ผู้ใช้:นางสาวณัฐชยา ไสกาง/กระบะทราย
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
แก้ความหมายของรัฐศาสตร์
แก้รัฐศาสตร์ (Political Science) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ อันเป็นสาขาหนึ่งของวิชาสังคมศาสตร์ ที่กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐ ว่าด้วยทฤษฎีแห่งรัฐ การวิวัฒนาการ มีกำเนิดมาอย่างไร สถาบันทางการเมืองที่ทำหน้าที่ดำเนินการปกครองมีกลไกไปในทางใด การจัดองค์การต่างๆ ในทางปกครอง รูปแบบของรัฐบาล หรือสถาบันทางการเมืองที่ต้องออกกฎหมายและรักษาการณ์ให้เป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเอกชน (Individual) หรือกลุ่มชน (Group) กับรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อโลก ตลอดจนการแสวงหาอำนาจของกลุ่มการเมืองหรือภายในกลุ่มการเมือง หรือสถาบันการเมืองต่างๆ เพื่อการปกครองรัฐให้เป็นไปด้วยดีที่สุด จากความหมายดังกล่าว รัฐศาสตร์จึงมีความเกี่ยวพันกับสังคมศาสตร์ทุกสาขาวิชาอย่างแยกไม่ออก การที่เราจะศึกษาวิชารัฐศาสตร์จำเป็นต้องกำจัดขอบเขต โดยวิชารัฐศาสตร์จะมุ่งเน้นศึกษาเป็นพิเศษใน 3 หัวข้อ คือ
- รัฐ (State)
- สถาบันการเมือง (Political Institutions)
- ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy)
- รัฐ (State) เป็นหัวใจของวิชารัฐศาสตร์ เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาว่า รัฐคืออะไร ความหมายและองค์ประกอบของรัฐ กำเนิดของรัฐ และวิวัฒนาการของรัฐ และแนวคิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ
- สถาบันทางการเมือง (Political Institutions) หมายถึง องค์กรหรือหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการปกครองและดำเนินกิจการต่างๆ ของรัฐทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอาจจะก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมายของรัฐ หรืออาจก่อตั้งขึ้นโดยการร่วมใจกันของเอกชน หรือตามประเพณีก็ได้ สถาบันทางการเมืองมี สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐบาล พรรคการเมือง เป็นต้น
- ปรัชญาทางการเมือง (Political Philosophy) คือ ความคิดความเชื่อของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในยุคใดยุคหนึ่ง อันเป็นรากฐานของระบบการเมืองที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและความต้องการของตน หมายความรวมถึง อุดมการณ์หรือเป้าหมายที่จะเป็นแรงผลักดันในมนุษย์ปฏิบัติการต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ เช่น ผู้บริหารประเทศไทยมีปรัชญาทางการเมืองที่มุ่งในทางพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมและทางกสิกรรม กับปรารถนาให้ประชาชาติมีการกินดีอยู่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ (Objective or Ends) แต่การที่จะปฏิบัติ (Means) นั้นอาจจะใช้ระบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งก็เป็นวิถีทางที่อาจจะนำมาถึงจุดมุ่งหมายนั้นๆ ก็ได้[1]
ความสำคัญของวิชารัฐศาสตร์
แก้1.วิชารัฐศาสตร์มุ่งศึกษาเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจทางด้านรัฐศาสตร์และเข้าใจในเนื้อหาสาระของวิชานี้ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง การบริหารกิจการของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้เหตุผลตามแนวคิดนักคิดแต่ละท่านเพราะรัฐศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักการทางตรรกวิทยาปรัชญาและความรู้สาขาอื่นซึ่งสามารถนำไปใช้อธิบายและวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มในอนาคตได้
2.การศึกษารัฐศาสตร์เพื่อใช้เป็นวิชาเสริมในการทำความเข้าใจสาขาวิชาอื่น รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวพันกับสาขาอื่นทำให้รัฐศาสตร์ได้รับผลกระทบจากสาขาวิชาอื่นและในทางกลับกัน ศาสตร์ในสาขาอื่นก็ได้รับผลกระทบจากวิชารัฐศาสตร์เช่นเดียวกันฉะนั้นการศึกษาวิชารัฐศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา เพื่อเป็นรากฐานในการเสริมความเข้าใจให้มีลักษณะเป็นมิติที่กว้างขวาง
