ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เกาะนาแวสซา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Film-DekPakChong (คุย | ส่วนร่วม)
เขียนเล่น
เพิ่มเติมลิงก์อ้างอิงในบทความ
บรรทัด 1:
[[ไฟล์:NavassaISS14cropped.jpg|right|thumb|260px|เกาะนาแวสซา มุมมองจาก[[สถานีอวกาศนานาชาติ]]]]
{{langkho}}
'''เกาะนาแวสซา''' ({{lang-en|Navassa Island}}) หรือ '''ลานาวาซ''' ({{lang-fr|La Navase}}) เป็นเกาะร้างขนาดเล็กใน[[ทะเลแคริบเบียน]]อยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกาผ่าน[[องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ]] (US Fish and Wildlife Service)<ref name="U.S. Government Printing Office">{{cite web |title=GAO/OGC-98-5 - U.S. Insular Areas: Application of the U.S. Constitution |date=November 7, 1997 |url=http://www.gpo.gov/fdsys/pkg/GAOREPORTS-OGC-98-5/content-detail.html |publisher=U.S. Government Printing Office |accessdate=March 23, 2013 |archiveurl=https://web.archive.org/web/20130927192012/http://www.gpo.gov/fdsys/pkg/GAOREPORTS-OGC-98-5/content-detail.html |archivedate=September 27, 2013 }}</ref> นอกจากนั้น[[เฮติ]]ได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะแห่งนี้เช่นเดียวกัน
[[ไฟล์:NavassaEastCoastAerialUSGS.jpg|right|thumb|เกาะนาแวสซา]]
'''เกาะนาแวสซา''' ({{lang-en|Navassa Island}}) หรือ '''ลานาวาซ''' ({{lang-fr|La Navase}}) เป็นเกาะร้างขนาดเล็กใน[[ทะเลแคริบเบียน]]อยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกาผ่าน[[องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ]] (US Fish and Wildlife Service) นอกจากนั้น[[เฮติ]]ได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะแห่งนี้เช่นเดียวกัน
 
== ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศ ==
[[ไฟล์:NavassaEastCoastAerialUSGS.jpg|right|thumb|260px|เกาะนาแวสซา มีชายฝั่งหน้าผาหินสูงชันรอบเกาะ]]
เกาะนาแวสซามีขนาดประมาณ 2 ตารางไมล์ (5.2 ตารางกิโลเมตร) โดยเกาะตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ห่างจากฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่[[อ่าวกวนตานาโม]] ในคิวบาประมาณ 100 กิโลเมตรหรือ 90 ไมล์ทะเล ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสี่ของระยะทางจาก[[จาเมกา]]ไปยัง[[เฮติ]] โดยจุดที่สูงที่สุดสูงประมาณ 77 เมตรอยู่ห่างจากประภาคารนาแวสซาไอแลนด์ไลต์ (Navassa Island Light) ไปทางใต้ประมาณ 100 เมตร<ref name="LattaRimmer2010">{{cite book |author1= Steven Latta |author2=Christopher Rimmer |author3= Allan Keith |author4= James Wiley |author5= Herbert A. Raffaele, Kent McFarland, Eladio Fernandez |title=Birds of the Dominican Republic and Haiti|url=https://books.google.com/books?id=yBV06QyxYqsC&pg=PA9|date=23 April 2010|publisher=Princeton University Press|isbn=1-4008-3410-4|pages=9–}}</ref>
 
