มาร์กาเร็ตแห่งยอร์ก ดัชเชสแห่งบูร์กอญ
มาร์กาเร็ตแห่งยอร์ก (อังกฤษ: Margaret Of York) หรือ มารกาเร็ต แพลนทาเจเนต (อังกฤษ: Margaret Plantagenet)[1] เป็นธิดาของริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์กกับเซซิลี เนวิลล์ พี่น้องชายสองคนของเธอได้ครองบัลลังก์อังกฤษในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ยอร์ก คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และพระเจ้าริชาร์ดที่ 3
มาร์กาเร็ตแห่งยอร์ก ดัชเชสแห่งบูร์กอญ | |
---|---|
ภาพมาร์กาเร็ตแห่งยอร์ก วาดโดยจิตรกรนิรนาม ปี ค.ศ. 1468 (พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส) | |
เกิด | 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1446 ปราสาทฟอเธอริงกาย นอร์แทมป์ตันเชอร์ ปะเทศอังกฤษ |
เสียชีวิต | 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1503 (57 ปี) เมเคอเลิน แฟลนเดอส์ |
ตำแหน่ง | ดัชเชสคู่สมรสแห่งบูร์กอญ |
วาระ | 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1468 – 5 มกราคม ค.ศ. 1477 |
คู่สมรส | ชาร์ลผู้อาจหาญ |
บิดามารดา | [[ริชาร์ด แพลนแทเจเนต ดยุกที่ 3 แห่งยอร์ก
]] เซซิลี เนวิลล์ ดัชเชสแห่งยอร์ก |
วัยเยาว์
แก้มาร์กาเร็ตแห่งยอร์กเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1446 ที่ปราสาทฟอเธอริงกายในนอร์แทมป์ตันเชอร์ บิดาของเธอคือริชาร์ด แพลนทาเจเนต ดยุคที่ 3 แห่งยอร์กกับเซซิลี เนวิลล์ พี่น้องของเธอ ได้แก่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ, จอร์จ ดยุคแห่งแคลเรนสซ์, พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ, เอ็ดมันด์ เอิร์ลแห่งรัตลันด์, เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ และเอลิซาเบธ เด ลา โปล ภรรยาของจอห์น เด ลา โปล ดยุคแห่งซัฟฟอล์ก
มาร์กาเร็ตเป็นตัวหมากที่เป็นประโยชน์สำหรับครอบครัว เมื่อเธอมีอายุได้ 8 ปี ครอบครัวได้เจรจาตกลงเรื่องการสมรสระหว่างเธอหรือไม่ก็พี่น้องหญิงคนใดคนหนึ่งของเธอกับชาร์ลผู้อาจหาญ เคานต์แห่งชาโรแล แต่การเจรจาดังกล่าวล้มเหลว ต่อมาชาร์ลในปี ค.ศ. 1454 ได้สมรสกับอิซาเบลแห่งบูร์บง ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนเป็นบุตรสาวชื่อมารี ทว่าในปี ค.ศ. 1465 อิซาเบลได้เสียชีวิต ในขณะที่ชาร์ลยังคงต้องการบุตรชาย
การสมรส
แก้ในตอนที่อิซาเบลเสียชีวิต มาร์กาเร็ตมีอายุ 19 ปีและยังไม่ได้สมรส ครอบครัวของเธอมีอำนาจมากกว่าที่เคยมีเมื่อครั้งที่เธอยังอยู่ในวัยเยาว์ เมื่อพี่ชายของเธอกลายเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ หลังภรรยาเสียชีวิตได้ไม่นานชาร์ลส่งทูตมาอังกฤษเพื่อขอสมรสกับมาร์กาเร็ต ทว่าการเจรจาดังกล่าวถูกลากยาวออกไป ความยุ่งยากเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศสพยายามใช้อำนาจที่มีทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายข้อตกลงสมรส เพื่อไม่ให้อังกฤษและบูร์กอญกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์ ความล่าช้าทำให้มีข้อเสนอขอสมรสอื่นยื่นถึงมาร์กาเร็ตและในปี ค.ศ. 1466 มาร์กาเร็ตได้หมั้นหมายกับเปโดร องครักษ์แห่งโปรตุเกส ทว่าเขากลับเสียชีวิตในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1466 ก่อนที่การสมรสจะเกิดขึ้น
ปี ค.ศ. 1467 ฟีลิปผู้ดีงามได้ถึงแก่กรรม ชาร์ลผู้อาจหาญสืบทอดตำแหน่งเป็นดยุคแห่งบูร์กอญต่อจากบิดา พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ต้องการการสนับสนุนจากชาร์ลมาช่วยรับมือกับปัญหาภายในประเทศเมื่อริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคได้วางแผนกับชาวฝรั่งเศสต่อต้านพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด เพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนจากชาร์ล ข้อตกลงสมรสระหว่างชาร์ลกับมาร์กาเร็ตจึงถูกทำขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1467 และได้รับการลงนามในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1468
พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ยังคงเดินหน้าขัดขวางการสมรสต่อไป ทว่าในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1468 มาร์กาเร็ตได้ออกเดินทางจากอังกฤษและไปถึงสเลิสในแฟลนเดอส์ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1467 มาร์กาเร็ตได้พบกับชาร์ลครั้งแรกในวันที่ 27 มิถุนายน และทั้งคู่สมรสกันในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1468
