เจสส์ กลินน์

นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอังกฤษ

เจสซิกา แฮนนาห์ กลินน์ (อังกฤษ: Jessica Hannah Glynne; เกิด 20 ตุลาคม ค.ศ. 1989) หรือชื่อในการแสดงว่า เจสส์ กลินน์ (อังกฤษ: Jess Glynne) เป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเชื้อสายยิว เธอเริ่มต้นทำงานดนตรีจากการทำงานในบริษัทบริหารจัดการศิลปิน และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับสังกัดแบล็กบัตเตอร์เรเคิดส์และแอตแลนติกเรเคิดส์ กลินน์มีชื่อเสียงหลังจากเป็นศิลปินรับเชิญในเพลง "แรเทอร์บี" ของคลีนแบนดิต เพลง "มายเลิฟ" ของรูต 94 และเพลง "นอตเลตทิงโก" ของไทนี เทมพาห์ ซึ่งทั้งสามเพลงขึ้นอับดับ 1 บนชาร์ตซิงเกิลแห่งสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับเพลงในอัลบั้มชุดแรกของเธอในปี ค.ศ. 2015 ไอครายเวนไอลาฟ ได้แก่ "โฮลด์มายแฮนด์" และ "โดนต์บีโซฮาร์ดออนยัวร์เซลฟ์" ทำให้กลินน์เป็นศิลปินหญิงเดี่ยวชาวอังกฤษคนที่สองหลังจากเชอรีล โคล ที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตในสหราชอาณาจักรถึงห้าเพลง ตัวอัลบั้มประสบความสำเร็จอย่างมากในสหราชอาณาจักร เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้ม นอกจากนี้กลินน์ยังทำงานเขียนเพลงให้กับศิลปินหลายคน

เจสส์ กลินน์
กลินน์ขณะทำการแสดงที่เซาท์บายเซาท์เวสต์ในปี ค.ศ. 2015
กลินน์ขณะทำการแสดงที่เซาท์บายเซาท์เวสต์ในปี ค.ศ. 2015
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดเจสซิกา แฮนนาห์ กลินน์
เกิด (1989-10-20) 20 ตุลาคม ค.ศ. 1989 (34 ปี)
แฮมป์สเตด ลอนดอน สหราชอาณาจักร
แนวเพลง
อาชีพ
  • นักร้อง
  • นักแต่งเพลง
เครื่องดนตรี
  • เสียงร้อง
  • เปียโน
ช่วงปี2012–ปัจจุบัน
ค่ายเพลง
เว็บไซต์jessglynne.co.uk

กลินน์ได้รับรางวัลแกรมมี ในสาขาบันทึกเสียงเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมแห่งปี จากผลงานเพลง "แรเทอร์บี" ที่เธอร้องร่วมกับคลีนแบนดิต และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งในยุโรปและนานาชาติในฐานะศิลปินเดี่ยวกับเพลง "โฮลด์มายแฮนด์" และศิลปินรับเชิญ

ประวัติ แก้

1989–2013: ชีวิตช่วงแรกและเริ่มต้นอาชีพนักร้อง แก้

เจสซิกา แฮนนาห์ กลินน์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1989 ที่โรงพยาบาลรอยัลฟรี ในหมู่บ้านแฮมป์สเตด และเติมโตที่มัสเวลล์ฮิลล์ ลอนดอนเหนือ เป็นบุตรสาวครอบครัวชาวยิว พ่อเป็นผู้แทนซื้อขายที่ดิน และแม่ทำงานในฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปิน กลินน์เข้าโรงเรียนอนุบาลที่สุเหร่ายิวในวูดไซด์พาร์ก และโรงเรียนประถมศึกษาที่โรดส์อเวนิว ก่อนจะเข้าโรงเรียนฟอร์ทิสเมียร์ในระดับมัธยมศึกษา[1] ระหว่างนั้นเธอได้ออดิชันหลายเวทีการประกวดรวมทั้งรายการดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ ขณะอายุ 15 ปี แต่ไม่ผ่านเข้ารอบเนื่องจากเกิดการโต้แย้งกับโปรดิวเซอร์รายการ[2][3] กลินน์สำเร็จการศึกษาในระดับเอเมื่ออายุ 18 ปี เธอเริ่มทำงานในร้านทำผม ร้านขายเสื้อผ้า และฟิตเนสตามคำแนะนำของพ่อและแม่ และเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อน จนกระทั่งกลินน์ได้งานในบริษัทบริหารจัดการศิลปิน ทำให้เธอได้เรียนรู้การทำงานและตัดสินใจเป็นนักร้อง โดยแต่งเพลงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง และทำงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงเป็นระยะเวลาสี่ปี[1][3]