ลักษณะภูมิประเทศของเกาะนาแวสซาส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วย[[หินปูน]]และยอดของแนว[[ปะการัง]]ที่โผล่พ้นน้ำ โดยชายฝั่งของเกาะเป็นหน้าผาสูง 15 เมตร แต่บนเกาะเองก็มีทุ่งหญ้าที่ใหญ่พอที่จะให้ฝูง[[แพะ]]มาอาศัยอยู่ได้ นอกจากนี้บนเกาะยังมีต้นไม้ตระกูล[[มะเดื่อ]]และ[[กระบองเพชร]]ขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป โดยทั่วไปแล้วลักษณะภูมิประเทศและนิเวศวิทยาของเกาะนาแวสซาคล้ายคลึงกับ[[เกาะโมนา]] ซึ่งเป็นเกาะหินปูนขนาดเล็กอยู่ในช่องแคบโมนาที่ตั้งอยู่ระหว่าง[[เฮติ]]กับ[[สาธารณรัฐโดมินิกัน]] นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ของทั้งสองเกาะนี้ยังคล้ายคลึงกันมากอีกด้วย กล่าวคือ ทั้งสองเกาะเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกา เคยผ่านการทำเหมืองกัวโนมาแล้ว และปัจจุบันนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นเขตคุ้มครองธรรมชาติเหมือนกัน นอกจากชาวประมงเฮติและคนอื่น ๆ ที่มักแวะเวียนมาพักบนเกาะนี้ เกาะนาแวสซาไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แต่อย่างใด ดังนั้นบนเกาะจึงไม่มีท่าเรืออยู่เลย ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวของเกาะ คือ [[ปุ๋ยขี้นก]] (guano) ที่นิยมมาใช้ทำปุ๋ย กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ประกอบไปด้วยการประมงขนาดเล็กและการลากอวนเชิงพาณิชย์เท่านั้น
บรรทัด 11:
ในปี ค.ศ. 1504 [[คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส]] ซึ่งในขณะนั้นติดอยู่บนเกาะ[[จาเมกา]] ได้ส่งลูกเรือไปยัง[[เกาะฮิสปันโยลา]]เพื่อขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางพวกเขาพบเกาะขนาดเล็ก และเมื่อทำการสำรวจก็พบว่าไม่มีน้ำจืดบนเกาะเลย ดังนั้นลูกเรือจึงขนานนามให้เกาะว่า "นาบาซา" (Navaza) มาจากคำว่า "นาบา" ({{lang|es|''nava''}}) ซึ่งในภาษาสเปนแปลว่าที่ราบ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ หลังจากนั้นเกาะแห่งนี้ก็ถูกหลีกเลี่ยงโดยชาวเรือต่อมาอีกกว่า 350 ปี
 
แม้ว่าทางการเฮติจะได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะแห่งนี้มาก่อนแล้ว แต่เกาะนาแวสซาก็ถูกสหรัฐอเมริกาอ้างสิทธิ์ในปี ค.ศ. 1857 โดยปีเตอร์ ดังกัน (Peter Duncan) กัปตันเดินเรือชาวอเมริกัน และกลายเป็นเกาะแห่งที่สามที่ถูกสหรัฐอเมริกาอเมริกาเข้าครอบครองภายใต้[[รัฐบัญญัติกลุ่มเกาะปุ๋ยขี้นก]] (Guano Islands Act) ที่ถูกประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1856 โดยสาเหตุที่อเมริกาเข้าครอบครองเกาะแห่งนี้ก็เป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของปุ๋ยขี้นกนั่นเอง หลังจากนั้นสหรัฐอเมริกาก็ขุดปุ๋ยขี้นกไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1898 แม้ว่าเฮติจะคัดค้านการผนวกดินแดนของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ แต่สหรัฐอเมริกาก็ปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ของเฮติมาตลอด และในปี ค.ศ. 1857 ก็ครอบครองเกาะแห่งนี้ในฐานะดินแดนที่ถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ถูกรวมเข้ากับรัฐใดรัฐหนึ่ง และไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นคอยปกครอง (unincorporated unorganized territory)<ref name="U.S. Government Printing Office"/>
 