หลังการสมรสชาร์ลออกเดินทางไปบรูช มาร์กาเร็ตตามไปถึงในภายหลังโดยมีการจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับเธออย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลาเก้าวัน หลังงานเฉลิมฉลองมาร์กาเร็ตเดินทางไปแฟลนเดอส์, บราบันต์ และแอโนพร้อมกับมารี ธิดาเลี้ยง
ดัชเชสแห่งบูร์กอญ
แก้มาร์กาเร็ตและชาร์ลใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามปีแรกของชีวิตสมรสด้วยกัน แต่ทั้งคู่ยังคงไร้ซึ่งบุตรธิดา ต่อมาชาร์ลหมกมุ่นกับการขยายดินแดนของบูร์กอญและออกไปทำศึกสงครามบ่อยครั้งจนแทบไม่ได้เจอหน้าภรรยา ตลอดสามปีต่อมาทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว มาร์กาเร็ตใช้เวลาไปกับการเดินทางไปทั่วบูร์กอญในฐานะตัวแทนผู้รักษาผลประโยชน์ให้ชาร์ลและทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ยังคงวางตัวเป็นศัตรูกับบูร์กอญและต่อต้านการสมรสของชาร์ลและมาร์กาเร็ตอยู่เสมอ ทว่าในปี ค.ศ. 1474 ชาร์ลได้ทำสนธิสัญญาพักรบกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 และหันไปตั้งหน้าตั้งตากับการสู้รบในไรน์ลันท์ ปี ค.ศ. 1476 ชาร์ลไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนเนื่องถูกชาวฝรั่งเศสกีดกันด้านการค้าจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต ชาร์ลถูกมองเป็นทรราชย์ สร้างความไม่มั่นคงให้แก่ตำแหน่งดัชเชสของมาร์กาเร็ต
ปี ค.ศ. 1476 ชาร์ลได้สร้างพันธมิตรด้วยการจับมารี ธิดาของตนหมั้นหมายกับมัคซีมีลีอานแห่งฮาพส์บวร์ค แต่ก่อนที่การสมรสจะเกิดขึ้น ชาร์ลกลับเสียชีวิตในสนามรบนอกเมืองน็องซีในดัชชีลอแรนในเดือนมกราคม ค.ศ. 1477
ดัชเชสม่าย
แก้หลังชาร์ลเสียชีวิต แมรี ธิดาเลี้ยงของมาร์กาเร็ตได้สืบทอดตำแหน่งเป็นดัชเชสแห่งบูร์กอญต่อจากบิดา ข้อเสมอสมรสมากมายเริ่มหลั่งไหลเข้ามา แต่มาร์กาเร็ตได้แนะนำให้มารีสมรสกับมัคซีมีลีอานแห่งฮาพส์บวร์คตามความประสงค์ของบิดาของมารี ทั้งคู่สมรสกันในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1477 มารีได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อฟีลิปในปี ค.ศ. 1478 หลังจากนั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคือมาร์กาเร็ตแห่งออสเตรีย
ฝรั่งเศสที่เดินหน้าโจมตีบูร์กอญจากทุกทิศทุกทางอาศัยช่วงที่บูร์กอญขาดเสถียรภาพทำการพิชิตบูร์กอญ ถึงกระนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ก็ยังคงเล็งเห็นถึงความอันตรายของมาร์กาเร็ตและพยายามซื้อใจเธอด้วยการเสนอเบี้ยบำนาญจากฝรั่งเศสและสัญญาว่าจะให้การคุ้มกันเธอ แต่กลับถูกเธอปฏิเสธอย่างเหยียดหยัน
ปี ค.ศ. 1482 โศกนาฏกรรมถาโถมเข้าใส่มาร์กาเร็ตเมื่อมารีตกจากหลังม้าจนคอหัก อาการบาดเจ็บสาหัสทำให้เธอเสียชีวิตในวันที่ 27 มีนาคนของปีนั้น มาร์กาเร็ตต้องการเป็นผู้พิทักษ์บุตรของมารีแต่กลับถูกปฏิเสธ บูร์กอญภายใต้การครอบงำของฝรั่งเศสได้ยึดสิทธิ์ในการดูแลเด็ก ๆ และได้ลงนามในสนธิสัญญาอาร์ราสกับฝรั่งเศส มาร์กาเร็ตแห่งออสเตรีย หลานเลี้ยงของมาร์กาเร็ตถูกจับหมั้นหมายกับดูแฟ็งแห่งฝรั่งเศส เธอถูกส่งตัวไปเติบโตในราชสำนักฝรั่งเศส
มาร์กาเร็ตประสบกับโศกนาฏกรรมมากมายที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ปี ค.ศ. 1478 จอร์จ ดยุคแห่งแคลเรนซ์ พี่น้องชายของเธอถูกพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 พี่น้องชายของตนเองประหารชีวิต ตัวพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเองสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1483 และพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 น้องชายคนสุดท้องของครอบครัวก็สิ้นพระชนม์ในสนามรบในปี ค.ศ. 1485 ราชวงศ์ยอร์กไม่ได้ปกครองอังกฤษอีกต่อไป แต่มาร์กาเร็ตยังคงสร้างความวุ่นวายและคอยให้การสนับสนุนใครก็ตามที่เป็นปรปักษ์กับราชวงศ์แลงคัสเตอร์ต่อไป
ปี ค.ศ. 1493 มาร์กาเร็ตได้บูร์กอญกลับคืนมาและได้สานต่อภาระหน้าที่ในฐานะดัชเชสม่าย เธอได้อยู่เห็นการสมรสของหลานชายเลี้ยง ทั้งยังได้ดูแลลูก ๆ ของเขา
มาร์กาเร็ตแห่งยอร์กถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1503 ด้วยวัย 57 ปีที่เมเคอเลินในแฟลนเดอส์