3.การศึกษาวิชารัฐศาสตร์เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคมซึ่งจะทำให้ประชาชนในสังคมสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตนได้อย่างสอดคล้องกับระบอบการปกครองและเข้าใจถึงสิทธิหน้าทีี่ที่ตนมีต่อรัฐและอำนาจหน้าที่ที่รัฐมีต่อประชาชนทุกคนเมื่อทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน การปกครองประเทศก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องไม่เกิดปัญา การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็วิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐหรือเอกชนทั้งภายในและภายนอก ประเทศไทยก็ต้องมีบุคคลากรที่มีความรู้ทางด้ารัฐศาสตร์ร่วมอยู่ด้วยเสมอ เพราะการปฏิบัติงานในปัจจุบันก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถในหลายวิชาประกอบกันฉะนั้นองค์กรทั้งหลายของรัฐและเอกชนจึงต้องการบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถในสาขาอื่นด้วย [2]
ขอบข่ายของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์
แก้รัฐศาสตร์ถือเป็นสาขาวิชาที่มีขอบข่ายความสนใจกว้างขวางมากความสนใจในประเด็นทางด้านการเมืองนั้นไม่เพียงเฉพาะการเมืองในรูปแบบเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการเมืองในมิติอื่นๆอีกด้วย ภายใต้ความสนใจที่กว้างขวาง สามารถสรุปขอบข่ายของวิชารัฐศาสตร์โดยแบ่งเป็นสาขาได้ดังนี้
1.สาขาปรัชญาการเมือง (political philosophy) อาจกล่าวได้ว่าปรัชญาการเมืองเป็นจุดกำเนิดและนำไปสูการพัฒนาการขององค์ความรู้ของรัฐศาสตร์ สาขาปรัชญาการเมื่องพิจารณาการเมืองในลักษณะที่ควรจะเป็น มากกว่าจะพิจารณาการเมืองตามที่ปรรากฎจริงหรือเป็นอยู่จริงสาขานี้จึงถูกมองว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์น้อยที่สุด
2.สาขาทฤษฎีการเมือง(political theory) สาขานี้มุ่งศึกษาหาข้อสรุปถึงปรากฎกาารณ์ทางการเมืองต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่การสร้างทฤษฎีเพื่อนำไปใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะใด ทฤษฎีนี้จะอธิบายการกำเนิดการดำรงอยู่และล่มสลายชองพรรคการเมืองว่าเป้นอย่างไร
3.สาขากฎหมายมหาชน (public Law) สาขานี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายที่กำหนดหรือวางระเบียบให้กับสถาบันการเมืองของรัฐ หรือกำหนดกฎเกณฑ์ จึงกล่าวได้ว่า สาขานี้เป็นสาขาที่เก่าแก่สาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์ เนื่องจากกฎหมายกับบัฐมีความเกี่ยวพันกันอย่างยาวนาน ดพราะรัฐทุกรัฐต่างบัญญัติกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดรัเบียบภายในรัฐและสัมพันธ์กับรัฐอื่นๆ
4.สาขาการเมืองการปกครอง(government) สาขานี้มุ่งสนใจศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทางการเมืองการปกครองต่างๆทั้งในสังคมที่มีรูแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยและรูปแบบอืื่น นอกจากนี้ยังศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางการเมือง ชนชั้นนำ ควบคู่กับการศึกษาในเรื่องของฝ่ายบริหาร ศึกษาพฤติกรรมของฝ่ายนิติบัญยัติตลอดจนในส่วนของประชาชนเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองและการออกเสียงเลือกตั้ง
5.สาขารัฐประศาสนศาสตร์ (public administration)สถาบันการศึกษาบางแห่เรียกสาขานี้ว่า การบริหารรัฐกิจ สาขานี้มุ่งศึกษาถึงองค์การของภาครัฐหรือระบบราชการ กระบวนการในการบริหารงานในระบบราชการกาารนำนโยบายที่รับมอบหมายจากรัฐบาลไปปฏิบัติ มุ่งเน้นให้ทราบถึงเกณฑ์ ระเบียบตลอดจนเทคนิค วิธีการต่างๆ ในการบริหารงานราชการให้มีประสิทธิภาพเและประสิทธิผล เพื่อให้การนำไปใช้ปฏิบัติบรรลุผลสำเร็จด้วยดี