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปุ๋ยขี้นกฟอสเฟตเป็นเป็นปุ๋ยที่การเกษตรของอเมริกาใช้เป็นหลัก ดังกันได้โอนย้ายกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้ค้นพบไปยังนายจ้าง ซึ่งเป็นพ่อค้าปุ๋ยขี้นกชาวอเมริกันในจาเมกา ซึ่งได้ขายต่อให้กับบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งนามว่า บริษัทฟอสเฟตนาแวสซา (Navassa Phospate Company) ใน[[บอลทิมอร์]] ภายหลัง[[สงครามกลางเมืองอเมริกา]] บริษัทได้สร้างเหมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งประกอบไปด้วยค่ายสำหรับจุคนงานผิวดำจาก[[รัฐแมริแลนด์]]จำนวน 140 คน บ้านสำหรับหัวหน้างานผิวขาว ร้านช่างเหล็ก คลัง และโบสถ์ 1 หลัง<ref name="poop">{{cite web|author=Brennen Jensen|date=March 21, 2001|title=Poop Dreams|accessdate=November 16, 2012|work=Baltimore City Paper|url=http://www.webster.edu/~corbetre/haiti/misctopic/navassa/poop.htm|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121025151226/http://www2.webster.edu/~corbetre/haiti/misctopic/navassa/poop.htm|archivedate=October 25, 2012}}</ref> การทำเหมืองเริ่มขึนในปี ค.ศ. 1865 โดยคนงานจะขุดปุ๋ยขี้นกโดยใช้ระเบิดและพลั่วเจาะ (pickaxe) จากนั้นจะลำเลียงโดยรถรางไปยังอ่าวลูลู (Lulu) เพื่อลำเลียงปุ๋ยขี้นกลงเรือของบริษัทนามว่า เอสเอส โรแมนซ์ (SS Romance) ต่อไป โดยบริเวณที่พักอาศัยในอ่าวลูลูถูกเรียกว่า ลูลูทาวน์ ซึงเป็นเมืองที่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ในสมัยนั้น ต่อมาได้มีการขยายรางให้เข้าไปในเกาะมากยิ่งขึ้น
 
เนื่องจากการขนส่งปุ๋ยขี้นกเป็นงานที่ใช้แรงคนเพียงอย่างเดียว และยังเป็นการทำงานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ร้อนจัด ประกอบกับสภาวะแวดล้อมโดยทั่วไปของเกาะก็ไม่อำนวยต่อการอยู่อาศัย ทำให้ในที่สุดคนงานได้ก่อการจลาจลบนเกาะในปี ค.ศ. 1889 ส่งผลให้มีหัวหน้างานเสียชีวิตไป 5 คน ภายหลังการจลาจลเรือรบของสหรัฐอเมริกาได้ขนส่งคนงาน 18 คนกลับไปยังบอลทิมอร์เพื่อขึ้นศาลในข้อหาฆาตกรรมใน 3 คดี โดยสมาคมลับชาวผิวดำนามว่า The Order of Galilean Fisherman ได้ระดมทุนเพื่อช่วยเหลือคนงานในการต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยแก้ต่างว่าคนงานได้กระทำลงไปเพื่อเป็นการป้องกันตนเองหรือเกิดจากการบันดาลโทสะ และยังได้โต้แย้งว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีอำนาจตุลาการที่เหมาะสมในการตัดสินคดีความใด ๆ ที่เกิดขึ้นบนเกาะ<ref name='SOTUNI'>https://www.gutenberg.org/cache/epub/5030/pg5030.txt</ref><ref name='NIIncident'>{{cite web|author=John Pike|title=Navassa Island Incident 1889-1891|accessdate=November 16, 2012|publisher=GlobalSecurity.org|url=http://www.globalsecurity.org/military/ops/navassa-island.htm|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121102214107/http://www.globalsecurity.org/military/ops/navassa-island.htm|archivedate=November 2, 2012}}</ref> ท้ายที่สุดแล้วคดีก็ได้ไปถึงชั้นศาลสูงสุดในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1890 ซึ่งศาลมีคำตัดสินว่ารัฐบัญญัติกลุ่มเกาะปุ๋ยขี้นกนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และให้ประหารชีวิตคนงานเหมือง 3 คนในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1891 ภายหลังการตัดสินของศาล ได้มีการยื่นฎีกาโดยโบสถ์ชาวผิวดำทั่วประเทศและลูกขุนผิวขาวสามคนจากทั้งสามคดี ไปยังประธานาธิบดี[[เบนจามิน แฮร์ริสัน]] ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงคำตัดสินให้เหลือเพียงการจำคุกในที่สุด
 
หลังจากนั้นก็ได้มีการทำเหมืองปุ๋ยขี้นกบนเกาะนาแวสซาอีกครั้ง แต่ในขนาดที่เล็กลงมาก สงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1898 ส่งผลให้บริษัทต้องอพยพคนออกจากเกาะและเข้าสู่ภาวะล้มละลายในที่สุด เจ้าของใหม่ของเกาะตัดสินใจที่จะคืนเกาะให้กลับคืนสู่ธรรมชาติในปี ค.ศ. 1901
 
