ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Verboten Zeitung 1933.jpg|thumb|right|250px|ประกาศของตำรวจอันเป็นผลมาจากกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์สทัก]]
'''คำสั่งประธานาธิบดีไรซ์ไรช์ว่าด้วยการป้องกันประชาชนและรัฐ''' หรือรู้จักกันในชื่อ '''กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์สทัก''' ({{lang-de|Reichstagsbrandverordnung}}) เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารที่[[พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์กนเดนบูร์ก]] ประธานาธิบดีเยอรมนี ออกเพื่อตอบโต้[[เหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทัก]] เมื่อวันที่ [[27 กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 1933]] (พ.ศ. 2475) มีเนื้อหาสาระเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมืองเยอรมันอย่างมาก [[พรรคนาซี]]ยืมมือประธานาธิบดีออกคำสั่งดังกล่าวโดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภาที่พรรคครองอยู่ เพื่อจับกุมผู้ต่อต้านพรรคและระงับสิ่งตีพิมพ์ที่เห็นว่าเป็นภัยต่อตน นักประวัติศาสตร์มองว่าการออกคำสั่งฉบับนี้เป็นการเตรียมสร้างรัฐเผด็จการของพรรคนาซีในกาลอนาคต
 
'''คำสั่งประธานาธิบดีไรซ์ว่าด้วยการป้องกันประชาชนและรัฐ''' หรือรู้จักกันในชื่อ '''กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์สทัก''' ({{lang-de|Reichstagsbrandverordnung}}) เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารที่[[พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์ก]] ประธานาธิบดีเยอรมนี ออกเพื่อตอบโต้[[เหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทัก]] เมื่อวันที่ [[27 กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 1933]] (พ.ศ. 2475) มีเนื้อหาสาระเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมืองเยอรมันอย่างมาก [[พรรคนาซี]]ยืมมือประธานาธิบดีออกคำสั่งดังกล่าวโดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภาที่พรรคครองอยู่ เพื่อจับกุมผู้ต่อต้านพรรคและระงับสิ่งตีพิมพ์ที่เห็นว่าเป็นภัยต่อตน นักประวัติศาสตร์มองว่าการออกคำสั่งฉบับนี้เป็นการเตรียมสร้างรัฐเผด็จการของพรรคนาซีในกาลอนาคต
 
== ภูมิหลัง ==
ก่อนเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทักสี่สัปดาห์ [[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] แห่ง[[พรรคนาซี]]ได้รับเลือกให้เป็น[[นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี]] และได้รับเชิญจากประธานาธิบดีพอลให้เป็นผู้นำคณะรัฐบาลผสมเมื่อวันที่ [[30 มกราคม]] [[ค.ศ. 1933]] (พ.ศ. 2475) รัฐบาลของฮิตเลอร์ได้สนับสนุนให้ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์กสั่งนเดนบูร์กสั่ง[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร|ยุบสภา]]ไรช์สทัก และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ [[5 มีนาคม]] ปีเดียวกันนั้น
 
ต่อมาวันที่ [[27 กุมภาพันธ์]] หกวันก่อนหน้าการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป รัฐสภาไรช์สทักได้ถูกเกิดเพลิงไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุแม้จนบัดนี้ อดอล์ฟ แต่ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี จึงใช้เป็นเหตุสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยกล่าวหา[[คอมมิวนิสต์|ผู้นิยมคอมมิวนิสต์]]ว่าก่อความไม่สงบจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รัฐสภา ส่งผลให้พลเมืองเยอรมันหลายล้านคนเกิดความหวาดหวั่นต่อคอมมิสนิสต์ เนื่องจากทางการประกาศว่า
ก่อนเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทักสี่สัปดาห์ [[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] แห่ง[[พรรคนาซี]]ได้รับเลือกให้เป็น[[นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี]] และได้รับเชิญจากประธานาธิบดีพอลให้เป็นผู้นำคณะรัฐบาลผสมเมื่อวันที่ [[30 มกราคม]] [[ค.ศ. 1933]] (พ.ศ. 2475) รัฐบาลของฮิตเลอร์ได้สนับสนุนให้ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์กสั่ง[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร|ยุบสภา]]ไรช์สทัก และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ [[5 มีนาคม]] ปีเดียวกันนั้น
 