6.สาขาการเมืองเปรียบเทียบ (comparative politics) เดิมสาขานี้เรียกชื่อว่า การปกครองเปรียบเทียบหรือรัฐบาลเปรียบเทียบ มุ่งศึกษาด้วยการเปรียบเทียบประเด็นปัยหาต่างๆในทางการเมืองการปกครองกับสังคมอื่นๆ เช่นเปรียบเทียบในประเด้นระหว่างรัฐบาล ระบอบประชาธิปไตยกับระรอบเผด็จการ การเปรียบเทียบมีประโยชน์ในแง่ของการมองเห็นถึงความเมือนและแตกต่าง ข้อดีและจุดบกพร่องของแต่ละสังคมเพื่อนำส่วนที่เป็นข้อดีมาปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องในสังคมของตนเองให้ดีขึ้นต่อไป
7.สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(International Relations) สาขานี้มุ่งศึกาาถึงพฤติกรรมของประเทศหรือรัฐต่างๆ ที่มีผลต่อประเทศหรือรัฐอื่นๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เช่น นโยบายต่างประเทศ การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น สาขานี้แต่เดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสาขาของรัฐศาสตร์แต่ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองตามมาในระยะเวลาไม่นานนักก็ได้รับความนิยมสนใจศึกษากันอย่างแพร่หลายและถือเป็นสาขาหนึ่งสาขาที่สำคัญของรัฐศาสตร์[3]
ความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์
แก้รัฐประศาสนศาสตร์ หมายึง การบริหารภาครัฐ การบริหารรัฐกิจ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการบริหารราชการโดยแต่ละคำมีความหมายเหมือนหรือคล้ายคลึงกันมากคำว่ารัฐประศาสนศาสตร์ยังหมายถึง วิชาความรู้ กิจกรรมหรือการบริหารของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ในทุกระดับ ทั้งในส่วนท้องถิ่น วิชาความรู้ กิจกรรมหรือการบริหารดังกล่าวนี้เกี่ยวกับงานหรือกิจการสาธารณะหรือการให้บริการสาธารณะ เนื่องจากคำว่า รัฐประศาสนศาสตร์ นั้น ส่วนหนึ่งหมายถึงการบริหารภาครัฐ ดังนั้น จึงควรให้ความหมายของคำว่า การบริหาร รวมทั้งเสนอ แนวทาง หรือ วิธีการ ให้ความหมายคำว่าการบริหารไว้ในที่นี้ด้วย การบริหาร หมายถึง การดำเนินงานหรือการจัดการใดของหน่วยงานของรีฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับ คน สิ่งของและหน่วยงาน โดยคลอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่นการบริหารนโยบาย การบริหารอำนาจหน้าที่ และการบริหารจริยธรรม เป็นต้น
ความสำคัญของรัฐประศาสนศาสตร์
แก้รัฐประศาสนศาสตร์มีความสำคัญและจำเป็นยิ่ง กล่าวคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(พ.ศ.2540) มาตรา70 ได้บัญญัติในหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชน บทบัญญัติในส่วนนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐประศาสนศาสตร๋์หรือการบริหารภาครัฐ แต่ในทางปฏิบัติกับปรากฎว่าการอำนวยความสะดวกให้บริการประชาชนของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางส่วนไม่อาจตอบสนองความต้องการของประชาชนและประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากแนวทางการบริหารของหน่วยงานภาครัฐหรืมีสาเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ได้ กล่าวคือ หนึ่ง หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนนำแนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารภาครัฐมาปรับใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือ สอง เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นกลไกลสำคัญของการบริหารขาดจิตสำนึก หรือขาดจิตวิญญาณในการปฏิบัติราชการ หรือในการบริการประชาชน หรือสาม แนวทางการบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาขาดความเหมาะสมในบางด้าน หรือบางส่วนมีความบกพร่องเมื่อนำมาปรับใช้ในยุคประชาธิปไตยที่สนับสนุนการกระจายอำนาจ ด้วยเหตุผลนี้ รัฐประศาสนศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะพิจารณาศึกษาเพื่อพัฒนาหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ปฏิบัตืงานไปในทิศทางที่อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น[4]
