ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การค้าประเวณี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Love Krittaya (คุย | ส่วนร่วม)
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ย้ายไป
บรรทัด 84:
 
เมื่อไม่อาจกำจัดหญิงนครโสเภณีโดยวิธีเด็ดขาดดังกล่าวแล้ว หลายประเทศจึงหันมาให้วิธีประนีประนอมหรือปราบปรามด้วยอุบาย เช่น เอาผิดแก่ผู้มีการกระทำอันเป็นโสเภณี ชายแมงดา หรือผู้ชักจูงหญิงมาเป็นโสเภณี ในขณะเดียวกันก็ให้การศึกษาเรื่อง[[เพศสัมพันธ์]]แก่ประชาชน หาทางลดความรู้สึกทางเพศให้แก่ประชาชนด้วยการส่งเสริมให้เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เป็นต้น
 
=== สังคมไทย ===
 
[[ไฟล์:Soi Cowboy night.jpg|ค่ำคืนวันที่ [[17 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2547|2547]] ใน[[ซอยคาวบอย]] [[กรุงเทพมหานคร]] ซึ่งเป็นที่ทราบทั่วไปว่ามีการลักลอบค้าประเวณี เช่นเดียวกับในย่าน[[นานาพลาซ่า]]และ[[พัฒน์พงษ์]]|220px|left|thumb]]
 
โดยเหตุที่[[การค้าประเวณี]]นำมาซึ่งความเสื่อมเสียทางศีลธรรมและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานาดังกล่าว รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยได้พยายามแก้ปัญหานี้อยู่เสมอ แต่สภาพการณ์ก็ยังทรง ๆ ทรุด ๆ เรื่อยมา
 
นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการค้าประเวณีของไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้นในรัชสมัย[[รัชกาลที่ 5|พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์]] โดยพระองค์ได้ทรงตรา[[พระราชบัญญัติ]]ฉบับหนึ่ง ชื่อ [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2450/051/1365.PDF "พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127"] เหตุผลในการประกาศใช้มีว่า
 
''"...ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ทุกวันนี้หญิงบางจำพวกประพฤติตนอย่างที่เรียกว่าหญิงนครโสเภณี มีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งโรงหาเงินขึ้นหลายตำบล แต่ก่อนมาการตั้งโรงหญิงนครโสเภณี นายโรงช่วยไถ่หญิงมาเป็นทาสรับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วตั้งเป็นโรงขึ้น ครั้นต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาสเสียแล้ว หญิงบางจำพวกที่สมัครเข้าเป็นหญิงนครโสเภณีก็รับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วมีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งขึ้นในท้องที่โรงอันควรบ้างมิควรบ้าง กระทำให้มีเหตุเกิดการวิวาทขึ้นเนือง ๆ อีกประการหนึ่ง หญิงบางคนป่วยเป็นโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมได้ ก็มิได้มีแพทย์ตรวจตรารักษาโรคร้ายนั้น อาจจะติดเนื่องกันไปจนถึงเป็นอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตมนุษย์เป็นอันมาก และยังหาได้มีกฎหมายและข้อบังคับอย่างใดสำหรับจะป้องกันทุกข์โทษภัยแห่งประชาราษฎรทั้งหลายเหล่านี้ไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตืขึ้นไว้สืบไปดังนี้..."''
 
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค [[รัตนโกสินทรศก]] 127 มีว่า 1) หญิงนครโสเภณีให้เป็นได้แต่โดยใจสมัคร ใครจะบังคับผู้อื่นหรือล่อลวงมาให้เป็นหญิงนครโสเภณีมิได้เลย มีโทษตาม[http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2442/002/16.PDF พระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี รัตนโกสินทรศก 118] ซึ่งโทษนี้ปัจจุบันมีบัญญัติใน[http://www.krisdika.go.th/lawChar.jsp?head=3&item=3&process=showTitleOfLaw&id=4&group=&lawCode=ป06 ประมวลกฎหมายอาญา]แทนแล้ว 2) หญิงนครโสเภณีทุกคนต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อนจึงจะเป็นได้ และต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตราคาสิบสองบาท มีอายุสามเดือนต่อใบ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนับว่าสูงมากในสมัยนั้น แสดงเจตนารมณ์ในการป้องปรามการเป็นโสเภณีอยู่ในตัว 3) ผู้ตั้งโรงหญิงนครโสเภณีต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน และนายโรงก็เป็นได้แต่ผู้หญิง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการดูแลกันเอง 4) หญิงนครโสเภณีต้องไม่สร้างความรำคาญวุ่นวายแก่บุคคลภายนอก เช่น ฉุดลาก ยื้อแย้ง ล้อเลียน เป็นต้น 5) เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าไปในโรงหญิงนครโสเภณีทุกเมื่อ เพื่อนำตัวสมาชิกคนใดของโรงมาตรวจ ถ้าพบโรคก็ให้ส่งไปรักษาจนกว่าจะหาย แลอาจเพิกถอนหรือสักพักใช้ใบอนุญาตในคราวนั้นด้วยก็ได้
 
