ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
โยงไปหน้าที่มี |
||
บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Benito Mussolini and Adolf Hitler.jpg|thumb|right|200px|[[เบนิโต มุสโสลินี]]กับ[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] สองผู้นำเผด็จการในทวีปยุโรปก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง]]
'''สาเหตุ
== อุดมการณ์ ลัทธิ และปรัชญา ==
บรรทัด 10:
[[ไฟล์:Hammer and sickle.svg|thumb|right|125px|สัญลักษณ์[[ค้อนเคียว]]ของคอมมิวนิสต์]]
[[พรรคบอลเชวิค]] ซึ่งมีแนวคิดไม่ถือชาติและหัวรุนแรง [[การปฏิวัติเดือนตุลาคม|ก้าวขึ้นสู่อำนาจ]]ในรัสเซีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 ซึ่งหลังจากนั้น ได้มีความพยายามที่จะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งการปกครองที่คล้ายคลึงกันในบริเวณอื่นของโลก ซึ่งประสบความสำเร็จในฮังการีและบา
ในเยอรมนีและอิตาลี ความเฟื่องฟูของฟาสซิสต์เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองของประเทศเหล่านั้น ทั้งฟาสซิสต์ในอิตาลีและเยอรมนีต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในปฏิกิริยาตอบโต้การจลาจลของคอมมิวนิสต์และพวก[[สังคมนิยม]] กลุ่มเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายขวาและพวก[[ทุนนิยม]] เนื่องจากว่าเป็นขบวนการซึ่งทั้งสองต่างก็อาศัยชนชั้นแรงงานและแยกพวกเขาออกจาก[[ลัทธิ
=== แผนการเอาใจเยอรมนีของพันธมิตรตะวันตก ===
บรรทัด 18:
''ดูเพิ่มที่ [[การเอาใจฮิตเลอร์]]''
[[สหราชอาณาจักร]]และ[[ฝรั่งเศส]]นั้นได้ดำเนินแผนการของตนเพื่อเอาใจฝ่ายเยอรมนีในตอนปลายทศวรรษ 1930 ภายใต้แผนการการเอาใจฮิตเลอร์ เยอรมนีนั้นได้รับข้อเสนอว่าตนจะสามารถขยายพื้นที่ของตนไปทางทิศตะวันออกได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้
=== การล่าอาณานิคมใหม่ ===
{{บทความหลัก|
[[ไฟล์:Japanese Empire2.png|thumb|right|200px|การขยายตัวของ[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]]]
การล่าอาณานิคม คือ หลักการการผนวกดินแดนหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้กำลังทหารเข้าช่วย ใน[[อิตาลี]] [[เบนิโต มุสโสลินี]]นั้นมีความต้องการที่จะสร้าง[[จักรวรรดิโรมันใหม่]]ขึ้น
ทางด้านเยอรมนี หลังจากสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนให้แก่[[ลิทัวเนีย]] [[ฝรั่งเศส]] [[โปแลนด์]] และ[[เดนมาร์ก]] โดยดินแดนที่เสียไปที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ [[ฉนวนโปแลนด์]] [[นครเสรีดานซิก]] [[ไคลเปดา|แคว้นมาเมล]] (รวมกับ[[ลิทัวเนีย]]) [[มณฑลโปเซน]] และแคว้น[[
ผลของการสูญเสียดินแดนดังกล่าวก่อให้เกิดความขมขื่นแก่ชาวเยอรมัน และมีความสัมพันธ์อันเลวร้ายกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้การปกครองของ[[พรรคนาซี]] เยอรมนีก็เริ่มต้นการแสวงหาดินแดนเพิ่มเติม ตั้งใจที่จะฟื้นฟูดินแดนอันชอบธรรมของ[[จักรวรรดิเยอรมนี]] โดยที่สำคัญก็คือ แคว้นไรน์แลนด์และฉนวนโปแลนด์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่สงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเอาใจของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ฮิตเลอร์มั่นใจได้ว่าสงครามกับโปแลนด์จะราบรื่นไปด้วยดี และถึงแม้จะแย่กว่านั้น ก็เพียงแค่เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรเท่านั้น
บรรทัด 38:
[[ฮังการี]] ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกฉีกออกไปเป็นดินแดนจำนวนมหาศาล หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรตัดแบ่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเดิม แต่ว่าฮังการียังคงต้องการที่จะคงความเป็นมิตรต่อกันกับเยอรมนี โดยในช่วงนี้แนวคิด[[ฮังการีอันยิ่งใหญ่]] กำลังได้รับความสนับสนุนในหมู่ชาวฮังการี
