ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แดโมกรีโตส"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Patcha007 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 17:
}}
 
'''เดโมคริตัส (Democritus)''' เป็นนักปรัชญาชาวกรีก ในราว 460 – 370 ปีก่อน ค.ศ.หรือ พ.ศ.83 – 173 ที่เมืองแอบเดรา (Abdera) ในแคว้นเธรส ( Thrace ) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของชายฝั่งทะเลอีเจียน เดโมคริตัส (Democritus) เป็นศิษย์ของผู้ก่อตั้งสำนักปรัชญาปรมาณูนิยม (The School Atomists ) ที่มีชื่อว่า ลีวซิพพุส (Leucippus) นักปรัชญาร่วมสมัยกับเขา คือ อาแนกซากอรัส (Anaxagoras) เดโมคริตัส (Democritus) ได้ใช้เวลาในการศึกษาโหราศาสตร์ในอียิปต์ เป็นเวลาถึง 7 ปี เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ไว้จำนวนมาก และเขาเป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีปรมาณู (The Atomic theory) และระบบจักรวาลวิทยา (System of Cosmology)
'''ดิมอคริตัส''' ({{lang-en|Democritus}}; {{lang-el|Δημόκριτος, Dēmokritos}}) (ราว 460 [[ก่อนคริสตกาล|ก่อน ค.ศ.]] – ราว 370 ก่อน ค.ศ.) เป็นนักปรัชญาชาวกรีก เขาเป็นสาวกผู้ทรงอิทธิพลของ[[โสกราตีส]] (Socrates) และเป็นศิษย์ของ[[ลูซิปปัส]] (Leucippus) ผู้ตั้ง[[ทฤษฎีอะตอม]]<ref name="Barnes87">[[#Barnes|Barnes]] (1987).</ref>
 
เดโมคริตัส (Democritus) เป็นนักปราชญ์รุ่นหลัง ของพีทากอรัส (Pythagoras) เขาเป็นผู้ที่ไขความลับเกี่ยวกับทางช้างเผือก (Milky Way) ว่าเป็นดาวจำนวนมากที่อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น โดยใช้หลักทฤษฎีอะตอม มาอธิบาย เช่น การเคลื่อนไหวของอะตอมในอวกาศ ทำให้เห็นดวงจันทร์ เพราะอะตอมของดวงจันทร์ ได้เข้ามาสัมผัสในตาของเขา จึงทำให้เขาเห็นเช่นนั้น
 
'''เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ''' เขาเชื่อว่าสิ่งเดียวที่มีอยู่คือ อะตอมและช่องว่าง เพราะเขาไม่เชื่อในอะไร นอกจากสิ่งที่จับต้องได้ เขาจึงได้รับสมญาอีกอย่างว่า นักวัตถุนิยม ซึ่งเขาเชื่อว่า แม้แต่วิญญาณก็เกิดมาจากอะตอมวิญญาณ ที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายอะตอมนี้จะกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง และกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณดวงใหม่ ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ไม่มีวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ เดโมคริตัส (Democritus) เชื่อว่า วิญญาณมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมอง ถ้าสมองเสื่อม มนุษย์ก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ว่ารูปแบบใด
 
'''ทฤษฎีอะตอมของ เดโมคริตัส (Democritus)''' ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคปรัชญาธรรมชาติกรีกในเวลานั้น เขาเห็นด้วยเฮราครีตัส ว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติเลื่อนไหล เนื่องจากรูปแบบต่างๆเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไป แต่เบื้องหลังทุกอย่างที่เลื่อนไหลนั้น มีสิ่งที่เป็นนิรันดรและไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ อะตอม
 
เขากล่าวว่าปฐมธาตุไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่คือปรมาณู หรือ อะตอม ซึ่งเขาได้ความหมายของคำว่าปรมาณูไว้ว่า "ปรมาณูเป็นวัตถุที่มีขนาดเล็กที่สุดไม่สามารถจะแบ่งย่อยได้อีกแล้ว จึงหมายถึงของสิ่งเดียวกับ "อะตอมที่หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจตัดแบ่งออกไปได้อีก"
 
== อ้างอิง ==