ต่อมาวันที่ [[27 กุมภาพันธ์]] หกวันก่อนหน้าการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา รัฐสภาไรช์สทักได้ถูกเพลิงไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุแม้จนบัดนี้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี จึงใช้เป็นเหตุสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยกล่าวหา[[คอมมิวนิสต์|ผู้นิยมคอมมิวนิสต์]]ว่าก่อความไม่สงบจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รัฐสภา ส่งผลให้พลเมืองเยอรมันหลายล้านคนเกิดความหวาดหวั่นต่อคอมมิสนิสต์ เนื่องจากทางการประกาศว่า
 
<blockquote>
"การวางเพลิงรัฐสภาไรช์สทักเป็นความมุ่งหมายที่จะส่งสัญญาณว่าจะเกิดการก่อการจลาจลนองเลือดและ[[สงครามกลางเมือง]] มีการวางแผนการปล้มสะดมอย่างกว้างขวางในกรุงเบอร์ลิน...มีการกำหนดให้มี...ตลอดทั่วเยอรมนีซึ่งการก่อการร้ายต่อบุคคลสำคัญ ต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล ต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชากรอันสงบเรียบร้อย และจะได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอยู่ทั่วไป..."</blockquote>
 
หลังจากเพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทักหนึ่งวัน [[เฮอร์มันน์แฮร์มันน์ เกอริง]]ได้อภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์ และมีการร่าง "คำสั่งประธานาธิบดีไรช์ว่าด้วยการป้องกันประชาชนและรัฐ" เสนอต่อคณะรัฐมนตรีแห่งไรช์ ซึ่งตัวฮิตเลอร์เองกล่าวว่า เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้นำไปสู่ "การเผชิญหน้ากับ[[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีเยอรมัน]]อย่างไม่ลดละ" จากนั้นไม่นาน พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์กนเดนบูร์ก ประธานาธิบดีผู้มีอายุวัย 84 ปีและมี[[ภาวะสมองเสื่อม]] ก็ลงนามในคำสั่งฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีแห่งเยอรมนีดำเนินมาตรการใด ๆ ในกรณีจำเป็นเพื่อป้องปัดภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ
 
คำสั่งฉบับดังกล่าวประกอบด้วยข้อความความ 6 ข้อ ข้อ 1 มีเนื้อหาสาระเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมืองที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ได้แก่ [[สิทธิพลเมือง]] [[เสรีภาพในการแสดงออก]] [[เสรีภาพของสื่อ]] [[เสรีภาพในการชุมนุม]]และการรวมกลุ่มสาธารณะ ตลอดจนจำกัดความคุ้มครองความลับในไปรษณียภัณฑ์และการติดต่อสื่อสาร รวมถึงสิทธิในการป้องกันทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ส่วนข้อ 2 และข้อ 3 เป็นการให้รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งหมดแทน ข้อ 4 และข้อ 5 เป็นการวางบทลงโทษสำหรับการละเมิดฝ่าฝืนคำสั่งนี้ เช่น [[โทษประหารชีวิต]]สำหรับ[[การลอบวางเพลิง]]อาคารสาธารณะ
 
== ผลของคำสั่ง ==
การออกคำสั่งดังกล่าวส่งผลให้เฮอร์มันน์แฮร์มันน์ เกอริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งแคว้นปรัสเซีย สามารถคุมกองกำลังตำรวจในแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีได้ และใช้กำลังนั้นปราบปรามจับกุมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีเยอรมัน ซึ่งพบปรากฏว่ามีผู้ถูกจับกุมมากถึงหนึ่งหมื่นคน
 
การออกคำสั่งดังกล่าวส่งผลให้เฮอร์มันน์ เกอริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งแคว้นปรัสเซีย สามารถคุมกองกำลังตำรวจในแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีได้ และใช้กำลังนั้นปราบปรามจับกุมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนี ซึ่งพบว่ามีผู้ถูกจับกุมมากถึงหนึ่งหมื่นคน
 
สามสัปดาห์ถัดมา พรรคนาซีได้ประกาศใช้[[รัฐบัญญัติมอบอำนาจ]] ซึ่งมีเนื้อหาสาระเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่พรรคนาซีมากขึ้น นำไปสู่การสร้างรัฐเผด็จการในอนาคตของพรรคนาซี