กลินน์ได้ศึกษาและจบหลักสูตรพัฒนาศิลปินที่แอคเซสทูมิวสิก วิทยาลัยดนตรีในลอนดอนตะวันออก สถานที่ที่เธอพบกับจินจิน นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ และเบลสบีตส์ โปรดิวเซอร์เพลงชาติเดียวกัน ซึ่งต่อมาทั้งสามคนก็ได้ทำงานเพลงร่วมกัน[2][4][5] จนปี ค.ศ. 2013 หนึ่งในงานเพลงของกลินน์และจินจินได้รับความสนใจจากค่ายเพลงแบล็กบัตเตอร์เรเคิดส์ กลินน์จึงได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับทางค่าย[6] โจ กอสซา ผู้บริหารร่วมของค่ายกล่าวถึงกลินน์ว่า "เสียงของเธอทำให้ผมประหลาดใจ [...] มันมีความพิเศษในตัว และเธอสามารถพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ในทุกวันในทางที่ดีเลิศ"[7] และในเดือนสิงหาคม กลินน์ได้เซ็นสัญญากับสังกัตแอตแลนติกเรเคิดส์ เธอจึงออกจากงานบริหารตราสินค้าให้กับบริษัทเครื่องดื่มในเวลานั้น[1]

2013–14: ประสบความสำเร็จ แก้

ระหว่างปี ค.ศ. 2013 โปรดิวเซอร์เพลงแนวดีปเฮาส์ รูต 94 ได้ทาบทามให้กลินน์ช่วยเขียนเนื้อเพลงใหม่จากเดโม และร้องเสียงหลักแก่เพลง "มายเลิฟ" ของเขา[8] ซึ่งออกมาครั้งแรกในอัลบั้มรวมเพลง แอนนี แมก พรีเซนตส์ 2013 ของแอนนี แมก ดีเจชาวไอร์แลนด์ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013[9] กลินน์ถูกทาบทามอีกครั้งจาก คลีนแบนดิต วงดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ ให้ร้องรับเชิญในเพลง "แรเทอร์บี" หลังจากที่พวกเขาได้ฟังเสียงของเธอในเพลง "มายเลิฟ"[8] แจ็ก แพตเทอร์สัน สมาชิกในวง กล่าวว่า "ความละเอียดอ่อนอันแท้จริงของความรู้สึกอยู่ในเสียงของเธอ [...] คุณสามารถได้ยินความเปราะบางในตัวเธอ แต่ในเวลาเดียวกันมันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง"[7]

หลังจากเพลง "มายเลิฟ" และ "แรเทอร์บี" ถูกออกมาเป็นซิงเกิล ทั้งสองเพลงเปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตซิงเกิลแห่งสหราชอาณาจักร[10][11] โดยเพลง "แรเทอร์บี" ทำยอดขายเร็วที่สุดเป็นอันดับสามและมียอดสตรีมมิงสูงที่สุด ทำให้มียอดขายสูงที่สุดเป็นอันดับสองในสหราชอาณาจักร ประจำปี ค.ศ. 2014 ด้วยยอดขายทั้งหมด 1.29 ล้านหน่วย[12] นอกจากนี้ยังขึ้นอันดับหนึ่งและห้าอันดับแรกบนชาร์ตซิงเกิลในยุโรปและเอเชีย รวมถึงขึ้นอันดับ 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[13] กลินน์ได้รับรางวัลแกรมมีตัวแรกของเธอ ในสาขาบันทึกเสียงเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากเพลง "แรเทอร์บี" ร่วมกับคลีนแบนดิต[14] และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบริตอะวอดส์ ในสาขาซิงเกิลบริติชยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับเพลง "มายเลิฟ" และรางวัลบีบีซีมิวสิกอวอดส์ ในสาขาเพลงแห่งปี[15][16]