ต่อมาภายหลัง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] ได้เกิดมีแนวคิดที่จะปรับสภาพหญิงนครโสเภณีให้กลับเป็นคนดีของสังคม [[องค์การสหประชาชาติ]]ได้เรียกร้องให้มีการเลิกค้าประเวณีทั่วโลก โดยใน [[พ.ศ. 2492]] ได้มีการประชุมร่าง[[อนุสัญญา]]เพื่อการนี้ขึ้น ชื่อ "อนุสัญญาฉบับรวม" ({{lang-en|Consolidated Convention}}) มีเนื้อหาสาระเป็นการขจัดการค้าสตรีและการแสวงหาประโยชน์จากหญิงนครโสเภณี เพื่อเลิกการทำให้การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ตลอดจนส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพให้แก่หญิงนครโสเภณีเพื่อกลับเป็นคนดีของสังคมต่อไปด้วย ซึ่งเมื่อประกาศใช้แล้ว ไทยเองก็ได้เข้าร่วมเป็น[[รัฐภาคี]]แห่งอนุสัญญานี้
 
ตั้งแต่ [[พ.ศ. 2492]] เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามจัดตั้งสำนักโสเภณีเพิ่มขึ้นอีก และใน [[พ.ศ. 2498]] ก็ได้มีการห้ามจดทะเบียนโสเภณีเป็นเด็ดขาด ซึ่งรัฐเองก็มีนโยบายจัดการสงเคราะห์หญิงนครโสเภณีขึ้นด้วย ดำเนินการโดย[[กระทรวงมหาดไทย]] ครั้งนั้น รัฐบาลดำริจะจัดตั้ง[[นิคม]]โสเภณีขึ้นเพื่อการดังกล่าว แต่ขัดข้องด้าน[[งบประมาณ]] โครงการจึงระงับไว้จน [[พ.ศ. 2499]] รัฐบาลได้ร่าง "พระราชบัญญัติห้ามการค้าประเวณี" ขึ้น แต่ไม่สามารถนำเข้าสู่[[รัฐสภา]]ได้ ใน [[พ.ศ. 2503]] รัฐบาลจึงเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่แทน คือ ร่างพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาและประกาศใช้ตามลำดับ ปัจจุบันมีการประกาศใช้[http://www.krisdika.go.th/lawChar.jsp?head=3&item=3&process=showTitleOfLaw&id=2&group=ป&lawCode=ป13 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539] แทนที่แล้ว
 
นอกจากกฎหมายหลักข้างต้น ประมวลกฎหมายอาญายังให้ความคุ้มครองแก่หญิงและเอาโทษชายแมงดาซึ่งเป็น[[กาฝาก]]เกาะกินอยู่กับหญิงนครโสเภณี เช่น กำหนดโทษการเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กหญิง เพื่อการอนาจารหรือเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น และกำหนดโทษเอาผิดแก่ชายแมงดาที่ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงนครโสเภณีด้วย เป็นต้น
 
โทษที่กฎหมายวางไว้สำหรับความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณีนี้อยู่ในระดับสูงมาก เพื่อผดุงคุณธรรมของชาติ และให้ความคุ้มครองแก่กุลบุตรกุลธิดามิให้ตกไปในอบายมุข อย่างไรก็ดี การที่หญิงต้องกลายเป็นโสเภณีนั้นมิได้เกิดจากการล่อลวงหรือชักพาแต่อย่างเดียว แต่มีสาเหตุหลายประการดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและแก้ไขกันไปตราบชั่วชีวิตของสังคม
 
== ลักษณะทางการหาเลี้ยงชีพ ==