น้ำประปา
น้ำประปา หรือ น้ำก๊อก คือ น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำ เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นในปัจจุบัน น้ำประปาผลิตมาจากน้ำดิบ สูบเข้าไปยังถังพักตกตะกอน และผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อโรค จากนั้นจึงเพิ่มแรงดันและส่งไปยังท่อน้ำต่างๆในบ้านของผู้ใช้น้ำ
การก่อกำเนิดประปาในประเทศไทยแก้ไข
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง มีพระราชดำริว่า กรุงเทพฯ น่าจะมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและใช้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2440 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดสุขาภิบาลขึ้น และจัดตั้งกรมสุขาภิบาลด้วย และได้ว่าจ้างช่างผู้ชำนาญการประปาจากฝรั่งเศส ชื่อ นายเดอลาม โฮเตียร์ และ นายแวนเดอไฮเด มาวางแผนการผลิตน้ำประปาซึ่งเขาได้เสนอความคิดหลายแนวทาง เช่น ควรนำน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยามาทำน้ำประปา เพราะสะดวกและไม่ต้องลงทุนมาก ความคิดของทั้งสองคนนี้มีข้อขัดแย้งกันหลายอย่าง ต้องพิจารณากันกลายครั้ง ในที่สุด กระทรวงเกษตราธิการ ที่มีหน้าที่จัดการทดน้ำเพื่อการเพาะปลูก ก็เห็นชอบให้แมื่อน้ำจากแม่น้ำมาผลิต มีการผลิตน้ำสะอาดขึ้นแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียก Water Supply ว่า “ ปรฺปา “ จากคำภาษาสันสกฤต (หรือ ปฺปา ในภาษาบาลี)
ประวัติของการบัญญัติศัพท์คำว่า การประปา นั้น จริง ๆ เคยจำ พระนามผู้บัญญัติได้ แต่นึกไม่ออก สับสนอยู่ว่าเป็นพระองค์ในสองพระองค์(นี่คือข้อเสียของคนแก่ อะไรที่คิดว่าจำได้ แล้วดันไม่จดเอาไว้ พอถึงเวลาจะใช้ดันนึกไม่ออก) ได้พยายามค้นคว้าต่อตามที่สัญญาไว้ก้หาไม่เจอ พบแค่ว่าในยุคแรกก่อนที่จะบัญญัติคำว่าประปาขึ้นใช้ มีการใช้คำอยู ๒ คำ คือ
การหาน้ำบริโภค (วอเตอร์เวิร์ค) กับ การหาน้ำใช้ (วอร์เตอร์สับไปล(weter supply)) และค้นพบข้อความที่เกี่ยวข้องจาก "รายงานการประปาสำหรับกรุงเทพมหานคร ของเจ้าพระยายมราช กราบบังคมทูล พระกรุณา" กับอีกแห่งหนึ่ง ใน "ประกาศการสร้างประปา" ข้อความตรงกันว่า
" กิจการอย่างนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เรียกตามภาษาสันสกฤต เพื่อให้เป็นคำสั้นว่า "การประปา"
น้ำประปามี การเติม สารเคมี ที่เรียกว่า คลอรีน เพื่อฆ่า เชื้อโรค น้ำประปาสามารถนำมาอุปโภค บริโภคได้
ค่าน้ำประปาแก้ไข
อัตราค่าน้ำประปาในประเทศไทย ของการประปานครหลวง จะคำนวณตามหน่วยของน้ำที่ใช้ โดย 1 หน่วย = 1,000 ลิตร โดยแต่ละเดือน ตัวเลขในมาตรวัดน้ำจะถูกจด โดยเศษของหน่วยจะถูกตัดทิ้ง แต่จะสมทบไปในการคิดค่าน้ำเดือนถัดไป เช่น เดือนแรก ใช้ 2.7 หน่วย (2,700 ลิตร) ค่าน้ำเดือนแรกจะคิด 2 หน่วย อีก 0.7 หน่วย จะทดในเดือนถัดไป เช่นเดือนที่สอง ใช้ 2.5 หน่วย (2,500 ลิตร) ค่าน้ำจะคิด 2.5 + 0.7 = 3.2 หน่วย คิดค่าน้ำ 3 หน่วย อีก 0.2 ทดไปเดือนถัดไป เป็นต้น
- ค่าน้ำตามจำนวนหน่วยที่ใช้ ในส่วนนี้ จะแบ่งการคิดคำนวณออกเป็น 2 ส่วน คือ R1 สำหรับเคหสถานประเภทที่อยู่อาศัย และ R2 สำหรับเคหสถานประเภทธุรกิจ ราชการ รัฐวิสาหกิจ อุตสาหกรรม และอื่นๆ
หน่วยที่ | ค่าน้ำ R1 (บาท/หน่วย) | ค่าน้ำ R2 (บาท/หน่วย) |
---|---|---|
1-10 | 8.50 | 9.50 |
11-20 | 10.70 | |
21-30 | 10.95 | |
31-40 | 10.03 | 13.21 |
41-50 | 10.35 | 13.54 |
51-60 | 10.68 | 13.86 |
61-70 | 11.00 | 14.19 |
71-80 | 11.33 | |
81-90 | 12.50 | 14.51 |
91-100 | 12.82 | |
101-120 | 13.15 | 14.84 |
121-160 | 13.47 | 15.16 |
161-200 | 13.80 | 15.49 |
201 ขึ้นไป | 14.45 | 15.81 |
ทั้งนี้ มีค่าน้ำขั้นต่ำ คือ 45 บาท สำหรับ R1 และ 90 บาท สำหรับ R2
- ค่าน้ำดิบ คิดในอัตราคงตัว หน่วยละ 0.15 บาท
- ค่าบริการรายเดือน คิดตามขนาดมาตรวัดน้ำ โดยจะมีขนาดมาตรวัดน้ำ 11 ขนาด ซึ่งขนาดที่เล็กลง จะทำให้น้ำไหลเข้าถังน้ำช้าลง แต่ค่าบริการรายเดือนจะถูกลงด้วย การเลือกขนาดมาตรวัดน้ำจึงควรเลือกให้เหมาะสม หากเลือกขนาดมาตรใหญ่เกินไป จะเป็นการเสียค่าบริการมากเกินไปโดยใช่เหตุ แต่ถ้าเล็กเกินไป น้ำอาจไหลเข้าถังน้ำน้อยกว่าความต้องการของอาคารได้ ค่าบริการรายเดือนของมาตรแต่ละขนาดเป็นดังนี้
ขนาดมาตรวัดน้ำ (นิ้ว) | ค่าบริการรายเดือน (บาท/เดือน) |
---|---|
0.5 | 25 |
0.75 | 40 |
1 | 50 |
1.5 | 80 |
2 | 300 |
3 | 400 |
4 | 500 |
6 | 900 |
8 | 1,100 |
12 | 3,500 |
16 | 5,000 |
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม คำนวณจาก ค่าใช้จ่ายใน 3 ส่วนแรก รวมกัน แล้วคูณด้วย 0.07