2014–ปัจจุบัน: อัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ แก้

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 กลินน์ได้อัปโหลดมิวสิกวิดีโอสำหรับเพลง "โฮม" เพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ถูกเผยแพร่จากการทำงานร่วมกับจินจินและเบลสบีตส์[2][17] และในเดือนกรกฎาคม "ไรต์เฮียร์" ซิงเกิลแรกของเธอออกจำหน่าย เปิดตัวบนชาร์ตสหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศ[18] ระหว่างกลางปีจนถึงปลายปี ค.ศ. 2014 กลินน์ทำการแสดงในหลายงานเทศการดนตรีที่สหราชอาณาจักร ได้แก่ แกลสตันบูรี, ซัมเมอร์ซีรีส์ทีตำหนักซัมเมอร์เซต, เบสติวัล, เลิฟบ็อกซ์, วีเฟสติวัล และไวร์เลสส์[3][19][20] และเริ่มแสดงทัวร์ทั่วสหราชอาณาจักรตั้งแต่เดือนตุลาคม เริ่มที่เมืองเชฟฟีลด์และสิ้นสุดที่อิเล็กทริกบริกซ์ตันในลอนดอน[21] เธอยังร่วมเขียนเพลงกับไทนี เทมพาห์, ริตา โอรา, รูดิเมนทัล, ลิตเทิลมิกซ์, อิกกี อะเซเลีย และเอ็มพอยท์โอ[2][22][23] และมีผลงานเพลงที่สองร่วมกับคลีนแบนดิตชื่อว่า "เรียลเลิฟ" ในฐานะศิลปินเจ้าของเพลงร่วม โดยเพลงออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน และเปิดตัวที่อันดับที่ 2 บนชาร์ต[24]

 
กลินน์ขณะทำการแสดงที่เชเพิร์ดส์บุชเอ็มไพร์ในปี ค.ศ. 2014

ซิงเกิลที่สองของกลินน์ "โฮลด์มายแฮนด์" ออกมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 เปิดตัวบนชาร์ตอันดับ 1 เป็นเวลาสามสัปดาห์ โดยเป็นเพลงอันดับหนึ่งเพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว และเข้าชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นครั้งที่สอง[25][26][27] ต่อมาในเดือนมิถุนายน เธอได้ร้องรับเชิญอีกครั้งในเพลง "นอตเลตทิงโก" ของแร็ปเปอร์ชาวอังกฤษ ไทนี เทมพาห์ เพลงเปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ต[10] กลินน์ได้รับการผ่าตัดติ่งเนื้อออกจากเส้นเสียงของเธอกับแพทย์ผู้เคยให้การรักษากับแซม สมิธ ทำให้เธอต้องยกเลิกหลายการแสดงอย่างกะทันหัน เช่น แกลสตันบูรี ไอสล์ออฟไวท์ และการแสดงร่วมทัวร์ของจอห์น เลเจนด์[7][28][29] ซิงเกิลต่อมา "โดนต์บีโซฮาร์ดออนยัวร์เซลฟ์" ออกมาในเดือนสิงหาคม และทำอันดับ 1 บนชาร์ตได้ กลินน์จึงเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวชาวอังกฤษคนที่สองที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตสหราชอาณาจักรทั้งหมดห้าเพลงหลังจากเชอรีล โคล[30][31][32] และสัปดาห์ต่อมาเธอออกอัลบั้มเปิดตัวชื่อว่า ไอครายเวนไอลาฟ จากการทำงานร่วมกับจินจินและเบลสบีตส์ และโปรดิวเซอร์หลายคนอย่างนอติบอย น็อกซ์บราวน์ และสตาร์สมิธ[33][34] อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้ม ทำยอดขายในสหราชอาณาจักรจำนวนมากจากการรับรองระดับทองคำขาว 3 ครั้งจากองค์กรตัวแทนอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงอังกฤษ ส่วนบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 อัลบั้มเข้าใน 30 อันดับแรก[35][36][37] ทัวร์คอนเสิร์ต เอนท์กอตฟาร์ทูโกทัวร์ ถูกจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมอัลบั้ม[38][39]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 กลินน์ปรากฏตัวในรายการดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ ฤดูกาลที่ 12 ในฐานะกรรการรับเชิญของทีมเชอรีล โคล ช่วงบ้านของผู้ตัดสิน[40] และในเดือนเดียวกันเธอเป็นผู้ดำเนินเรื่องภาพยนตร์สารคดีสั้นโดยนิตยสารไวซ์ เรื่อง เดอะบริตอินเวชัน เกี่ยวกับความรุ่งเรืองของดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (อีดีเอ็ม) และบริติชแดนซ์ในสหรัฐอเมริกา[41] ในเดือนพฤศจิกายน กลินน์ออกเพลง "เทกมีโฮม" เป็นซิงเกิลสำหรับโครงการการกุศลของบีบีซี ชิลเดรนอินนีด ประจำปี ค.ศ. 2015[42] เพลงทำอันดับสูงสุดที่อันดับที่ 6 เป็นเพลงที่แปดของกลินน์ใน 10 อันดับแรกบนชาร์ตสหราชอาณาจักร[10] และในเดือนธันวาคม กลินน์ได้ขึ้นแสดงที่จิงเกิลเบลล์บอล[43]