ขอบข่ายของวิชารัฐประศาสนศาสตร์
แก้1.วิทยาการจัดการ(management science) เป็นวิชาที่นำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์และแก้ปัญหาการวินิจฉัยสั่งการทางด้านการจัดการอย่างเป็นระบบรัฐประศาสนศาสตร์นำองค์ความรู้ของสาขานี้มาใช้ได้ โดยมีจุดมุ่งเน้นในด้านเทคนิคเชิงปริมาณสำหรับช่วยใการวินิจฉัยสั่งการและการวิเคราะห์ปัญหาทางด้านบริหารจัดการมุ่งให้ความสนใจไปที่การบริหารจัดการเกี่ยวกับปัจจัยมนุษย์มมากกว่าเทคนิคต่างๆ
2. พฤติกรรมองค์การ (Organizational Behavior) เป็นวิชาที่ศึกษาถึงโครงสร้าง กระบวนการ พฤติกรรม และสภาพแวดล้อมขององค์การโดยมีขอบเขตการศึกษาจากตัวแปรที่สำคัญๆ รวม 4 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งพฤติกรรมองค์การเป็นผลมาจากตัวแปรเหล่านี้ คือ
- ตัวแปรทางบุคคล เป็นการศึกษาพฤติกรรมองค์การโดยพิจารณาที่ตัวบุคคลหรือความสัมพันธ์ของบุคคลที่มีต่อองค์การ
- ตัวแปรทางด้านระบบสังคมขององค์การ เป็นการศึกษาพฤติกรรมองค์การโดยเน้นที่ปัจจัยที่เกี่ยวพันธ์กับกลุ่มในองค์การ
- ตัวแปรเกี่ยวกับองค์การรูปนัย เป็นการศึกษาพฤติกรรมองค์การจากตัวแปรย่อยต่างๆขององค์การรูปนัย เช่น ขนาดขององค์การ ช่องการควบคุมการชำนานเฉพาะอย่าง และการรวมอำนาจของการตัดสินใจในองค์การเป็นต้น
- ตัวแปรทางด้านสภาพแวดล้อม เป็นการศึกษาพฤติกรรมองค์การ โดยมององค์การเป็นระบบเปิดที่ได้รับอิทธิพลและมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม มีหน้าที่ในการสนองต่อความต้องการที่ขัดแย้งซึ่งกันและกัน
3. การบริหารเปรียบเทียบและการบริหารการพัฒนา (comparative and Development administration) การบริหารเปรียบเทียบมีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นคว้าระบบบริหาร ระบบนี้มีลักษณะคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันภายในช่วงเวลาหนึ่งๆเพื่อนำไปสู่การสร้างทฤษฎีหรือหลักเกณฑ์ของระบบบริหาร ความแตกต่างกันระหว่างประเทศต่างๆและความแตกต่างกันในพฤติกรรมของระบบบริหารในประเทศเหล่านั้นมีปัจจัยใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อความสำคัญในความสำเร็จ เพื่อนำไปสู่การสร้างประสิทธิผลให้เกิดกับระบบบริหารนั้นๆ
4. การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ (public Policy Analysis) การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ เป็นการประยุกต์ความรู้หรือข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพื่อให้เกดความเข้าใจในนโยบาย ผลกระทบหรืออธิบายสาเหตุที่มาแห่งนโยบายหนึ่งๆ โดยอาศัยเครื่องมือเทคนิคต่างๆ การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะไม่ได้มุ่งให้ความสนใจเฉพาะแต่เพียงตัวนโยบายเท่านั้น แต่ยังมุ่งศึกษาว่าผลจากการปฎิบัติตามนโยบายนั้นเป็นอย่างไร
5. ทางเลือกสาธารณะ (Public choic) ทางเลือกสาธารณะเป็นการศึกษาที่ครอบคุมเนื้อหา 3 ด้าน ดังต่อไปนี้
- ทางเลือกสาธารณะเป็นการศึกษาเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มผลประโยชน์ สาเหตุหรือแรงจูงใจที่ทำให้บุคคลเข้าไปร่วมกิจกรรมสาธารณะ
- ทางเลือกสาธารณะ เป็นการศึกษาเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมของหน่วยงานในการให้บริการสาธารณะ และผลกระทบที่มีต่อพฤติกรรมของบุคคล
- ทางเลือกสาธารณะ เป็นการศึกษาเพื่อแสวงหาวิธีการทางด้านการบริหารหรือโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการให้บริการสาธารณะ
การศึกษาทั้ง 3 ด้าน ต่างล้วนใช้กรอบในการศึกษาในแนวเดียวกันคือ นำหลักการหรือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีประยุกต์ใช้กับศาสตร์ทางการเมืองและการบริหาร
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
แก้แนวคิดทั่วไปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
