สปาร์ตากุส (ละติน: Spartacvs) หรือ สปาร์ตาโกส (กรีก: Σπάρτακος, ทับศัพท์ Spártakos; ป. 103–71 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นกลาดิอาตอร์ชาวเทรเชียน (Thraex) ที่เป็นหนึ่งในผู้นำทาสที่หลบหนีร่วมกับกริซุส, กันนิกุส, กัสตุส และโอเอโนมาอุสในสงครามทาสครั้งที่สาม การก่อกำเริบของทาสครั้งใหญ่ต่อสาธารณรัฐโรมัน ข้อมูลของเขานอกจากเหตุการณ์ในสงครามมีน้อย และบันทึกประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่บางครั้งให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันเอง ข้อมูลทั้งหมดยอมรับว่าเขาเป็นอดีตกลาดิอาตอร์และเป็นผู้นำทางทหารที่ประสบความสำเร็จ

สปาร์ตากุส
การเสียชีวิตของสปาร์ตากุส โดยแฮร์มัน โฟเกิล (1882)
เกิดป. 103 ปีก่อน ค.ศ.
ใกล้แม่น้ำสตรีมอนในบริเวณที่ปัจจุบันคือประเทศบัลแกเรีย
เสียชีวิต71 ปีก่อน ค.ศ. (32 ปี)
ใกล้แม่น้ำเซเลที่ลูกาเนีย ประเทศอิตาลี[1]
ประจำการ73–71 ปีก่อน ค.ศ.
บังคับบัญชากองทัพทาสกบฏ
การยุทธ์สงครามทาสครั้งที่สาม

บางคนตีความการก่อกบฏนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ถูกกดขี่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากระบอบคณาธิปไตยที่ถือครองทาส ให้แรงบันดาลใจแก่นักคิดทางการเมืองหลายคน และปรากฏอยู่ในวรรณกรรม รายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์[2] วอลแตร์ นักปรัชญา กล่าวถึงสงครามทาสครั้งที่สามเป็น "สงครามที่ยุติธรรมครั้งเดียวในประวัติศาสตร์"[3] ไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ใดที่ระบุว่าเป้าหมายของเขาคือยกเลิกระบบทาสในสาธารณรัฐ แม้ว่าการตีความนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับนักประวัติศาสตร์สมัยคลาสสิกเป็นการเฉพาะ[4]

ข้อมูล แก้

ข้อมูลหลักของสปาร์ตากุสมีสองแห่ง ซึ่งทั้งสองข้อมูลเขียนขึ้นหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปศตวรรษหนึ่งหรือมากกว่านั้น นั่นคือ: พลูทาร์กแห่งไครอเนอา (ค.ศ. 46 - 119) และอัปเปียนแห่งอะเล็กซานเดรีย (ค.ศ. 95 – 165)[5] ผลงานจำเพาะของทั้งสองคนนี้คือ Life of Crassus (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2) โดยพลูทาร์ก และ Civil Wars (ต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2) โดยอัปเปียน[5] จากข้อมูลสปาร์ตากุสที่หลงเหลือทั้งหมด ไม่มีข้อมูลใดที่เขียนโดยพยานผู้เห็นเหตุการณ์และทั้งหมดประกอบขึ้นใหม่ในภายหลัง ไม่มีข้อมูลใดที่เขียนโดยทาสหรืออดีตทาส และข้อมูลแรกสุดปรากฏขึ้นหลังสงครามอย่างน้อยหนึ่งชั่วรุ่น[6]

ชีวิตช่วงต้น แก้

พลูทาร์ก ผู้เขียนเรียงความชาวกรีก กล่าวถึงสปาร์ตากุสเป็น "ชาวเทรเชียในสินค้าชนร่อนเร่ (Nomadic stock)"[7] ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะอ้างอิงถึงเผ่าไมดี[8] อัปเปียนกล่าวว่าเขาเป็น "ชาวเทรเชียนโดยกำเนิดที่เคยดำรงตำแหน่งทหารร่วมกับชาวโรมัน แต่นับแต่นั้นมาจึงกลายเป็นนักโทษและขายไปเป็นกลาดิอาตอร์"[9]