ต้นปี ค.ศ. 2016 กลินน์ได้จัดทัวร์คอนเสิร์ต ไอครายเวนไอลาฟนทัวร์ เพื่อส่งเสริมอัลบั้มในอเมริกาเหนือและยุโรป[44][45] ระหว่างนั้นกลินน์ออกซิงเกิล "เอนท์กอตฟาร์ทูโก" แต่ไม่ประสบความสำเร็จบนชาร์ต[46][47] กลินน์ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลบริตอะวอดส์ 3 สาขาร่วมถึงสาขาซิงเกิลบริติชแห่งปีจากเพลง "โฮลด์มายแฮนด์" และขึ้นแสดงเมดเลย์เพลงในอัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ ในงาน[48] กลินน์ปฏิเสธเป็นกรรมการในรายการ เดอะวอยซ์ ของสหราชอาณาจักร เพราะเธอไม่ได้มีความสนใจในหน้าที่นั้น[49] ครึ่งปีหลังเป็นต้นมา กลินน์มีการแสดงสดร่วมทัวร์ของรูดิเมนทัลในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ขึ้นแสดงในงานเทศการดนตรีแกลสตันบูรี และจัดทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า เทกมีโฮมทัวร์ ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์[50][51][52] นอกจากนี้เธอยังร้องรับเชิญในเพลง "คิลเดอะไลตส์" ของดีเจคาสซิดี ประกอบซีรีส์อเมริกันเรื่องไวนิล และเพลง "ไอแคนฟีลอิต" ของดีเจเซิร์จวูด และร้องนำในเพลง "อิฟไอแคนต์แฮฟยู" กับแซเทอร์เดย์ไนต์ฟีเวอร์[53] สตูดิโออัลบั้มใหม่ของกลินน์ ได้ร่วมงานกับโทบี แกด สกริลเลกซ์ และปาร์ตีเน็กซ์ดอร์[54]

งานดนตรี แก้

อิทธิพล แก้

เอมี ไวน์เฮาส์ (ซ้าย) และ แฟรงก์ โอเชียน (ขวา) เป็นแรงบันดาลใจหลักผลักดันให้กลินน์เป็นศิลปิน

ในวัยเยาว์กลินน์ได้รับอิทธิพลของดนตรีตอนเธออายุประมาณ 10 ปี หลังจากพ่อของเธอเปิดเพลงจากอัลบั้มของอีวา แคสซิดี ซองเบิร์ด ซึ่งเธอรู้สึกสัมผัสถึงอารมณ์ของเพลงได้[55] เธอจึงหลงรักในดนตรีเป็นอย่างมาก โดยเฉาะเพลงของมารายห์ แครี วิตนีย์ ฮิวสตัน และอารีธา แฟรงคลิน โดยเพลง "ฮีโร" ของแครีนั้น เป็นแรงผลักดันให้เธอร้องเพลงนี้ในการแสดงความสามารถครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมศึกษาของเธอ นอกจากนี้เธอยังชื่นชอบผลงานของทิมบาแลนด์และจัสติน ทิมเบอร์เลกด้วย[1][55][56] กลินน์ตัดสินใจทำงานอาชีพดนตรี เพราะเธอได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากเอมี ไวน์เฮาส์ หลังจากฟังอัลบั้ม แฟรงก์ กลินน์กล่าวว่า "พวกเราเหมือนพี่น้องกัน [มีเชื้อสายยิวเหมือนกัน] ถ้าเธอ [ไวน์เฮาส์] ทำงานดนตรีได้ ฉันก็ทำได้ เธอคือต้นแบบของการทำด้วยตัวเอง"[55] หลังจากกลินน์เป็นศิลปินแล้ว เธอก็ได้รับแรงผลักดันในการเริ่มเขียนเพลงจากอิทธิพลจากอัลบั้ม เดอะมิสเซดูเคชันออฟลอรีนฮิลล์ ของลอรีน ฮิลล์[8] กลินน์ยังยกย่องแฟรงก์ โอเชียน เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจหลักในการทำงาน โดยเธอให้เหตุผลว่าโอเชียนมีแนวทางการทำเพลงให้ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว[55] โดยเพลงของโอเชียนเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจร่วมกับเพลงของพรินซ์และเมวิส สเตเปิลส์ ระหว่างกลินน์ทำอัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ[56]

กลินน์กล่าวถึงแซม คุก, เดสทินีส์ไชลด์, มารายห์ แครี, วิตนีย์ ฮิวสตัน, อารีธา แฟรงคลิน และเอตตา เจมส์ ว่าเป็นแรงบันดาลใจในรูปแบบการร้องเพลงของเธอ เช่นเดียวกับ เคนดริก ลามาร์, เจย์-ซี, แฟรงก์ โอเชียน และเอ็มมิเน็ม ในรูปแบบการแร็ป[2] กลินน์ยังมีศิลปินคนอื่น ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เธอ ได้แก่ บียอนเซ่ แมรี เจ. ไบลจ์ และอินเดีย อารี[57][58][59]