[[โรมาเนีย]] ซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นผู้ชนะสงคราม กลับรู้สึกว่าตนจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ในช่วงต้นของ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] จากผลของ[[สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ]] ทำให้โรมาเนียต้องสูญเสียดินแดนทางทิศเหนือให้แก่สหภาพโซเวียต [[
[[บัลแกเรีย]] ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้สูญเสียดินแดนให้แก่[[กรีซ]] [[โรมาเนีย]]และ[[ยูโกสลาเวีย]] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและใน[[สงครามคาบสมุทรบอลข่านครั้งที่สอง]]
บรรทัด 44:
[[ฟินแลนด์]] ซึ่งสูญเสียดินแดนให้แก่สหภาพโซเวียตในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ([[สงครามฤดูหนาว]]) ดังนั้นเมื่อเยอรมนีโจมตีสหภาพโซเวียตในปี 1941 ฟินแลนด์จึงเข้าร่วมกับเยอรมนี ด้วยหวังว่าตนจะได้รับดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมดกลับคืนมา
ในทวีป[[เอเชีย]] [[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]นั้นมีความต้องการที่จะยึดครองดินแดนเพิ่มเติม เนื่องจากว่าภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ญี่ปุ่นได้รับดินแดนเพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่าจะได้รับอาณานิคมเดิมของเยอรมนีใน[[จีน]] และหมู่เกาะอีกจำนวนหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วก็ตาม รวมไปถึงป่าสน[[ไซบีเรีย]] และเมืองท่าของรัสเซีย [[
และ[[ประเทศไทย]] ซึ่งเสียดินแดนกว่าครึ่งประเทศให้แก่ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีความต้องการทวงดินแดนคืนเช่นกัน
บรรทัด 55:
ฟาสซิสต์ คือ แนวคิดทางการเมืองที่รัฐบาลจะมีการออกกฎข้อบังคับและการควบคุมทางเศรษฐกิจของประเทศ มีความแข็งแกร่ง และรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ประชาชนไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับประเทศอย่างเด็ดขาด ปกครองโดยผู้เผด็จการ และมีแนวคิดเกี่ยวกับ[[ชาตินิยม]]อย่างแรงกล้า ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง หลายประเทศในทวีปยุโรปอยู่ภายใต้การปกครองด้วยฟาสซิสต์ ซึ่งสรุปแนวทางการปกครองได้ว่า การปกครองที่ดีคือการควบคุมประชาชนและอุตสาหกรรมของประเทศ
ฟาสซิสต์ได้มองกองทัพว่าเป็นสัญลักษณ์ของปวงชน ซึ่งประชาชนควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หลายประเทศฟาสซิสต์จึงมีนักการทหารเป็นจำนวนมาก และการให้ความสำคัญแก่วีรบุรุษนี่เองที่เป็นอุดมคติของฟาสซิสต์ ในหนังสือ ''The Doctrine of Fascism'' ซึ่งเขียนโดยเบนิโต มุสโสลินี เขาประกาศว่า "ฟาสซิสต์ไม่ได้มีความเชื่อในความเป็นไปได้และประโยชน์
=== ลัทธิโดดเดี่ยว ===
บรรทัด 63:
[[สหรัฐอเมริกา]]ได้มีแนวคิดที่จะโดดเดี่ยวทางการเมืองกับประเทศภายนอกช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในซีกโลกตะวันตกและ[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]เท่านั้น สหรัฐอเมริกาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทวีปยุโรป แต่ว่ายังคงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แนบแน่น
ความรู้สึกของประชาชนในอังกฤษและฝรั่งเศสก็มีแนวคิดที่จะโดดเดี่ยวเช่นกัน และเบื่อหน่ายสงคราม นายเนวิล
=== ลัทธินิยมทหาร ===
บรรทัด 89:
สนธิสัญญาแวร์ซายถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูว่าเป็นมลทินของสงคราม เพราะเป็นการโยนความผิดให้แก่[[จักรวรรดิเยอรมนี]]และ[[จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี]]เดิม และลงโทษอย่างหนักเพื่อเรียกร้องให้พวกเขารับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม โดยผู้ชนะสงครามได้หวังว่าสนธิสัญญานี้จะได้กลายเป็นสิ่งที่สามารถธำรงสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกได้ ผลที่ตามมมา คือ เยอรมนีจำเป็นต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาล การสูญเสียดินแดนอาณานิคมทั้งหมด การจัดระเบียบทางเชื้อชาติขนานใหญ่ หลังจากนั้น เศรษฐกิจเยอรมันก็ร่วงดิ่งลงไปอย่างหนัก อัตราเงินเฟ้อสูงลิบ [[สาธารณรัฐไวมาร์]]จำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรกว่าล้านล้านฉบับออกมาและต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้หนี้แก่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สนธิสัญญาแวร์วายนั้นก่อให้เกิดความขมขื่นแก่ประชาชนผู้แพ้สงคราม แม้ว่าฝ่ายพันธมิจตรผู้ชนะสงครามจะให้สัญญาแก่ประชาชนชาวเยอรมันว่าแนวทาง [[หลักการสิบสี่ข้อ]] ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา [[วูดโรว์ วิลสัน]] จะเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพ ชาวเยอรมันส่วนมากเข้าใจว่ารัฐบาลเยอรมันได้ตกลงในสนธิสัญญาสงบศึกตามความเข้าใจนี้ ขณะที่ส่วนอื่นได้เข้าใจว่า [[การปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1918–1919|การปฏิวัติเยอรมนี]] ได้ถูกก่อขึ้นโดย "กลุ่มอาชญากรเดือนพฤศจิกายน" ผู้ซึ่งต่อมาในมีตำแหน่งในสภาของสาธารณรัฐไวมาร์ วิลสันนั้นไม่สามารถเชิญชวนให้ฝ่ายพันธมิตรยอมปฏิบัติตามข้อเสนอของเขา และไม่สามารถชักจูงให้[[รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา]]ให้ลงมติยอมเข้าร่วมกับ[[สันนิบาตชาติ]]
ฝ่ายพันธมิตรมิได้ครอบครองส่วน
ยังมีผู้ที่มองสนธิสัญญาแวร์ซายตรงกันข้ามว่าสนธิสัญญาดังกล่าวไม่ได้ทำให้เยอรมนีต้องประสบกับความยากลำบากมากแต่ประการใด เพราะว่าเยอรมนียังคงสามารถกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจที่คอยท้าทายมหาอำนาจตะวันตกอีกครั้ง ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของฝ่ายพันธมิตร อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้ผลของสนธิสัญญาแวร์ซายไม่กระจ่างชัด โดยเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด คือ การแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ และสนธิสัญญาแวร์ซายก็เป็นหนึ่งในตัวการของการขึ้นสู่อำนาจของ[[พรรคนาซี]]
บรรทัด 101:
นอกจากทรัพยากรถ่านหินและเหล็กในปริมาณน้อยนิด ญี่ปุ่นนับได้ว่าเป็นประเทศที่ขาดแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ญี่ปุ่นในสมัยนั้น เป็นเพียงประเทศเดียวในทวีปเอเชียซึ่งมีความเจิรญทางด้านอุตสาหกรรมจนทัดเทียมประเทศตะวันตก เกรงว่าตนจะขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อเตรียมการทำสงครามกับสหภาพโซเวียต ญี่ปุ่นนั้นได้วางเป้าหมายโดยการเสาะแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มเติม ญี่ปุ่นบุกครอง[[แมนจูเรีย]] ในปี [[ค.ศ. 1931]] เพื่อนำวัตถุดิบไปป้อนให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมของตนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พวกชาตินิยมจีนทางตอนใต้ของแมนจูเรียได้พยายามขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกไป สงครามครั้งนี้กินเวลาไปสามเดือนและสามารถผลักดันกองทัพจีนลงมไปทางใต้ แต่ว่าเมื่อวัตถุดิบที่ได้รับในแคว้นแมนจูเรียก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นจึงวางแผนที่จะเสาะหาวัตถุดิบเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ทรัพยากรน้ำมัน
เพื่อที่จะเยียวยาความเสียหายดังกล่าวและเพื่อเป็นการรักษาแหล่งทรัพยากรน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติ
=== สันนิบาตชาติ ===
บรรทัด 107:
{{บทความหลัก|สันนิบาตชาติ}}