แก้หากมองในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ทางด้านบ่อเกิดแห่งความรู้ กล่าวได้ว่า รัฐศาสตร์ก่อให้เกิดรัฐประศาสตร์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ารัฐศาสตร์เป็นวิชาแม่ของรัฐประศาสนศาสตร์ ขณะเดียวกันรัฐประศาสนศาสตร์มีสถานะเป็นสาขาวิชาย่อยสสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์ เพราะในอดีตที่ผ่านมาการศึกษาทางรัฐศาสตร์ได้มีการศึกษาที่ครอบคลุมถึงรัฐประศาสนศาสตร์มาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎีทางการเมืองที่ถือได้ว่าเป็นสาขาวิชาที่มีอิทธิพลกับแนวความคิดของการบริหารในยุคแรกๆซึ่งเป็นยุคที่รัฐประศาสนศาสตร์ยังไม่ได้เป็นศาสตร์ที่มีการศึกษากันในมหาวิทยาลัยดังที่มีผู้รู้ได้กล่าวว่า อะไรที่เพลโต (Plato) พูดเกี่ยวกับการเมืองสามารถนำไปใช้ได้ในเรื่องของการบริหารหรือ เมื่อ แมค เคียเวลลี่ (Machiavelli) พูดถึงเรื่อง รัฐ ก็จะย่อยนำมาปรับใช้กับการบริหารได้ ทั้งนี้รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ต่างมีความสัมพันธ์กันในแง่ของการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคมส่วนรวมเหมือนกัน
อิทธิพลของรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีต่อรัฐศาสตร์
แก้อิทธิพลของรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีต่อรัฐศาสตร์ กล่าวถึงในเรื่องทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีต่อรัฐศาสตร์หรือที่สามารถนำมาเป็นกรอบแนวคิดทฤษฎีที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์การเมืองและการบริหารได้ โดยทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ที่นำมากล่าวถึง ได้แก่ทฤษฎีระบบราชการของ แมคซ์ เวเบอร์ และแนวคิดในการแบ่งประเภทของระบบราชการของ เมอร์ล เฟนซอด แฟร์เรล เฮดี ที่แนวคิดในการแบ่งประเภทของระบบราชการของนักวิชาการ 2 ท่านนี้แบ่งตามความสัมพันธ์ที่ระบบราชการมีต่อระบบการเมือง ส่วนกรณีของเฟรด ดับเบิ้ลยู ริกส์ แนวคิดในการแบ่งประเภทของระบบราชการเป็นการแบ่งตามมิติของการเป็นทหาร/พลเรือน และมิติของการยึดเอาเอกราชเป็นอาชีพหรือมิใช่อาชีพ แนวคิดของนักวิชาการดังกล่าวสามารถนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดทฤษฎีในการอธิบายการเมืองและการบริหารของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ได้ [5]= [6] [7] [8] [9] [10] [11]
อ้างอิง
แก้- ↑ http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/political_science_and_politics/02.html
- ↑ ผศ.ดร.บูฆอรี ยีหมะ.(2554).ความรู้เบื้องต้นของรัฐศาสตร์.160 ม.4 ถ.กาญจนวนิช ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ;โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ↑ ผศ.ดร. จักษ์ พันธ์ชูเพชร.(2552).รัฐศาสตร์.486/19 หมู่ 6 ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000; บริษัท มายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด
- ↑ รศ.ดร. วิรัช วิรัชนิภาวรรณ.(2553).หลักรัฐประศาสนศาสตร์.บริษัท เอ็กเปอร์เน็ท จำกัด;ธรรมกมลการพิมพ์
- ↑ วรเดช จัทรศร.(2540).รัฐประศาสนศาสตร์:พิมพ์ครั้งที่6.กรุงเทพฯ:มูลนิธิ30ปี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
- ↑ จรูญ สุภาพ.(2518).ขอบข่ายรัฐศาสตร์.กรุงเทพ:ไทยวัฒนาพาณิชย์
- ↑ ทินพันธ์ นาคะตะ.(2546).รัฐศาสตร์:ทฤษฎี แนวความความคิด.พิมพืครั้งที่4.กรุงเทพ:สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า
- ↑ เกษม อุทนานิน.(2541).รัฐประศาสนศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร:ไทยวัฒนาพาณิชย์
- ↑ ไกรศรี นิมมานเหมินทร์.(2525).ขอบข่ายรัฐประศาสนศาสตจร์.กรุงเทพฯ:มิตรนราการพิม
- ↑ ชัยอนันต์ สมุทวณิช.(2518).ความสำคัญของรัฐศาสตร์.กรุงเทพ:อักษรเจริญทัศน์.
- ↑ ณรงค์ สินสวัสดิ์.(2523).รัฐศาสตน์ทั่วไป.กรุงเทพฯ:ไทยวัฒนาพาณิชย์