แนวดนตรีและรูปแบบเพลง แก้

แนวเพลงของกลินน์เป็นแนวเฮาส์ ผสมกับแนวคลาสสิกและการร้องแบบโซลเป็นแนว "เฮาส์เปี่ยมพลัง" (powerhouse) อย่างในเพลง "มายเลิฟ" และ "แรเทอร์บี" ต่างจากอัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ ที่ผสมแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ อาร์แอนด์บี และกอสเปล ซึ่งแอนดี กิลล์ จากหนังสือพิมพ์ดิอินดีเพ็นเดนต์ นับถือ "กระบวนการสร้างและแนวเพลง" (regards both methods and themes)[60] แต่เฮเซล คิลส์ จากนิตยสารสปิน ให้ความเห็นว่า "เป็นผลงานที่ไม่ใช่แนวของเธอ" (songs that aren’t even hers)[61] เนื้อหาในอัลบั้มเกี่ยวกับการคิดบวกกับตัวเอง และเปลี่ยนจากความเสียใจให้เป็นความหวัง ตรงตามจุดประสงค์ของกลินน์ที่ต้องการให้อัลบั้มแสดงออกมาในเชิงบวก[62] มอรา จอห์นสัน จากหนังสือพิมพ์เดอะบอสตันโกลบ กล่าวว่า "เสียงร้องแสดงถึงความน่าเกรงขาม" (formidable pipes) ถึงแม้ว่า "เนื้อเพลงแสดงถึงความปวดร้าว" ก็ตาม (a lyric with vulnerability)[63] องค์ประกอบส่วนใหญ่ในอัลบั้มประกอบไปด้วยโน๊ตที่เล่นวนไปมา แทมโบรีน เสียงปรมมือ และเสียงพื้นหลังที่ร้องระหว่าง "โอ้" และ "อาเมน"[61]

กลินน์มีช่วงเสียงร้องต่ำแบบคอนทราลโต หลายนักวิจารณ์มีความเห็นตรงกันว่าเสียงของเธอนั้นมีทั้งความหนักแน่น ทรงพลัง และอ่อนโยน[62][63][64] นิตยสารโรลลิงสโตน ระบุว่า เสียงของกลินน์สามารถแสดงได้ "ทุกช่วงอารมณ์" (emotional gamut)[62] เสียงร้องของเธอจึงถูกเปรียบเทียบกับเอมี ไวน์เฮาส์และเทย์เลอร์ เดย์น[5][7] นิตยสารบิลบอร์ดให้คำวิจารณ์เชิงบวกสำหรับการแสดงสดในไอครายเวนไอลาฟทัวร์ โดยเปรียบเป็น "ยาวิเศษแสนไพเราะเหมาะแก่แก้วหู" (a downright delightful eardrum elixir) และชื่นชมทั้งเทคนิคเสียงแหบและหนักแน่น[65]

ผลงานเพลง แก้

ผลงานวีดิทัศน์ แก้

ปี ชื่อรายการ เครือข่าย รายละเอียดเพิ่มเติม
2015 ดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ ไอทีวี กรรมการรับเชิญ ฤดูกาลที่ 12 ตอนบ้านของผู้ตัดสิน
2016 เดอะเดนจิเนียร์ส ซีบีบีซี แขกรับเชิญ ฤดูกาลที่ 2 ตอนที่ 3

ทัวร์ แก้

  • เอนท์กอตฟาร์ทูโกทัวร์ (2015)
  • ไอครายเวนไอลาฟทัวร์ (2016)
  • เทกมีโฮมทัวร์ (2016)

รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง แก้

ปี รางวัล สาขา ผู้รับ ผลรางวัล อ้างอิง
2014 บีบีซีมิวสิกอะวอดส์ เพลงแห่งปี "แรเทอร์บี" เสนอชื่อเข้าชิง [66]
2015
รางวัลแกรมมี บันทึกเสียงเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมแห่งปี ชนะ [14]
บริตอะวอดส์ ซิงเกิลบริติชแห่งปี เสนอชื่อเข้าชิง [67]
"มายเลิฟ"
วิดีโอของศิลปินบริติชแห่งปี เสนอชื่อเข้าชิง
บิลบอร์ดมิวสิกอะวอดส์ เพลงแดนซ์/อิเล็กทรอนิกส์ยอดนิยม "แรเทอร์บี" เสนอชื่อเข้าชิง [68]
โมโบอะวอดส์ ศิลปินหญิงยอดเยี่ยม เจสส์ กลินน์ เสนอชื่อเข้าชิง [69]
เพลงยอดเยี่ยม "นอตเลตทิงโก" เสนอชื่อเข้าชิง
เอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เจสส์ กลินน์ เสนอชื่อเข้าชิง [70]
ศิลปินประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
ศิลปินบริติชและไอริชยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
เอ็มทีวีเจแปนมิวสิกอะวอดส์ วิดีโอของศิลปินนานาชาติหน้าใหม่ยอดเยี่ยม "โฮลด์มายแฮนด์" เสนอชื่อเข้าชิง [71]
บีบีซีมิวสิกอะวอดส์ เพลงแห่งปี เสนอชื่อเข้าชิง [72]
2016
บริตอะวอดส์ ซิงเกิลบริติชแห่งปี เสนอชื่อเข้าชิง [73]
ศิลปินประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม เจสส์ กลินน์ เสนอชื่อเข้าชิง
ศิลปินบริติชหญิงเดี่ยวยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
ไอเวอร์โนเวลโลอะวอดส์ เพลงยอดเยี่ยม "โฮลด์มายแฮนด์" เสนอชื่อเข้าชิง [74]
ซิลเวอร์เคลฟอะวอดส์ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เจสส์ กลินน์ ชนะ [75]
ดิเอแอนด์อาร์มิวสิกอะวอดส์ ศิลปินประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม ชนะ [76]
เอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ ศิลปินที่แสดงสดบนเวทีระดับโลกยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง [77]
เอสเคปลอนดอนมิวสิกอะวอดส์ รางวัลแวนการ์ด ชนะ [78]
เพลงอีดีเอ็มยอดเยี่ยม "โฮลด์มายแฮนด์" ชนะ
บีบีซีมิวสิกอะวอดส์ ศิลปินแห่งปี เจสส์ กลินน์ เสนอชื่อเข้าชิง [79]

