นางพญาแม่ท้าวคำพิน
นางพญาแม่ท้าวคำพิน[1][2][3], คำปิน[4][5] หรือ คำปิ๋ว[5] เป็นพระชายาของพญาเก้าเกื่อน ต่อมานางได้เป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐปัวแทนสามีที่แยกไปปกครองเมืองย่างสืบพระอัยกา ช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้น พญางำเมือง เจ้าผู้ครองแคว้นพะเยา ได้สบโอกาสยกทัพเข้าตีและยึดครองเมืองปัว แม่ท้าวคำพินซึ่งกำลังทรงพระครรภ์อยู่ต้องเสด็จลี้ภัยออกไปยังเขตชนบท และให้กำเนิดพญาผานอง ผู้ซึ่งจะได้เป็นเจ้าผู้ครองรัฐปัวต่อไป[6][3]
คำพิน | |
---|---|
นางพญาปัว | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1848–1849 |
ก่อนหน้า | พญาเก้าเกื่อน |
ถัดไป | นางอั้วสิม |
สิ้นพระชนม์ | ราว พ.ศ. 1865 บ้านสระ แคว้นพะเยา |
พระสวามี | พญาเก้าเกื่อน |
พระบุตร | พญาผานอง |
ราชวงศ์ | ภูคา (อภิเษกสมรส) |
พระประวัติ
แก้ช่วงต้น
แก้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดของแม่ท้าวคำพิน โดยในเอกสาร พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด และ พงศาวดารเมืองน่าน ต่างให้ข้อมูลแต่เพียงว่า นางเข้าเป็นพระชายาของพญาเก้าเกื่อน เจ้าผู้ครองรัฐปัว หรือ วรนคร (ต่อมาคือนครรัฐน่าน) และกำลังทรงพระครรภ์ ในขณะที่พญาเก้าเกื่อนจะต้องกลับไปครองเมืองย่าง (ปัจจุบันคือสบย่าง บริเวณติดต่อดอยภูคา ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว จังหวัดน่าน)[5] ตามคำขอของพญาภูคา ซึ่งเป็นพระอัยกา ซึ่งต้องการให้ลูกหลานกลับไปดินแดนมาตุภูมิ[7] พญาเก้าเกื่อนจึงยกเมืองปัว พร้อมกับโอนข้าราชบริพารทั้งหมดในพระองค์แก่แม่ท้าวคำพิน[1][4] พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด ระบุว่าพญาเก้าเกื่อนได้ตรัสกับแม่ท้าวคำพินเรื่องพระราชบุตรที่จะถือกำเนิดไว้ว่า "ผิว่าลูกรา ยังอยู่ในท้องเจ้านั้น คันออกมาเปนผู้ชาย แลใหญ่หม่ากล้าบาน"[1] ส่วน พงศาวดารเมืองน่าน ระบุคำพูดไว้ใกล้เคียงกัน คือ "ผิว่าคัพภะหากแก่บริบวรณ์แล้วหลอนนางประสูตรลูกออกมาเปนผู้ชายใหญ่หน้ากล้าหาญมา ก็หากจักสร้างบ้านแปงเมืองที่นี่หื้อรุ่งเรืองแก่เจ้าจ๊ะแด"[4] จากนั้นพญาเก้าเกื่อนก็ครองเมืองย่างตลอดมา จากนั้นไม่นานนักพญาภูคา พระอัยกาก็สิ้นพระชนม์ พญาเก้าเกื่อนจึงมีสิทธิธรรมในการครองเมืองย่างเต็มที่ ไม่หวนกลับมาครองเมืองปัวอีก[4]
เสด็จลี้ภัย
แก้ในช่วงที่แม่ท้าวคำพินขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองรัฐปัวและมีอำนาจเต็มเพียงพระองค์เดียว พญางำเมือง เจ้าผู้ครองแคว้นพะเยา ทรงทราบข่าวว่าเมืองปัวมีแต่นางพญาครองเมือง ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญเพราะเมืองปัวกำลังอ่อนแอ[2] จึงได้มีคำสั่งรี้พลเข้ายึดครองและปล้นเมืองปัวอย่างรวดเร็ว จนเสนาอำมาตย์ฝ่ายเมืองปัวไม่ทันได้แต่งทัพไปต้านได้ทัน แม่ท้าวคำพินซึ่งกำลังสังทรงครรภ์จวนจะคลอดทราบว่าเมืองจะถูกยึดครองก็รีบฉวยทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เสด็จลี้เข้าไปในป่าเขาอันห่างไกลอยู่หลายวัน เอกสารให้ข้อมูลต่างกันเล็กน้อย โดยใน พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด ระบุว่า "...