อุทกภัยในคีวชู พ.ศ. 2563

ฝนตกหนักเป็นประวัติศาสตร์ในจังหวัดคูมาโมโตะและจังหวัดคาโงชิมะ บนเกาะคีวชู ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2020 ส่งผลให้เกิดอุทกภัยและดินถล่ม ยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิต 49 ราย ในวันที่ 6 กรกฎาคม ในจำนวนนี้ 14 รายเป็นผู้อยู่อาศัยในบ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในเมืองคูมะ จังหวัดคูมาโมโตะซึ่งถูกน้ำท่วม

อุทกภัยในคีวชู พ.ศ. 2563
(ญี่ปุ่น: 令和2年7月豪雨)
ฝนตกหนักในเดือนกรกฎาคม ปีเรวะที่ 2
ภาพเคลื่อนไหวแสดงการเปลี่ยนแปลงของการกระจายน้ำฝนในจังหวัดคูมาโมโตะ (ระบบุเวลาเหตุการณ์ทางด้านซ้ายล่าง)
วันที่4 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 (2020-07-04) – ปัจจุบัน
ที่ตั้งจังหวัดคูมาโมโตะและจังหวัดคาโงชิมะ บนเกาะคีวชู ประเทศญี่ปุ่น
เสียชีวิตยืนยันแล้ว 77 คน
ทรัพย์สินเสียหายบ้าน 15,335 หลังถูกทำลาย เสียหาย หรือถูกน้ำท่วม; สะพาน 11 แห่งถูกทำลาย

เบื้องหลัง แก้

ไต้ฝุ่น พายุ และอุทกภัย เป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบหนักต่อประเทศญี่ปุ่นในหลายปีก่อนปี 2020 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหลายร้อยราย ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์สาเหตุและระบุว่าเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน[1]

แอ่งแม่น้ำคูมะเคยประสบอุทกภัยมาก่อนในปี 1965 แม่น้ำคูมะนั้นเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากมากสามแห่งของประเทศญี่ปุ่น และเป็นแม่น้ำระดับเอ ที่มีความยาว 115 กิโลเมตร มีต้นน้ำอยู่ในเทือกเขาหนึ่งบนเกาะคีวชู ไหลผ่านฮิโตโยชิ จังหวัดคูมาโมโตะ, คูมะ จังหวัดคูมาโมโตะ และยัตสึชิโระ จังหวัดคูมาโมโตะ และไหลลงทะเลยัตสึชิโระ[2]

เหตุการณ์ แก้

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2020 ฝนตกหนักได้ก่อให้เกิดอุทกภัยบนเกาะคีวชู ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เมื่อเวลาท้องถิ่น 5 นาฬิกา หน่วยอุตุนิยมวิทยาประเทศญี่ปุ่นได้ขึ้นคำเตือนสำหรับฝนตกหนักอันนำไปสู่อุทกภัยระดับร้ายแรงที่สุด (ระดับ 3) ในหลายส่วนของจังหวัดคูมาโมโตะ และคาโงชิมะ เป็นครั้งแรกที่มีการประกาศเตือนอุทกภัยระดับสูงสุดในพื้นที่เหล่านี้[3] หน่วยอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติได้ระบุว่าปริมาณของน้ำฝนนั้นทำลายสถิติของภูมิภาค และสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์[4] ที่อัตราปริมาณน้ำฝนสูงเกิน 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง[5]

ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 มีรายงานผู้เสียชีวิตยืนยันรวม 49 ราย[6] และเพิ่มขึ้นเป็น 58 รายในวันที่ 8 กรกฎาคม[1] ในจำนวนนี้มีสิบสี่รายที่เป็นผู้อยู่อาศัยในบ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในเมืองคูมะที่ถูกน้ำท่วม[3][4] ผู้ว่าราชการจังหวัดคูมาโมโตะ อิคุโอะ คาบาชิมะ ระบุว่าบ้านพักคนชรานั้นถูกพัดเกยหลังดินและน้ำพุ่งทะลักเข้าไปภายในอาคาร[1] หนึ่งในอาสาสมัครกู้ภัยอ้างว่าเมื่อทีมกู้ภัยเข้าไปถึงภายในบ้านพักคนชรานั้น น้ำยังท่วมทั้งชั้นหนึ่งของอาคาร เจ้าหน้าที่จึงทำได้เพียงช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่สามารถหนีขึ้นมาบนชั้นสองได้ทัน[5]

หลังเหตุฝนตกข้ามคืน เจ้าหน้าที่ทางการได้ชี้แจงให้ประชาชน 75,000 คนอพยพออกจากพื้นที่จังหวัดคูมาโมโตะ และคาโงชิมะ[7] ประชากร 203,200 คนได้รับคำสั่งให้อยู่ภายในเคหสถานของตน และมีศูนย์พักพิง 109 แห่งเปิดขึ้นในพื้นที่[3]

 
สะพานคามาเสะ (ซ้าย) และสะพานรถไฟคูมางาวะหมายเลข 1‎ (ขวา) ถูกน้ำพัดพังทลาย

ในเมืองคูมะ ผู้ประสบภัยที่เหลือได้รับการช่วยเหลือโดยเฮลิคอปเตอร์[7] มีบ้านเรือจำนวนแปดหลังถูกพัดหายไปกับน้ำในเมืองอาชิคิตะ[4] ส่วนในเมืองสึนากิ พบร่างไร้ชีวิต 2–3 รายได้รบการกู้ขึ้นมาจากพื้นที่ดินถล่ม[7] นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือน 8,000 หลังที่ไฟฟ้าถูกตัดในทั้งสองจังหวัด[7]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 Mullany, Gerry (July 4, 2020). "Severe Flooding in Southern Japan Swamps Nursing Home". The New York Times.
  2. "Kuma River floods cities after record rainfall". The Japan News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-04. สืบค้นเมื่อ 4 July 2020.
  3. 3.0 3.1 3.2 NEWS, KYODO. "1 dead, 15 feared dead, 9 missing in rain, floods in southwest Japan". Kyodo News+.
  4. 4.0 4.1 4.2 "Many feared dead in flooded Japanese care home". BBC News. July 4, 2020.
  5. 5.0 5.1 "Japan floods leave up to 34 dead, many at nursing homes". AP News. 5 July 2020. สืบค้นเมื่อ 6 July 2020.
  6. "Japan floods: Country braces for more rain as death toll rises". BBC News. 6 July 2020. สืบค้นเมื่อ 6 July 2020.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 "Heavy rain floods southern Japan, leaving many presumed dead, several missing". Australian Broadcasting Corporation. July 4, 2020.