ฟลอรุสกล่าวถึงเขาเป็น "ผู้ที่มาจากทหารรับจ้างชาวเทรเชียน กลายเป็นทหารโรมัน เขาถูกละทิ้งไปเป็นทาส และต่อมา เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว จึงเป็นกลาดิอาตอร์"[10] นักเขียนหลายคนสื่อสิ่งนี้ถึงเผ่าเทรเชียนจากไมดี[11][12][13]ที่ครอบครองพื้นที่ขอบเธรซตะวันตกเฉียงใต้ ร่วมกับชายแดนมณฑลมาซิโดเนียของโรมัน – ปัจจุบันคือประเทศบัลแกเรียตะวันตกเฉียงใต้[14] พลูทาร์กยังเขียนอีกว่าภรรยาของสปาร์ตากุสที่เป็นผู้พยากรณ์จากเผ่าไมดี ถูกนำไปเป็นทาสด้วย

นักเขียนสมัยใหม่คนหนึ่งประมาณการว่า ตอนที่สปาร์ตากุสเริ่มก่อกบฏ เขามีอายุ ป. 30 ปี[15] ซึ่งจะทำให้ปีเกิดของเขาอยู่ที่ ป. 103 ปีก่อน ค.ศ.

ตกเป็นทาสและหลบหนี แก้

 
ขอบเขตของสาธารณรัฐโรมันเมื่อ 100 ปีก่อน ค.ศ.

ตามรายงานจากข้อมูลและการตีความที่แตกต่างกันระบุว่า สปาร์ตากุสถูกกองทัพลีเจียนจับเป็นเชลย[16] สปาร์ตากุสได้รับการฝึกฝนที่โรงเรียนกลาดิอาตอร์ (ludus) ของเลนตูลุส บาตีอาตุสใกล้กาปูอา เขาเป็นกลาดิอาตอร์เฮฟวีเวทที่มีชื่อเรียกว่ามูร์มิลโล (murmillo) นักรบเหล่านี้สามารุถือโล่รูปกลมรีขนาดใหญ่ (สกูตุม) และใช้ดาบที่มีใบมีดกว้างตรง (กลาดิอุส) ยาวประมาณ 18 นิ้ว[17] ใน 73 ปีก่อน ค.ศ. สปาร์ตากุสเป็นหนึ่งในกลุ่มกลาดิอาตอร์ที่วางแผนหลบหนี[18]

ทาสประมาณ 70 คน[19]มีส่วนในแผนนี้ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่พวกเขายึดเครื่องครัว ต่อสู้เพื่อออกจากโรงเรียน และยึดเกวียนบรรทุกอาวุธและชุดเกราะกลาดิอาตอร์หลายคัน[18] ทาสที่หลบหนีเอาชนะทหารที่ตามไปจัดการพวกเขา ปล้นทรัพย์ในภูมิภาครอบกาปูอา คัดเลือกทาสอีกหลายคนเข้าประจำตำแหน่ง และในที่สุดก็เดินทางไปยังตำแหน่งที่สามารถป้องกันได้มากขึ้นบนเขาวิซูเวียส[20][21]

เมื่อเป็นอิสระแล้ว เหล่ากลาดิอาตอร์ที่หลบหนีเลือกสปาร์ตากุสกับทาสชาวกอลสองคนชื่อกริซุสกับโอเอโนมาอุสเป็นหัวหน้า

สงครามทาสครั้งที่สาม แก้

สิ่งสืบทอด แก้

ตูแซ็ง ลูแวร์ตู ผู้นำกบฏทาสที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพของประเทศเฮติ ได้รับการเรียกขานเป็น "สปาร์ตากุสผิวดำ"[22][23]

อาดัม ไวช์เฮาพท์ (Adam Weishaupt) ผู้ก่อตั้งอิลลูมินาตีบาวาเรีย มักเรียกตนเองในจดหมายโต้ตอบเป็นสปาร์ตากุส[24]