สันนิบาตชาติ คือ องค์การระหว่างประเทศซึ่งจัดตั้งขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพื่อป้องกันสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แนวทางปฏิบัติของสันนิบาตชาติ คือ [[การจำกัดอาวุธ]] โดยใช้หลักการ [[ความมั่นคงส่วนรวม]] การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดย[[การเจรจา]]ทาง[[การทูต]]และพัฒนา[[คุณภาพชีวิต]]ของประชากรโลก ปรัชญาทางการทูตของสันนิบาตชาติได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของรากเหง้าทางความคิดกว่า 100 ปีก่อนหน้านี้ ปรัชญาเก่า ได้เริ่มขึ้นจาก [[
สันนิบาตชาติมีกำลังทหารไม่เพียงพอ ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจของสมาชิกสันนิบาตชาติ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจซึ่งทางสันนิบาตสั่งให้ทำ หรือเพิ่มเติมกำลังทหารให้แก่สันนิบาต ซึ่งส่วนใหญ่สมาชิกไม่เต็มใจที่จะทำ
บรรทัด 117:
{{บทความหลัก|ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่}}
สืบเนื่องมาจาก[[ตลาด
=== สงครามกลางเมืองยุโรป ===
บรรทัด 135:
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเริ่มต้นขึ้นในสมัยของ[[จักรพรรดินโปเลียนที่ 3]] ซึ่งพระองค์ได้รับรู้ถึงภัยคุกคามที่มาจากเยอรมนีและต่อมาได้ประกาศสงคราม ช่วงเวลาดังกล่าวได้ทำให้ฝรั่งเศสอ่อนแอลงมาก และมีผลจนกระทั่งศตวรรษที่ 20
ชัยชนะของสงครามเป็นของปรัสเซียอย่างท้วมท้น และทำให้เกิด [[การรวมชาติ
=== สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ===
บรรทัด 159:
[[ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่]]ได้ทำให้เกิดอัตราว่างงานกว่า 33% ในเยอรมนี และอีก 25% ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ประชาชนให้ความสนับสนุนแก่การปกครองแบบ[[เผด็จการ]] เพื่อต้องการการงานที่มั่นคงและอาหารที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ทำลายเศรษฐกิจเยอรมนีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ชาวเยอรมันผู้ตกงานได้สนับสนุนแนวคิดของพรรคนาซี ซึ่งเคยเสียความน่าเชื่อถือไปบ้าง เนื่องจากมีสมาชิกของพรรคที่ไม่แน่นอน เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนี และเป็นเชื้อไฟของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจธนาคารได้เข้าไปลงทุนเพื่อที่จะสร้างทวีปยุโรปขึ้นมาใหม่ แต่หลังจาก [[เหตุการณ์ตลาด
=== ลัทธิเผด็จการนาซี ===
บรรทัด 165:
{{บทความหลัก|เกลอิชซชาลทุง|นาซีเยอรมนี|พรรคนาซี}}
[[ฮิตเลอร์]]ได้รับตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรีเยอรมนี]]เมื่อวันที่ [[30 มกราคม]] [[ค.ศ. 1933]] เขาได้ใช้[[
หลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคนาซีได้ล้มล้าง[[ระบบรัฐสภา]] รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ และล้มล้างรัฐสภาอย่างเต็มรูปแบบผ่าน[[รัฐบัญญัติมอบอำนาจ]] เมื่อวันที่ [[23 มีนาคม]] ซึ่งพรรคนาซีวางแผน [[เกลอิชซชาลทุง]] และทำให้ถูกต้องตามกฎหมายในเยอรมนี ทำให้อำนาจการปกครองถูกรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ พรรคนาซี ใน "[[คืน
ต่อมา ฮิตเลอร์ได้ฝ่าฝืนสนธิสัญญาแวร์ซายและ[[สนธิสัญญาโลคาร์โน]] เยอรมนีได้[[การส่งทหารกลับเข้าประจำการในแคว้นไรน์แลนด์|ส่งทหารกลับเข้าประจำการในแคว้นไรน์แลนด์]] เมื่อวันที่ [[7 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1936]] ซึ่งก็ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม กองทหารเยอรมันเดินทางโดยรถจักรยาน และสามารถถูกยับยั้งอย่างง่ายดายถ้าหากฝ่ายสัมพันธมิตรยกเลิกแผนการเอาใจฮิตเลอร์ ฝรั่งเศสไม่สามารถทำอะไรได้ในเวลานั้น เนื่องจากขาดเสถียรภาพทางการเมือง และอีกประการหนึ่ง คือ การส่งทหารกลับเข้าประจำการนั้นเกิดขึ้นในวันสุดสัปดาห์ และรัฐบาลอังกฤษยังไม่สามารถประชุมหารือกันได้จนกว่าจะถึงวันจันทร์ ผลที่ตามมา คือ อังกฤษก็มิได้ห้ามปรามเยอรมนีแต่อย่างใด
