เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
{{ต้องการอ้างอิง}}{{Infobox military person|name=อูโก คาวาเยโรกาวัลเลโร |birth_date=20 กันยายน ค.ศ. 1880|death_date=13 กันยายน ค.ศ. 1943 (aged62 62ปี )|birth_place=[[Casale Monferratoกาซาเลมอนแฟร์ราโต ]], [[Piedmont (Italy)แคว้นปีเยมอนเต |Piedmontปีเยมอนเต ]], [[Kingdom of Italy (1861-1946)|อิตาลี]]|death_place=[[Frascatiฟรัสกาตี ]], [[แคว้นลัตซีโย|ลัตซีโย]], [[Kingdom of Italy (1861-1946)|อิตาลี]]|image=[[ไฟล์:Ugo Cavallero.jpg|200px]]|caption=|nickname=|allegiance={{flag|Kingdom of Italy}}|serviceyears=1900–1943|rank=[[จอมพลแห่งอิตาลี]]|branch={{army|Kingdom of Italy}}|commands=[[Chief of the Defence Staff (Italy)|หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการทหาร]]|unit=|battles=[[สงครามอิตาลี-ตุรกี]]<br>[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]<br>[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]|awards=[[กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็ก]]|laterwork=}}
'''อูโก คาวาเยโรกาวัลเลโร ''' ({{Lang-it|Ugo Cavallero}}; 20 กันยายน ค.ศ. 1880 – 13 กันยายน ค.ศ. 1943) เป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพอิตาลีในช่วงก่อนและระหว่าง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์[[กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็ก]]ของ[[นาซีเยอรมนี]]
==ชีวประวัติ==
กาวัลเลโร เกิดใน in Casale Monferrato,กาซาเลมอนแฟร์ราโต [[แคว้นปีเยมอนเต]] คาวาเยโรในวัยเด็กนั้นมีสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกของขุนนางอิตาลี ภายหลังจากเข้าศึกษาโรงเรียนทหาร คาวาเยกาวัลเล โรได้รับยศตำแหน่งเป็นร้อยตรีที่สองในปี ค.ศ. 1900 คาวาเยกาวัลเล โรได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยในเวลาต่อมาและจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1911 ได้รับปริญญาในสาขาคณิตศาสตร์ ในขณะที่ยังอยู่ในกองทัพ คาวาเยกาวัลเล โรได้เข้าสู้รบใน[[ลิเบีย]]ในปี ค.ศ. 1913 ในช่วงระหว่าง[[สงครามอิตาลี-ตุรกี]]และได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากความกล้าหาญของทหาร
==สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง==
ในปี ค.ศ. 1915 คาวาเยกาวัลเล โรได้ถูกย้ายไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี จากผู้จัดระเบียบและยุทธวิธีที่ดีเยี่ยม คาวาเยกาวัลเล โรได้กลายเป็นนายพลจัตตวาและหัวหน้าสำนักงานปฏิบัติการของกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1918 ด้วยความสามารถนี้ คาวาเยกาวัลเล โรได้มีส่วนช่วยในการวางแผนที่นำไปสู่ชัยชนะของอิตาลีที่ Piave และ Vittorio Veneto ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] ในช่วงเวลาที่เขาเป็นหัวหน้าวางแผนของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการทหารอิตาลี เขาได้สร้างความเป็นปรปักษ์กับ[[ปีเอโตร บาโดลโย]] ที่ดำรงตำแหน่งเป็น Sottocapo di Stato Maggiore(รองหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ)ของกองทัพ
==ระหว่างสงคราม==
คาวาเยกาวัลเล โรได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1919 แต่เวลาต่อมาได้กลับเข้ามาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1925 ซึ่งในช่วงเวลานั้น เขาได้กลายเป็นรัฐมนตรีผู้ช่วยว่าการกระทรวงสงครามของ[[เบนิโต มุสโสลินี]] ด้วยความมุ่งมั่นของลัทธิฟาสซิสต์ คาวาเยกาวัลเล โรได้ทำหน้าที่เป็นวุฒิสภาในปี ค.ศ. 1926 และในปี ค.ศ. 1927 ได้กลายเป็นพลตรี หลังจากนั้นก็ได้ลาออกจากกองทัพเป็นครั้งที่สอง คาวาเยกาวัลเล โรได้มีส่วนร่วมในธุรกิจและวิสาหกิจการฑูตตลอดในช่วงปลายปี ค.ศ. 1920 และช่วงต้นปี ค.ศ. 1930
คาวาเยกาวัลเล โรได้กลับเข้ากองทัพเป็นครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1937 ได้รับตำแหน่งยศเป็นพลโท เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมของอิตาลีในแอฟริกาตะวันออกแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1938 และเป็นนายพลอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 1940
==สงครามโลกครั้งที่สอง==
[[File:Marshal Cavallero and Rommel.jpg|thumb|left|200px|คาวาเยโรกับกาวัลเลโรกับ [[แอร์วีน ร็อมเมิล]]]]
ภายหลังจากอิตาลีได้เข้าสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1940 คาวาเยกาวัลเล โรได้เข้ามาแทนที่จากปีเอโตร บาโดลโย ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการการป้องกัน ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ถูกส่งไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพอิตาลีที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ[[สงครามอิตาลี-กรีซ]]ที่ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่เขาได้จัดการในการหยุดยั้งการรุกของกรีซ คาวาเยกาวัลเล โรไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้จนถึงกับต้องจนมุมแต่เยอรมันก็ได้เข้ามาแทรกแซงไว้ได้ ในขณะเดียวกัน บทบาทของเขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการได้ถูกแต่งตั้งเพิ่มเติมโดยนายพล [[อัลเฟรโด กุซโซนี]]
ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอมพลเยอรมัน [[อัลแบร์ท เค็สเซิลริง]] เขาได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับจอมพล [[แอร์วีน ร็อมเมิล]] ซึ่งได้รุกเข้าสู่อียิปต์ ภายหลังจากความสำเร็จของเขาใน[[ยุทธการที่กาซาลา]]ซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ได้สนับสนุนแทนที่ในการวางแผนการบุกครองที่มอลตา อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของเขาได้ตกลงไป ภายใต้ความเป็นผู้นำของคาวาเยโรกาวัลเลโร กองทัพทหารอิตาลียังคงปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ดีนัก ถึงกระนั้นเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศเป็นจอมพลแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1942 ภายหลังจากการเลื่อนตำแหน่งยศแก่ร็อมเมิลเป็นจอมพล(ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันร็อมเมิลจากตำแหน่งยศที่สูงกว่าเขา)
{{โครงส่วน}}