อ้างอิง แก้

  1. Plutarch, Crassus, 11:4–7 เก็บถาวร 10 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  2. Historian Barry Strauss on His New Book The Spartacus War (Interview). Simon & Schuster. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-30.
  3. Voltaire (1821). "Oeuvres 53, vol. 9, Correspondance générale, 461-3, no. 283".
  4. Strauss 2009, p. 7 "We do not know if Spartacus wanted to abolish slavery, but if so, he aimed low. He and his men freed only gladiators, farmers, and shepherds. They avoided urban slaves, a softer and more elite group than rural workers. They rallied slaves to the cry not only of freedom but also to the themes of nationalism, religion, revenge, and riches. Another paradox: they might have been liberators but the rebels brought ruin. They devastated southern Italy in search of food and trouble."
  5. 5.0 5.1 "Conde Library: Spartacus' slave rebellion". Pymble Ladies College (ภาษาอังกฤษ).
  6. Shaw, Brent (2018). Spartacus and the Slave Wars: A Brief History with Documents. Boston: Bedford. p. 21. ISBN 9781319094829. It is critical to bear in mind that not one of these documents was written by a slave or a former slave... The most important written sources for any reconstruction of the Spartacus slave war are the accounts by the Roman historian Sallust, the Greek biographer Plutarch, and the Greek historian Appian. Of these three, the account by Sallust is usually deemed to be the most important, since he was closest to the events. Sallust was writing in the generation after the war. The other two writers, Plutarch and Appian, not only came from a different culture (Greek), but they also composed their accounts about two centuries after the events occurred...When reading their accounts, readers must remember that these are not eyewitness reports but much later reconstructions.
  7. "Plutarch, Crassus 8". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2020. สืบค้นเมื่อ 26 November 2006.
  8. Nic Fields (2009). Spartacus and the Slave War 73–71 BC: A Gladiator Rebels Against Rome. Osprey Publishing. p. 28. ISBN 978-1-84603-353-7.
  9. Appian, Civil Wars 1.116 เก็บถาวร 3 มิถุนายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  10. Florus, Epitome of Roman History 2.8.8
  11. Sallust (1994). The histories. Vol.2, Books iii–v. แปลโดย McGushin, Patrick. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0198721437.
  12. Annuaire de l'Université de Sofia, Faculté d'histoire, Volume 77, Issue 2, 1985, p. 122. 1985. สืบค้นเมื่อ 24 February 2013.
  13. Strauss 2009, p. 31
  14. John Boardman; I. E. S. Edwards, N. G. L. Hammond and E. Sollberger, บ.ก. (1982). The Cambridge Ancient History (PDF) (2nd ed.). Cambridge University Press. doi:10.1017/CHOL9780521224963. ISBN 978-0521224963.
  15. Strauss 2009, p. 13.
  16. Appian, Civil Wars, 1:116 เก็บถาวร 3 มิถุนายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน; Plutarch, Crassus, 8:2 เก็บถาวร 10 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Note: Spartacus's status as an auxilia is taken from the Loeb edition of Appian translated by Horace White, which states "...who had once served as a soldier with the Romans...". However, the translation by John Carter in the Penguin Classics version reads: "...who had once fought against the Romans and after being taken prisoner and sold...".
  17. Strauss 2009, p. 11
  18. 18.0 18.1 Plutarch, Crassus, 8:1–2 เก็บถาวร 10 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน; Appian, Civil Wars, 1:116 เก็บถาวร 3 มิถุนายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน; Livy, Periochae, 95:2 เก็บถาวร 7 พฤศจิกายน 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน; Florus, Epitome, 2.8. Plutarch claims 78 escaped, Livy claims 74, Appian "about seventy", and Florus says "thirty or rather more men". "Choppers and spits" is from Life of Crassus.
  19. อย่างไรก็ตาม กิแกโร (Ad Atticum VI, ii, 8) รายงานว่า ในช่วงแรกผู้ติดตามของเขามีน้อยกว่า 50 คน
  20. Plutarch, Crassus, 9:1 เก็บถาวร 10 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
  21. Appian, Civil Wars, 1:116 เก็บถาวร 3 มิถุนายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน; Florus, Epitome, 2.8.
  22. Thomson, Ian (31 January 2004). "The black Spartacus". The Guardian. Patrick Leigh Fermor hailed L'Ouverture as the "black Spartacus" after the slave who challenged Rome...
  23. Diken, Bulent (2012). Revolt, Revolution, Critique: The Paradox of Society. Routledge. p. 61. ISBN 978-1134005642. ...like the 'black Spartacus' Toussaint–Louverture, the leader of the insurgent black slaves who escaped from plantations and defeated the Napoleonic forces in Haiti in 1796–1804, or like the 'Spartacist' leaders of the communist revolt in Germany in 1919.
  24. Douglas Reed (1978). The controversy of Zion. Dolphin Press. p. 139. ISBN 9780620041331.

บรรณานุกรม แก้

นักเขียนสมัยคลาสสิก แก้

  • Appian. Civil Wars. Translated by J. Carter. (Harmondsworth: Penguin Books, 1996)
  • Florus. Epitome of Roman History. (London: W. Heinemann, 1947)
  • Orosius. The Seven Books of History Against the Pagans. Translated by Roy J. Deferrari. (Washington, DC: Catholic University of America Press, 1964).
  • Plutarch. Fall of the Roman Republic. Translated by R. Warner. (London: Penguin Books, 1972), with special emphasis placed on "The Life of Crassus" and "The Life of Pompey".
  • Sallust. Conspiracy of Catiline and the War of Jugurtha. (London: Constable, 1924)

ประวัติศาสตร์นิพนธ์สมัยใหม่ แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้