ก็ดั้นดอนชอนป่าออกหนีไปขุนคอดยอดห้วยน้ำ ก็จิ่งไต่ตามห้วยขึ้นเมือรอดที่ 1 นางก็หันเถียงไร่หลัง 1 นางก็ขึ้นอยู่เถียงไร่ที่นั้นหั้นแล ยามนั้นก็ค่ำแล้วมาแล้ว นางพระญาก็นอนอยู่ในที่นั้นหั้นแล ในขณะกลางคืนนั้น นางพระญาก็ประสูติได้ลูกชาย 1..." กล่าวคือ นางหลบลี้เข้าไปในป่าและเดินท่องน้ำไปจนถึงต้นน้ำบนยอดเขา เมื่อค่ำแล้วไปพบเถียงไร่แห่งหนึ่ง และเข้าไปประทับอยู่ในเถียงไร่ดังกล่าวจนกระทั่งประสูติการพระโอรส[8] ส่วน พงศาวดารเมืองน่าน ให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า "...หนีออกเมืองดำดอนซ่อนป่าไปได้หลายวันมากนัก ไปฮอดเถียงไร่ที่ 1 นางก็ขึ้นอยู่เถียงไร่ที่นั้นหั้นแล ฮอดในคืนวันนั้น นางก็ประสูตรได้ลูกชายคน 1 หั้นแล ฯ"[4] ส่วนเมืองปัวตกไปอยู่ในการดูแลของนางอั้วสิม พระชายาของพญางำเมือง พร้อมกับเจ้าราชบุตรอามป้อม[3][8]
หลังลี้ภัยออกนอกพระนิเวศน์ แม่ท้าวคำพินได้ประสูติการพระโอรสบนเถียงไร่ของนายบ้าน แต่เถียงนั้นก็ห่างไกลจากน้ำ ลำห้วยใกล้ ๆ ก็เป็นห้วยน้ำแล้ง จะหาน้ำอาบหรือกินก็ไม่ได้ แม่ท้าวคำพินก็ร่ำไห้ถึงพญาเก้าเกื่อน ตัดพ้อว่าพระสวามีเคยบอกว่าลูกชายคนนี้จะนำความรุ่งเรืองมาให้ แต่เหตุไฉนน้ำสักหยดยังไม่มีให้อาบสรงหรือดับกระหายได้เลยสักนิด แต่ทว่ากลางดึกคืนนั้นเป็นวันอุโบสถศีลพระจันทร์เต็มดวง ก็ได้มีลมและฝนห่าใหญ่ตกลงมามากมาย ครั้นเมื่อฝนหยุดลงในคืนนั้น แม่ท้าวคำพินก็ให้เด็กหญิงที่ติดตามมาด้วยออกไปหาน้ำด้วยกัน ก็ได้พบกับแหล่งน้ำให้ดื่มและชำระร่างกาย แล้วเดินกลับมาพำนักที่เถียงตามเดิม ครั้นรุ่งเช้า เจ้าของเถียงซึ่งเป็นนายบ้านกลับมาดูไร่สวนของตนเองก็แว่วเสียงเด็กร้อง เข้ามาพบแม่ท้าวคำพินและทารกอาศัยอยู่ในเถียงของตน จึงได้สอบถามความเป็นมาว่าเหตุใดเจ้านายชั้นสูงจึงมาตกระกำลำบากเช่นนี้[8] เมื่อฟังความจนจบแล้ว เจ้าของเถียงได้เชิญให้แม่ท้าวคำพิน พระโอรสน้อย และเด็กหญิงผู้ติดตาม ไปอาศัยอยู่ในเรือนของตนจะสมพระเกียรติกว่า นายบ้านคนนี้ได้อุปถัมภ์ค้ำชูทั้งสามคนอย่างดี มีอาหารเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญ จนกระทั่งพระกุมารสามารถเสด็จพระดำเนินได้ด้วยตนเอง เจ้าของบ้านจึงเชิญแม่ท้าวคำพิน พระโอรส และเด็กหญิง ไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ บ้านสระ หรือ สะบาน ซึ่งเป็นเขตแดนของแคว้นพะเยา โดยมีนายบ้านสองคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด[9][10]
สิ้นพระชนม์
