ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฮิโรโอะ โอโนดะ"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
เปลี่ยนแปลงคำผิด |
แก้ไข |
||
บรรทัด 43:
ซุซุกิจึงกลับญี่ปุ่นพร้อมภาพถ่ายเขาคู่กับโอะโนะดะเพื่อยืนยันว่าได้พบกัน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงส่งพันตรีทะนิงุชิ (Taniguchi) ผู้บังคับบัญชาของโอะโนะดะ ลงพื้นที่ พันตรีทะนิงุชิถึงเกาะลูบัง และพบโอะโนะดะในวันที่ 9 มีนาคม 1974 เขาแจ้งเรื่องการพ่ายสงครามของญี่ปุ่นให้โอะโนะดะทราบ และสั่งให้โอะโนะดะวางอาวุธเสีย
หลังจากหลบซ่อนตัวในป่ามาเกือบสามสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โอะโนะดะได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ให้มอบตัว เขาได้แต่งเครื่องแบบ พร้อมดาบคู่กาย กับทั้งปืน[[อริซะกะ]][[Type 99 rifle|ไรเฟิลชนิด 99]] ซึ่งยังใช้การได้ดี บรรจุกระสุนห้าร้อยนัด
แม้ในระหว่างอยู่บนเกาะ เขาได้ฆ่าราษฎรฟิลิปปินส์ไปสามสิบคน และประมือกับตำรวจท้องถิ่นอีกหลายครั้ง แต่เมื่อพิเคราะห์แล้ว ประธานาธิบดี[[
== ชีวิตต่อมา ==
บรรทัด 53:
ในเดือนเมษายน 1975 เขาละญี่ปุ่นไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ในบราซิล เขาแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นชื่อ มะชิเอะ (Machie) ในปีถัดมา ครั้นปี 1980 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ฆ่าบิดามารดาตนเอง เขาตัดสินใจกลับประเทศแม่ในอีกสี่ปีถัดมา แล้วจัดค่ายทางการศึกษาสำหรับเยาวชน เรียก "โรงเรียนธรรมชาติของโอะโนะดะ" (Onoda Shizen Juku) ต่อมา เขาได้เป็นผู้นำชุมชนด้วย<ref>{{cite book | last = Mercado | first = Stephen C. | authorlink = | coauthors = | title = The Shadow Warriors of Nakano | publisher = Brassey's | date = 2003 | location = | pages = 246–247 | url = | doi = | id = | isbn = 1574885383}}</ref>
ในปี 1996 โอะโนะดะเยือนเกาะลูบังอีกครั้ง เขาอุทิศเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์
แต่ละปี เขาจะเดินทางกลับไปใช้ชีวิตสามเดือนในบราซิล เขายังได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซันโตส-ดูมอนต์" (Santos-Dumont) จากกองทัพอากาศบราซิลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 ด้วย<ref>{{cite web | last = | first = | authorlink = | coauthors = | title = Combatente da II Guerra ganha medalha da FAB | work = | publisher = Brazilian Air Force
|