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 Lester, Paul (24 กรกฎาคม 2014). "Jess Glynne: The chart-topper who lives with her mum". The Jewish Chronicle Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-11. สืบค้นเมื่อ 2016-02-26.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 Smyth, David (23 กันยายน 2014). "Interview: Mobo shortlisted singer Jess Glynne on being pop's brightest newcomer". EveningStandard.
  3. 3.0 3.1 3.2 Stroude, Will (24 กรกฎาคม 2014). "Jess Glynne: 'I could throw water at people to plug my album'". Attitude Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-28. สืบค้นเมื่อ 2016-02-26.
  4. Haycock, Annalisa (5 มีนาคม 2014). "Music Students Ride Road To Success". Guestlist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-18. สืบค้นเมื่อ 2016-03-01.
  5. 5.0 5.1 Mclean, Craig (14 พฤษภาคม 2015). "Jess Glynne: 'I don't know what I want now — to be with a guy, with a girl, be with anyone'". EveningStandard.
  6. Hampp, Andrew (17 เมษายน 2015). "Ryn Weaver, Kiesza & Jess Glynne Share Their Journeys to Coachella: Exclusive". Billboard.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 Rubin, Courtney (11 พฤศจิกายน 2015). "Jess Glynne Finds Her Voice After Overcoming 'Traumatic, Terrifying' Throat Surgery". Billboard.
  8. 8.0 8.1 8.2 Hannah, Andrew (31 กรกฎาคม 2014). "The 405 meets Jess Glynne". The 405. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-30. สืบค้นเมื่อ 2016-03-16.
  9. "Annie Mac Presents 2013 by Annie Mac". Allmusic. สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2016.
  10. 10.0 10.1 10.2 "Jess Glynne Chart Archive". The Official UK Charts Company. Officialcharts.com. สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2016.
  11. "Route 94 scores first UK number one with 'My Love'". The Independent. 9 มีนาคม 2014.
  12. Copsey, Rob (31 ธันวาคม 2014). "The Official Top 100 Biggest Songs of 2014 revealed". Officialcharts.com.
  13. "Clean Bandit – Chart history". Billboard.
  14. 14.0 14.1 "Clean Bandit And Jess Glynne Win Best Dance Recording". The Recording Academy. Grammy.org. 8 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2016.
  15. "BRIT Awards 2015: Best British Single Nominations List". Capital. 15 มกราคม 2015.
  16. Harp, Justin (11 ธันวาคม 2014). "BBC Music Awards 2014: Winners in full". Digital Spy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-25. สืบค้นเมื่อ 2016-03-19.
  17. "Jess Glynne – Home". YouTube. 12 กุมภาพันธ์ 2014.
  18. "Archive Single Chart: 2014-07-19". Official UK Charts Company. Officialchart.com.
  19. Sigman, Elinor (1 กรกฎาคม 2014). "Profile: Jess Glynne – Interview – Wonderland Magazine". Wonderland Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-22. สืบค้นเมื่อ 2016-03-19.
  20. Feltscheer, Mitch. "Interview: Jess Glynne". Vmusic.com.au.
  21. "Jess Glynne Concert Setlists". setlist.fm.
  22. Copsey, Robert (26 กุมภาพันธ์ 2014). "M.O debut new single 'For A Minute' – listen". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-24. สืบค้นเมื่อ 2016-03-20.
  23. Cabooter, James (26 มีนาคม 2015). "The Reet stuff: Jess Glynne is a hit for Ora".
  24. "Star-Studded Band Aid 30 Top UK Singles Chart". 23 พฤศจิกายน 2014.
  25. "Jess Glynne scores UK number one". 29 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2016.
  26. Myers, Justin (12 เมษายน 2015). "Jess Glynne holds off Nick Jonas to claim third week at Number 1".
  27. Trust, Gary (23 กันยายน 2015). "The Weeknd No. 1, Selena Gomez Top 10 on Billboard Artist 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2016.
  28. Jess Glynne (15 มิถุนายน 2015). "Jess Glynne to have vocal surgery after pulling out of Isle of Wight Festival – BBC Newsbeat". BBC.
  29. Wyatt, Daisy (16 มิถุนายน 2015). "Glastonbury 2015: Jess Glynne forced to cancel performance due to vocal surgery – Features – Music". The Independent.
  30. Copsey, Rob (21 สิงหาคม 2015). "Jess Glynne enters the Official Chart history books". Officialcharts.com.
  31. Copsey, Rob (29 มิถุนายน 2015). "Jess Glynne announces new single Don't Be So Hard On Yourself".
  32. Sexton, Paul (21 สิงหาคม 2015). "Jess Glynne Matches Cheryl Cole's Record on U.K. Singles Chart". Billboard.
  33. "Jess Glynne enlists Starsmith, Talay Riley for debut album". Hamada Mania Music Blog. 10 กรกฎาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-18. สืบค้นเมื่อ 2016-03-21.
  34. "Get To Know: Jess Glynne". HUNGER TV. 3 กรกฎาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-15. สืบค้นเมื่อ 2016-03-21.
  35. "Jess Glynne tops UK album chart with debut". BBC News. bbc.co.uk. 28 สิงหาคม 2015.
  36. "British album certifications – Jess Glynne – I Cry When I Laugh". British Phonographic Industry. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-11. สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2016. ใส่คำว่า I Cry When I Laugh ในช่องค้นหา Keywords ต่อไปเลือก Title ในช่อง Search by และเลือก Album ในช่อง Format สุดท้ายเลือก All ในช่อง By Award และคลิก Search{{cite web}}: CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  37. "Billboard 200 The Week of October 3, 2015". Billboard]]. สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2016.
  38. Cliff, Aimee (22 พฤษภาคม 2015). "Jess Glynne Proves She's Here To Stay On "Ain't Got Far To Go"". Warner Music Germany. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2016.
  39. "ตารางคอนเสิร์ต เอนท์กอตฟาร์ทูโกทัวร์ บนอินสตาแกรมของเจสส์ กลินน์". สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016.
  40. Daly, Emma (30 กันยายน 2015). "X Factor Judges' Houses Jess Glynne to join Cheryl Fernandez-Versini in Rome". Radiotimes.com.
  41. "Watch Our Brand New Documentary 'The Brit Invasion' Right Now". ไวซ์. Thump. 14 กันยายน 2015.
  42. "Jess Glynne sings Children in Need single". BBC. 3 พฤศจิกายน 2015.
