Maori House' at the Canterbury Museum". University of Auckland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ตุลาคม 2008. Retrieved on 11 August 2008.
- ↑ Fletcher, p. 1306
- ↑ "Appendix Five: Religious Art in Central Christchurch Accessible to the Public". Christchurch Art Gallery. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 ตุลาคม 2008. Retrieved on 4 September 2008.
- ↑ Turner, Jane (1996). The Dictionary of Art. Grove's Dictionaries. p. 230. ISBN 978-1-884446-00-9.
- ↑ Smith, Thomas R. (2008). Architecture, Gothic and Renaissance. Kessinger Publishing. p. 143. ISBN 978-1-4367-8070-4.
- ↑ "The Belltower and Spire, ChristChurch Cathedral". Christchurch Libraries. สืบค้นเมื่อ 11 September 2008.
- ↑ Lochhead 1999, pp. 274–277
- ↑ Lochhead 1999, p. 283
- ↑ Lochhead, Ian (1997). "A Pitiful Pile of Bricks". Fabrications. 8: 64–86. doi:10.1080/10331867.1997.10525110.
- ↑ Lochhead 1999, p. 174
- ↑ Lochhead 1999, pp. 175–178
- ↑ Fletcher, p. 1308
- ↑ "History of St Luke's in the City". St Luke's in the City. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2011. Retrieved on 14 September 2008.
- ↑ Scott, Don. "The old Canterbury Provincial Chambers (image)". The Press. สืบค้นเมื่อ 23 February 2011.
- ↑ Duncan, Layton. "Damage caused by Christchurch earthquake (image)". Sydney Morning Herald. สืบค้นเมื่อ 23 February 2011.
- ↑ Broughton, Cate (9 June 2012). "Technology to save Trinity Church". The Press. p. A13. สืบค้นเมื่อ 9 June 2012.
- ↑ "เบนจามิน เมานต์ฟอร์ต". Register of Historic Places. Heritage New Zealand.
- ↑ Lochhead 1999, Appendix 3
บรรณานุกรม
แก้- Fletcher, Banister (1996). Sir Banister Fletcher's a History of Architecture. Architectural Press, 20th ed. ISBN 978-0-7506-2267-7.
- Lochhead, Ian (1999). A Dream of Spires: Benjamin Mountfort and the Gothic revival. Canterbury: Canterbury University Press. ISBN 0-908812-85-X.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Lochhead, Ian J. "Mountfort, Benjamin Woolfield 1825–1898". Dictionary of New Zealand Biography. Ministry for Culture and Heritage. สืบค้นเมื่อ 7 April 2011.
- Porter, Frances (ed) (1983). "Historic Buildings of New Zealand, South Island". Auckland: Methuen New Zealand. ISBN 0-456-03120-0.
- Smith, Phillipa M. (2005). A Concise History of New Zealand. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-83438-4.
- Taylor, C.R.H. (1929). The Gothic Beauties and History of the Canterbury Provincial Buildings. Canterbury Provincial Buildings Board.