แก้หลังครอบครัวได้ยกย้ายมาประทับอยู่ที่บ้านสระ (หรือ สะบาน) จนกระทั่งพระโอรสมีพระชันษาได้ 16 ปี แม่ท้าวคำพินก็สิ้นพระชนม์ลงที่บ้านสระนั้นเอง[8] ภายหลังนายบ้านทั้งสองคนก็นำตัวพระโอรสไปถวายตัวแก่พญางำเมือง เจ้าผู้ครองแคว้นพะเยา ซึ่งพ่อขุนงำเมืองมีพระกรุณาเอ็นดูพระโอรสน้อยอย่างดี โปรดเกล้าฯ ให้ใช้สอยอยู่บ่อย ๆ และทรงตั้งพระนามให้ว่า เจ้าขุนไส่[9] และแต่งตั้งให้เป็นขุนนางกินเมืองปลาด (หรือ ปราด) ซึ่งเป็นดินแดนในเขตแคว้นพะเยา[3] มีพระนามว่า เจ้าไส่ยศ[10] ซึ่งหลังจากนี้พระโอรสจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพญาผานอง เจ้าผู้ครองเมืองปัว และรับเอานางอั้วสิม มาเป็นพระชายา[3][6][10]
ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
แก้พระประวัติของนางพญาแม่ท้าวคำพินถูกนำไปดัดแปลงเป็นบทละครพันทาง เรื่อง พญาผานอง (2501)[5]
เชิงอรรถ
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์ ภาคที่ 2 พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด, หน้า 54
- ↑ 2.0 2.1 ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 108
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ""พญางำเมือง" สถาปนารัฐพะเยา กับตำนาน "แกงหวานบ้านแตก"". ศิลปวัฒนธรรม. 29 กันยายน 2566. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2567.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 พงศาวดารเมืองน่าน, หน้า 45
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 บทละคอนพันทาง เรื่อง พญาผานอง, หน้า 4
- ↑ 6.0 6.1 ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์ ภาคที่ 2 พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด, หน้า 57-58
- ↑ พงศาวดารเมืองน่าน, หน้า 44
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์ ภาคที่ 2 พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด, หน้า 55
- ↑ 9.0 9.1 ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์ ภาคที่ 2 พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด, หน้า 56
- ↑ 10.0 10.1 10.2 พงศาวดารเมืองน่าน, หน้า 46
บรรณานุกรม
แก้- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประชุมพงศาวดารราษฎร์ ภาคที่ 2 พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2539. 124 หน้า. ISBN 974-8364-74-7
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2553. 660 หน้า. ISBN 978-974-8132-15-0
- วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่. บทละคอนพันทาง เรื่อง พญาผานอง. [ม.ป.ท.] : [ม.ป.พ.], 2528. 48 หน้า.
- พงศาวดารเมืองน่าน. เชียงใหม่ : ธนุชพริ้นติ้ง (โรงพิมพ์ดาว), 2543. 132 หน้า.
ก่อนหน้า | นางพญาแม่ท้าวคำพิน | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พญาเก้าเกื่อน | นางพญาปัว (พ.ศ. 1848–1849) |
พญาผานอง |