  43. "Coldplay, Jason Derulo, Jess Glynne, Charlie Puth und weitere live beim "Jingle Bell Ball"" (ภาษาเยอรมัน). Warner Music Germany. 9 ธันวาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2016.
  44. Foster, Allen (15 มกราคม 2016). "Interview: Jess Glynne's 'I Cry When I Laugh' North American Tour". AXS. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2016.
  45. "ตารางคอนเสิร์ต ไอครายเวนไอลาฟนทัวร์ ในสหราชอาณาจักรและยุโรป บนอินสตาแกรมของเจสส์ กลินน์". สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016.
  46. Corner, Lewis (11 มกราคม 2016). "Jess Glynne will release 'Ain't Got Far to Go' as her next single". Digital Spy.
  47. "Archive Single Chart: 2014-03-04". Official UK Charts Company. Officialchart.com.
  48. Katz, Jessie (24 กุมภาพันธ์ 2016). "Jess Glynne Performs Medley of Her Biggest Songs at 2016 Brit Awards". Billboard. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2016.
  49. "Jess Glynne rejects The Voice judging role". Belfast Telegraph. 7 มิถุนายน 2016.
  50. "Returning This May For Their Biggest Australian & New Zealand Tour To Date!". Frontier. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2016.
  51. Corner, Lewis (24 มิถุนายน 2016). "Jess Glynne lights up Glastonbury for her Pyramid Stage debut after having to cancel last year". Digital Spy. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2016.
  52. Levine, Nick (13 มิถุนายน 2016). "Jess Glynne announces first UK and Ireland arena tour". NME. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2016.
  53. "Audien Remixes DJ Cassidy's 'Kill the Lights,' Feat. Alex Newell, Jess Glynne & Nile Rodgers: Exclusive Premiere". Billboard. 14 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2016.
  54. Corner, Lewis (11 ตุลาคม 2016). "Jess Glynne is working with some huge producers for her next album, including Skrillex". Digital Spy. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2016.
  55. 55.0 55.1 55.2 55.3 Langford, Georgina (4 เมษายน 2014). "Meet Jess Glynne, The Girl Who's Going To Soundtrack Your Summer". MTV. สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2016.
  56. 56.0 56.1 Moss, Liv (11 สิงหาคม 2015). "Jess Glynne interview: "Amy Winehouse gave me the confidence to do this"". The Official UK Charts Company. Officialcharts.com.
  57. Hamad, Marwa (21 เมษายน 2015). "Jess Glynne comes out of the shadows". Gulf News.
  58. Vyas, Sofia (21 เมษายน 2015). "The star of Clean Bandit's hit 'Rather Be' and Route 94's 'My Love'". Time Out Dubai.
  59. Gracie, Bianca (27 มีนาคม 2015). "Jess Glynne Talks Breaking Out As A Solo Star, Her Forthcoming Debut LP & Dolly Parton: Idolator Interview". Idolator.
  60. Gill, Andy (7 สิงหาคม 2015). "Jess Glynne, I Cry When I Laugh - Album review". The Independent. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2016.
  61. 61.0 61.1 Cills, Hazel (21 กันยายน 2015). "Review: Jess Glynne Needs More Church in Her Wild on 'I Cry When I Laugh'". Spin. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2016.
  62. 62.0 62.1 62.2 "10 New Artists You Need to Know: October 2015". Rolling Stone. 28 ตุลาคม 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-23. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2016.
  63. 63.0 63.1 Johnston, Maura (10 กันยายน 2015). "Jess Glynne, 'I Cry When I Laugh'". The Boston Globe. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2016.
  64. Clarke, Betty (5 พฤศจิกายน 2015). "Jess Glynne review – power and tenderness as the dance-pop diva returns home". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2016.
  65. Sullivan, Lindsey (21 มกราคม 2016). "Jess Glynne Finds Happy While Webster Hall Loses Control: Live Review". Billboard. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2016.
  66. "BBC Music Awards 'Song of the Year' shortlist announced". BBC. 10 ธันวาคม 2014.
  67. "BRIT Awards 2015 Winners List - Full List Of This Year's Awards". Capital.fm. 26 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2016.
  68. "Billboard Music Awards 2015: See the Full Winners List". Billboard. 17 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2016.
  69. "The MOBO Awards 2015: The Winners List". Capital Xtra. 4 พฤศจิกายน 2015. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2016.
  70. Shepherd, Jack (26 ตุลาคม 2015). "MTV EMAs 2015 winners list in full: Justin Bieber takes home more awards than Taylor Swift". Independent. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2016.
  71. Ronald (ตุลาคม 2015). "Nominees Announced for the MTV Video Music Awards Japan 2015". Arama! Japan. p. 4. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2016.
  72. McCall, Malorie (10 ธันวาคม 2015). "BBC Music Awards 2015 Winners List: Adele & Taylor Swift Reign". Billboard. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2016.
  73. McAloon, Jonathan (24 กุมภาพันธ์ 2016). "Brit Awards 2016: full list of winners". The Telegraph. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2016.
  74. Savage, Mark (19 พฤษภาคม 2016). "Adele named songwriter of the year at Ivor Novello Awards". BBC. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2016.
  75. "O2 Silver Clef Awards 2016". Nordoff Robbins. สืบค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2016.
  76. "Revealed: The Finalists For The A&R Awards In Association With Abbey Road Studios". Music Business Worldwide. 9 กันยายน 2016. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2017.
  77. "2016 MTV EMAs: See the Full Winners List". Billboard. 6 พฤศจิกายน 2016. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2016.
  78. "2016 ASCAP London Music Awards". ASCAP. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2017.
  79. "BBC Music Awards 2016 - The Nominees". BBC. 25 พฤศจิกายน 2016. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2017.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้