บรรทัด 175:
{{บทความหลัก|สงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง}}
เบนิโต มุสโสลินีได้พยายามขยายอาณาเขตของจักรวรรดิอิตาลีใน[[ทวีปแอฟริกา]]ด้วยการบุกครอง[[เอธิโอเปีย]] ซึ่สามารถดำรงเอกราชได้จากชาติยุโรปผู้แสวงหาอาณานิคม
สงครามดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าฝ่ายอิตาลีจะมีกำลังคนและอาวุธที่ดีกว่า (รวมไปถึง [[ก๊าซมัสตาร์ด]]) เมื่อวันที่ [[31 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1936]] กองทัพอิตาลีได้รับชัยชนะเด็ดขาดในสงครามที่ [[ยุทธการเมย์ชิว]]
เมื่อวันที่ [[30 มิถุนายน]] 1936 จักรพรรดิ
=== สงครามกลางเมืองสเปน ===
บรรทัด 185:
{{บทความหลัก|สงครามกลางเมืองสเปน}}
เยอรมนีและอิตาลีได้ให้ความช่วยเหลือแก่[[พวกชาตินิยม]]สเปน นำโดยนายพล[[ฟรานซิสโก ฟรังโก]] ทางด้านสหภาพโซเวียตเองก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาลแห่ง[[สาธารณรัฐสเปนที่ 2|สาธารณรัฐสเปน]]ซึ่งรัฐบาลโซเวียตเห็นว่ารัฐบาลสเปนมีแนวคิดเอียงซ้าย ทั้งสองฝ่ายได้นำยุทโธปกรณ์และยุทธวิธีใหม่ออกมาใช้ในการทำสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การทิ้งระเบิดทางอากาศ
=== สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ===
บรรทัด 207:
{{บทความหลัก|ข้อตกลงมิวนิก}}
[[
ฮิตเลอร์ได้กดดันให้แคว้นซูเดเตแลนด์รวมเข้ากับนาซีเยอรมนี และยังได้สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวเยอรมันในพื้นที่ ตามข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเช็คข่มเหงและทำร้ายชาวเยอรมัน ทำให้กลุ่มชาตินิยมโอนเอียงไปทางนาซีเยอรมนี หลังจากฮิตเลอร์ผนวกออสเตรียแล้ว พรรคการเมืองเยอรมันทุกพรรค (ยกเว้นพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งเยอรมนี) รวมเข้ากับ [[พรรค
ใน[[ข้อตกลงมิวนิก]] ซึ่งได้ลงนามกันเมื่อวันที่ [[30 กันยายน]] [[ค.ศ. 1938]] นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร นาย[[เนวิล
เมื่อถึงเดือนมีนาคม [[ค.ศ. 1939]] เยอรมนีได้ฉีกข้อตกลงมิวนิก และบุกกรุง[[ปราก]] และสโลวาเกียประกาศเอกราช ประเทศเชโกสโลวาเกียล่มสลาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยุตินโยบายเอาใจฮิตเลอร์ของอังกฤษและฝรั่งเศส และปล่อยให้เยอรมนีมีอำนาจในทวีปยุโรป
บรรทัด 219:
{{บทความหลัก|การบุกครองแอลเบเนียของอิตาลี}}
หลังจากเยอรมนียึดครองเชโกสโลวาเกียได้สำเร็จ อิตาลีมองเห็นว่าตนอาจจะเป็นสมาชิกที่สองของฝ่ายอักษะ [[กรุงโรม]]ได้ยื่นคำขาดแก่กรุง[[ติรานา]] เมื่อวันที่ [[25 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1939]] โดยต้องการให้อิตาลียึดครองแอลเบเนีย [[พระเจ้า
=== สงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น ===
{{บทความหลัก|ยุทธการ
ในปี 1939 กองทัพญี่ปุ่นโจมตีจากทางเหนือของ[[แมนจูกัว]]เข้าสู่เขต[[ไซบีเรีย]] ซึ่งถูกตีแตกกลับมาโดยกองทัพโซเวียตภายใต้การนำของนายพล[[เกออร์กี จูคอฟ]] หลังจากการรบครั้งนี้ สหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นก็เป็นมิตรกันเรื่อยมาจนกระทั่งปี 1945 ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแผนการของตนโดยหาทางขยายอาณาเขตของตนลงไปทางใต้ และนำไปสู่ความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาบนแผ่นดินฟิลิปปินส์ และแนวเส้นทางเดินเรือของ[[หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์]] ส่วนทางด้านสหภาพโซเวียตก็ได้มุ่งเป้าไปทางทิศตะวันตก และคงทหารแดงไว้ประมาณ 1,000,000-1,500,000 นายเพื่อรักษาแนวชายแดนที่ติดกับญี่ปุ่น
|