เกาะนาแวสซากลับมามีความสำคัญอีกครั้งภายหลังการเปิดคลองปานามาในปี ค.ศ. 1904 ซึ่งส่งผลให้การเดินเรือระหว่างชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกากับคลองปานามาต้องผ่านช่องแคบเวสต์เวิร์ด (Westward Passage) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคิวบากับเฮติ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีประภาคารบนเกาะนาแวสซาแวสซา ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการเดินเรือผ่านช่องแคบแห่งนี้ ในที่สุดสำนักงานประภาคารแห่งสหรัฐ (US Lighthouse Service) ก็ได้สร้างประภาคารนาแวสซาไอแลนด์ไลต์ สูง 162 ฟุต (46 เมตร) ขึ้นบนเกาะในปี ค.ศ. 1917 ที่ระดับความสูง 395 ฟุตหรือ 120 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยมีผู้ดูแลและผู้ช่วยสองคนคอยทำหน้าที่ดูแลรักษาอยู่บนเกาะ จนกระทั่งได้มีการติตตั้งอุปกรณ์อัตโนมัติให้กับประภาคารในปี ค.ศ. 1929 จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีผู้ดูแลประภาคารคอยประจำอยู่บนเกาะ และภายหลังจากที่สำนักงานประภาคารถูกยุบรวมเข้ากับหน่วยป้องกันชายฝั่งแห่งสหรัฐ (US Coast Guard) หน่วยป้องกันชายฝั่งจึงกลายเป็นหน่วยงานที่คอยดูแลซ่อมแซมประภาคารแห่งนี้ โดยมีการตรวจสภาพปีละสองครั้ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งหน่วยสังเกตการณ์บนเกาะ และหลังจากสิ้นสุดสงคราม กองทัพเรือได้ถอนกำลังออกไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่มีผู้อาศัยอยู่บนเกาะ ในปี ค.ศ. 1930 ได้มีการสำรวจทางวิทยาศาสตร์โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อศึกษาชีวิตบนเกาะและในทะเลโดยรอบ
 
ในช่วงปี ค.ศ. 1903 ถึง 1917 เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนที่ขึ้นอยู่กับฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาในอ่าวกวนตานาโม และในช่วง ค.ศ. 1917 ถึง ค.ศ. 1996 เกาะได้ถูกโอนมาให้หน่วยป้องกันชายฝั่งเป็นผู้ดูแล ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 1996 เกาะได้รับการดูแลโดยกระทรวงกิจการภายในของสหรัฐอเมริกา โดยในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1996 หน่วยป้องกันชายฝั่งได้รื้อประภาคารออกเพื่อโอนการดูแลไปยังกระทรวงกิจการภายใน<ref name=InteriorNI>{{cite web|url=https://www.doi.gov/oia/islands/navassa| title=Navassa Island| publisher=U.S. Department of the Interior| location=Washington, D.C.| accessdate=March 3, 2018| archiveurl=https://web.archive.org/web/20160815201647/https://www.doi.gov/oia/islands/navassa| archivedate=August 15, 2016}}</ref>
 
ภายหลังจากการสำรวจทางวิทยาศาสตร์โดยศูนย์อนุรักษ์ทางทะเล (Center of Marine Conservation) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เกาะนาแวสซาได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลแคริบเบียน ส่งผลให้ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1999 องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐได้เข้าควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้<ref name="USGS">{{cite web|author=US Geological Survey (August 2000)|publisher=US Geological Survey|title=Navassa Island: A Photographic Tour (1998–1999) |access-date=November 18, 2012|url=http://coastal.er.usgs.gov/navassa|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121119101317/http://coastal.er.usgs.gov/navassa/|archivedate=November 19, 2012}}</ref><ref name=InteriorNI/> และได้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ในที่สุด
 
== อ้างอิง ==
* Fabio Spadi (2001), ''[http://www.dur.ac.uk/ibru/publications/view/?id=195 Navassa: Legal Nightmares in a Biological Heaven?]'', ''Boundary & Security Bulletin''
 
 
{{รายการอ้างอิง}}
 
{{รายชื่อรัฐของสหรัฐอเมริกา}}
{{อเมริกาเหนือ}}
{{Authority control|VIAF=239204097|LCCN=no/2015/117635}}
 
[[หมวดหมู่:เกาะในทะเลแคริบเบียน]]
[[หมวดหมู่:สหรัฐอเมริกา]]